บาเคอร์ (บทที่ 1)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้ค่ะ
ขอบคุณ คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, น้องนุ้ย ณวลี, คุณ Kero kero noi, คุณซูซี่ Susisiri, น้องดาว Lady Star 919, จารย์จี Psycho man, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องมัด มัศยวีร์, คุณนะ Na(นะ) ถูกใจ
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทนำ  https://pantip.com/topic/36454141


บทที่ 1



…เรื่องของคนสองคนซึ่งมีความผูกพันกันในลักษณะที่ไม่น่าเป็นไปได้ควรเริ่มตั้งแรกวันแรกที่พบกันใช่ไหม วันที่ราณีจำได้ขึ้นใจในแทบจะทุกชั่วเวลานาที

    17 พฤษภาคม 2001 เขาได้รับเชิญมาอภิปรายนโยบายต่างประเทศและพูดถึงสภาพความเป็นไปในประเทศของเขาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเขาจบปริญญาเอกไปเมื่อสองปีก่อน และเธอกำลังเรียนอยู่ในเวลานั้น ด็อกเตอร์ คาร์เตอร์ อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอเป็นคนบอกให้รู้ ทั้งยังแนะนำให้ไปร่วมฟังด้วย โดยชี้ให้เห็นว่าการเมืองมีบทบาทสำคัญต่อสภาพความเป็นไปของโบราณสถานและโบราณวัตถุอย่างไร การคว่ำบาตรของสหประชาชาติและกำหนดโซนห้ามเครื่องบินผ่านทำให้ประชากรในประเทศของเขาอดหยากถึงขั้นขุดค้นหาโบราณวัตถุไปขาย เรื่องนั้นเป็นข่าวมานานหลายปี รู้กันอีกด้วยว่าโบราณวัตถุจากดินแดนเก่าแก่ทางตอนใต้ของที่นั่นไปวางขายอยู่ตรงไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นในกรุงลอนดอนหรือเมืองซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการค้าขายของเก่าทั่วทั้งโลก

    หากทว่าเหตุผลสำคัญยิ่งกว่านั้นสำหรับท่านก็คือ

    ‘นาบิลเป็นคาลเดียน…’

    เพียงแค่นี้ราณีก็เข้าใจแล้วว่าท่านต้องการบอกอะไร บรรพบุรุษของคาลเดียนคือสุเมเรียน และเมืองเออร์ซึ่งเป็นหัวข้องานค้นคว้าของเธอก็คือเมืองสำคัญของดินแดนแถบซูเมอร์นั่นเอง กำลังจะเสนอบทสรุปเรื่องนั้นในอีกวันสองวันนี้แล้วด้วยซ้ำ แม้แต่หัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่เสนอไปและผ่านอนุมัติแล้วก็เป็นเรื่องราวของอาณาจักรโบราณแห่งนั้นเช่นกัน เพียงแต่ลงลึกยิ่งกว่าและกว้างกว่าเมืองๆ เดียวเท่านั้นเอง

    ‘…นี่ก็ถูกส่งมาเป็นทูตประจำสหประชาชาติ เจอเข้างานแรกก็หนักเลย เป็นตัวแทนของประธานาธิบดีมาเจรจาเรื่องแซงชั่นที่สหประชาชาติ’

ข่าวเรื่องนั้นมาถึงก่อนตัวเขาเสียอีก และพอใครๆ รู้ ต่างก็พยายามแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือไม่ก็เป็นคนสนิทของเขากันให้วุ่นวายไปหมด รวมทั้ง ด็อกเตอร์ คาเตอร์ เองด้วย ท่านเคยสอนเขา แม้จะเพียงสองคอร์สที่เขาข้ามสาขาวิชามาลงเรียนที่แผนกนี้เท่านั้นก็ตาม

วิชาเหล่านั้นเธอเองก็เรียนกับท่านมาแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมของบาบิโลเนีย เมโสโปเตเมีย หรือซูเมอร์


ด็อกเตอร์ นาบิล อัลฟาซี ทูตถาวรประจำสหประชาชาติคนใหม่ต่างจากที่ราณีวาดภาพไว้ลิบลับ เขาไม่ได้สวมทอว์บ หรือชุดคลุมยาวถึงข้อเท้าตามแบบที่ผู้ชายตะวันออกกลางนิยมกัน ไม่ได้สวมเคฟฟิเยห์ คาดทับไว้ด้วยอะกัล ประเทศของเขาเป็นสังคมเปิดกว้างที่สุดแล้วในแถบนั้น แม้แต่รัฐบาลก็เป็นฆราวาสตามแนวทางของพรรคบา’อาธ เป็นสังคมที่ผู้หญิงมีสิทธิ์เกือบเท่าเทียมผู้ชาย มีผู้หญิงร่วมอยู่ในคณะรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุนั้นการเห็นผู้ชายแต่งกายแบบสากลจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ชายในวัยเพิ่งจะสามสิบปีอย่างนี้

แรกๆ ที่รู้ถึงอายุของเขา เธอเองก็ช็อคไปเหมือนกัน เขาเพิ่งครบสามสิบปีเมื่อสี่เดือนก่อนหน้านี้เอง แสดงว่าจบปริญญาเอกเมื่ออายุยี่สิบแปด เป็นวัยที่เธอเองก็มุ่งมั่นจะเรียนให้จบให้ได้เหมือนกัน

    เย็นวันนั้นเขาไม่เพียงแต่งตัวตามแบบสากลเท่านั้น ยังไม่เป็นทางการอีกด้วย ร่างสูงล่ำสันที่เดินขึ้นเวทีหลังการแนะนำยาวเหยียดอยู่ในชุดกางเกงกากีกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน พับแขนขึ้นมาจนเกือบถึงข้อศอก ทั้งเป็นกันเองและสุภาพในเวลาเดียวกัน แสดงว่าเขาแต่งตัวเป็น เพราะเหมาะกับสถานที่และบรรยากาศในสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลกที่พยายามสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานนี้เน้นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในระดับที่ทัดเทียมกันมากกว่าแสดงปาฐกถาซึ่งผู้รับเชิญพูดอยู่ฝ่ายเดียว

    เขาเกริ่นนำถึงสถานการณ์ในประเทศของเขาที่เริ่มดีขึ้นหลังสหประชาชาติกำหนดให้ใช้โครงการน้ำมันแลกอาหาร …ตามข้อเสนอของประธานาธิบดี บิล คลินตัน หลังจากเห็นกันแล้วว่าคนที่เดือดร้อนที่สุดคือประชาชนคนทั่วไปมากกว่าระดับผู้นำ จุดมุ่งหมายของการคว่ำบาตรคราวนั้นก็ด้วยหวังว่าจะกดดันให้ประชาชนลุกฮือขึ้นขับประธานาธิบดีของตัวเองออกจากตำแหน่ง หากผลออกมาตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

    “จากปี 1996 ถึงปีนี้ จีดีพีเพิ่มขึ้นจากพันแปดร้อยล้านดอลลาร์เป็นสามพันแปดร้อยล้าน” เขาตอบคำถามของนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งถามขึ้นมาจากบริเวณที่นั่งของผู้เข้าฟัง

    “มีหลายๆ ประเทศเริ่มไม่สนใจการแซงชั่นของสหประชาชาติแล้วครับ การค้ากับต่างประเทศก็เลยราบรื่นขึ้น มาตรฐานการครองชีพของผู้คนดีขึ้นด้วย แต่ก็นั่นแหละ ที่ว่าดีขึ้นก็ยังเทียบไม่ได้กับปี 1990 ก่อนสงครามอ่าวเปอร์เซีย ตอนนั้นเงินสำรองของประเทศอยู่ที่สามแสนห้าหมื่นล้านดอลลาร์ การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ปีละ 27.9 เปอร์เซ็นต์”

    “แต่สหประชาชาติแซงชั่นประเทศของคุณก็เพราะไปรุกรานคูเวตเข้านี่ครับ” เสียงใครคนหนึ่งแย้งขึ้นจากบริเวณฝั่งซ้ายของหอประชุม ตรงนั้นมีไมโครโฟนอยู่อีกตัวหนึ่ง

    เขาหันมองไปทางนั้นแล้วยิ้มอย่างใจเย็น

    “ผมไม่สนับสนุนการรุกรานใครหรอกนะครับ แต่ถ้ามองจากด้านของเรา สงครามกับอิหร่านมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดสองล้านสองแสนหกหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ…”

เขาระบุตัวเลขในทุกเรื่องที่ยกมาพูดถึงได้เที่ยงตรงและชัดเจนจนราณีทึ่ง

“…ทำให้ประเทศเป็นหนี้ต่างชาติแปดหมื่นล้านดอลลาร์ อัตราหนี้สินเพิ่มสูงถึงประมาณพันล้านดอลลาร์ต่อปี ผมหมายถึงดอกเบี้ย อีกปัญหาก็คือสงครามมีผลต่อเกษตรกรรม เพราะแรงงานผู้คนถูกใช้ในการสู้รบเกือบหมด ผลผลิตทางการเกษตรแทบจะเรียกได้เป็นศูนย์หลังสงครามจบสิ้นใหม่ๆ รัฐบาลต้องนำเข้าสินค้าทางการเกษตรมากขึ้น มากจนไม่มีเงินจ่าย ตอนนั้นสภาวะทางการเงินของประเทศเกือบถึงขั้นล้มละลาย ความหวังของเราก็คือน้ำมัน แต่โชคร้าย ราคาน้ำมันระดับโลกในเวลานั้นไม่คงที่ ถึงปลายทศวรรษที่แปดสิบ ราคาน้ำมันล่ม องค์กรของประเทศส่งออกน้ำมันก็เลยกำหนดระบบโควต้าขึ้นมา กำหนดให้ราคาอยู่ที่สิบแปดดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ระบบนี้ใช้ไม่ได้ผลเพราะคูเวตกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่ยอมปฏิบัติตาม ยังคงปล่อยน้ำมันออกมาจนล้นตลาดโลก ผลก็คือราคาน้ำมันยังคงตกต่ำในระดับเดียวกับทศวรรษที่เจ็ดสิบ คือสิบสองดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาที่ต่ำลงจนต่ำไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้วนี่มีผลต่อรายได้ของประเทศถึงหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี แม้จะมีการขอร้องคูเวตแล้วในที่ประชุมกลุ่มประเทศส่งออกน้ำมัน แต่ก็ไม่ได้ผล”

“ถึงอย่างนั้นก็ควรมีวิธีอื่นที่ดีกว่าสงคราม” หนุ่มน้อยกริยาท่าทางและการแต่งตัวบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นประเภทนิยมเสรีภาพ สายลมและแสงแดดโต้กลับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่