หลายปีที่ผ่านมา เราเป็นหนึ่งคนที่ เริ่มต้นจาก เม่าโง่มาก เม่าโง่น้อย เม่าโง่ จนตอนนี้ กลายเป็นเม่าที่ปีก ไม่หักแล้ว เข้าเฝือกไว้
แต่เราหวังว่า กระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่เป็น เม๊าเม่า มากกว่าเรา และสิ่งที่เราจะพิมพ์ น่าจะเกิดขึ้นกับคนหลายๆคน
*** โดยเฉพาะความเข้าใจผิดใน "หลักการของการลงทุน" เช่น ***
1. หลายๆ คนน่าจะเข้าใจผิดว่า การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ การวิเคราะห์อดีต
2. หลายๆ คนน่าจะเข้าใจผิดว่า หุ้นพื้นฐานดี คือ หุ้นที่เติบโต
3. หลายๆ คนน่าจะเข้าใจผิดว่า หุ้นที่เติบโต คือ หุ้นที่ราคาจะขึ้น
รวมกันเป็น วิเคราะห์ (งบการเงิน) ในอดีตว่าดี แล้วซื้อมันเลย รวยแน่นอน (+___+) เชรดดด
งั้นนักบัญชีคงรวยไปหมดแล้ว
และเราเห็นคอร์สมากมายยย ที่ทำให้มือใหม่เข้าใจผิดว่า การอ่านงบการเงินเป็น หรือการเทพในศาสตร์อื่นๆ จะสามารถ
1. ช่วยป้องกันเงินต้นของคุณให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ... (ความจริงคือ เจ๊งกันระเนระนาด)
2. ช่วยทำให้เงินของคุณเติบโตได้และจะร๊วยรวยในอนาคต ... (ความจริงคือ เท่าทุนก็บุญแล้ว)
3. ช่วยทำให้คุณสามารถลาออกจากงานประจำที่น่าเบื่อได้ในเร็ววัน ... (ความจริงคือ แล้วก็ต้องกลับไปทำงานประจำ)
ปอ.ลิง. กระทู้นี้แบ่งเป็น 3 ส่วน ค่อยๆอ่านไม่ต้องรีบ เราไม่เก็บตัง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ 1 กิจการดีหรือไม่ดี ???
ย้อนกลับไปที่คำว่า "หลักการของการลงทุน" ปรมาจารย์ในตลาดทุกคนพูดว่า "ซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ"
กิจการที่มือใหม่น่าจะนึกภาพได้ง่ายสุด ยกตัวอย่างเช่น ร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม แถวบ้าน ลองคิดตามดูว่า
1. คุณจะซื้อไหมถ้า ข้าวมันไก่มันของอาซิ่ม ไม่อร่อย (สินค้าไม่ดีจะไปขายที่ไหนก็ขายยาก)
2. คุณจะซื้อไหมถ้า คนที่อยู่แถวบ้านคุณมีแต่คนย้ายออกจากหมู่บ้าน (ปริมาณความต้องการลูกค้าน้อยลงๆ)
3. คุณจะซื้อไหมถ้า สมมติว่าแถวนั้นมี ร้านข้าวมันไก่ประตูน้ำชื่อดัง เปิดอยู่ด้วย (คู่แข่งแม่มเจ๋งโคตร)
ใครตอบว่าซื้อนี่คิดหนักนะ ยกเว้นคุณจะเป็นคนที่สามารถ พัฒนาร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม ให้ชนะคู่แข่งได้
ที่นี้คุณน่าจะพอนึกภาพออกแล้วว่า หลักการลงทุนคือการซื้อ "สินทรัพย์หรือกิจการ ที่น่าจะผลิตเงินให้เราในอนาคต"
อ่าวแล้วถ้ามันไม่น่าจะผลิตเงินแล้ว เพราะสินค้าห่วย ลูกค้าน้อย และเราไม่สามารถปรับปรุงมันได้ จะทำไง
คำตอบคือ ซื้อมาเพื่อขายซาก เพราะร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม ไม่สามารถผลิตเงินได้แล้ว ราคาต้องต่ำกว่าบุ๊ค ถึงจะน่าสนใจ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ 2 ทิศทางในอนาคต ???
ต่อๆ ด้านบนคือ ไม่น่าจะผลิตเงินได้แล้วขายซากทิ้งซะ ต่อไปคือ 1. ผลิตเงินได้น้อยลง > 2. ผลิตเงินได้เท่าเดิม > 3. ผลิตเงินได้มากขึ้น
สมมติว่า "ปัจจุบัน" อาซิ่มขายข้าวมันได้ได้วันละ 400 ห่อ ห่อละ 50 บาท เดือนนึงขาย 20 วัน (กลัวรวยจัด) ต้นทุนครึ่งนึง เอาคิดง่ายๆ
หนึ่งเดือนอาซิ่มจะมี ยอดขาย 400,000 บาท ต้นทุน 200,000 บาท เก็บเงินสดล้วนๆ ไม่มีเครดิต กำไร 200,000 บาท
แต่อาซิ่มบอกว่า ซิ่มแก่ละไม่มีลูกหลาน จะขายกิจการต่อให้ราคา 1,200,000 บาท = 6 เดือนคืนทุน คุณจะซื้อไหม
ทีนี้ลองเปลี่ยนความคิดเป็นตามสเต็ป สมมติว่า
"อนาคต"
1. ร้านอาซิ่มจะขายได้น้อยลงเหลือ 300 ห่อ (ลูกค้าน้อยลง or คู่แข่งมากขึ้น) เราควรจะซื้อที่ราคา ถูกกว่า 1.2 ล้านไหม
2. ร้านอาซิ่มจะขายได้เท่าเดิมคือ 400 ห่อ (ลูกค้าเท่าเดิม or คู่แข่งเท่าเดิม) เราควรจะซื้อที่ราคา เท่าเดิมที่ 1.2 ล้านไหม
3. ร้านอาซิ่มจะขายได้มากขึ้นคือ 500 ห่อ (ลูกค้ามากขึ้น or คู่แข่งน้อยลง) เราควรจะซื้อที่ราคา แพงกว่า 1.2 ล้านไหม
เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆคือ เราซื้อหุ้น / กิจการ / สินทรัพย์ ที่น่าจะผลิตเงินให้เราได้ใน "อนาคต" แต่ต้องประเมินราคาให้เป็น
ส่วนงบการเงินเป็นเพียงสิ่งที่บอกถึง โครงสร้าง สัดส่วน เช่น (ลงทุนเท่าไหร่ ขายได้เท่าไหร่ ต้นทุนเท่าไหร่ เก็บเงินสดได้เท่าไหร่)
ซึ่งสะท้อนถึง ความสามารถในการดำเนินงานในอดีต แต่ไม่ได้แปลว่า ความสามารถในอดีต จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของอนาคต
ตอนอนุบาลเรียนดี ไม่ได้แปลว่า โตขึ้นมาจะเรียนดี
โตขึ้นมาเรียนดี ไม่ได้แปลว่า ทำงานแล้วเงินเดือนจะดี
ทำงานแล้วเงินเดือนดี ไม่ได้แปลว่า จะรวยแบบขายข้าวมันไก่
แต่แน่นอนว่า คนที่พิสูจน์ว่าตัวเองเก่งมาก่อน ย่อมมีโอกาสรอด
ในอนาคต หรือในสภาวะที่เลวร้าย กรุณาอย่ารีบลาออกมาขายข้าวมันไก่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ 3 เมื่อราคาเทียบกับมูลค่า ???
สุดท้ายๆ สมมติปกติการขายร้านอาหาร "ขายกันที่ราคา 1 ปีคืนทุน เมื่อกี้ของอาซิ่มเราคือ 6 เดือน" โดยคาดว่าอนาคตจะขายได้เท่าเดิม
ที่ 400 ห่อ แปลว่า "อาซิ่มขายถูกกว่าเรทปกติครึ่งนึง" ต้องขายที่ 2.4 ล้าน แต่เราซื้อได้ที่ราคา 1.2 ล้าน กำไรตั้งแต่ซื้อเลยไหมหละ
แต่เดี๋ยวก่อน การได้มาของมูลค่าที่ 2.4 ล้าน ต้องมาจาก "การประเมินมูลค่า" ซึ่งสามารถหาได้จาก 2 วิธีหลักคือ
1. การประเมินจาก
ศักยภาพของกิจการในอนาคตเพียวๆ ไม่สนใจชาวบ้าน
2. การประเมินจาก
การเปรียบเทียบกับชาวบ้านในอนาคต ที่ขายอาหารเหมือนกัน
และสิ่งที่ทำให้มือใหม่ติดดอยกันเป็นปกติคือ การซื้อร้านขายข้าวมันไก่ของอาซิ่ม ที่ราคา 3.6 ล้าน หรือ 4.8 ล้าน
พูดง่ายๆคือ ซื้อที่ราคามัน >>> มูลค่าที่ตลาดให้ เมื่อนั้นแหละคุณก็จะเป็น เด็กดอยอย่างสมบูรณ์แบบ กินแครอทได้เลยจ้า
*** และเมื่อเรากลับไปแก้ความเข้าใจผิด 3 ข้อที่จั่วไปในตอนแรก จะได้ความว่า ***
1. การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ >>> การวิเคราะห์ว่า
"ปกติ" ร้านข้าวมันไก่ขายดีไหม กำไรเท่าไหร่ และจะเป็นอย่างไร ต่อไปใน
"อนาคต"
2. หุ้นพื้นฐานดี คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่มียอดขายหรือกำไร
"มากกว่า" ร้านอื่นๆ รอดได้แม้การแข่งขันสูง หรือ เศรษฐกิจเลวร้าย
3. หุ้นที่เติบโต คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่มียอดขายหรือกำไร
"เพิ่มขึ้น" ในอนาคต ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดๆก็ตาม
4. หุ้นที่ราคาจะเพิ่มขึ้น คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่ติดป้ายขายในราคาที่
"ต่ำกว่า" ราคาที่ตลาดประเมิน
5. หุ้นที่จะทำให้คุณติดดอย คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่ติดป้ายขายในราคาที่
"สูงกว่า" ราคาที่ตลาดประเมิน
(มากกว่า น้อยกว่า --- ใช้กับการเปรียบเทียบ ตัวเลขทางพื้นฐาน)
(สูงกว่า ต่ำกว่า ---- ใช้กับการเปรียบเทียบ ตัวเลขของราคาหุ้น)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฝากถึงมือใหม่ที่เข้าใจผิดว่า อ่านงบการเงินเป็นอย่างเดียว แล้วจะเล่นหุ้นได้กำไร
แต่เราหวังว่า กระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่เป็น เม๊าเม่า มากกว่าเรา และสิ่งที่เราจะพิมพ์ น่าจะเกิดขึ้นกับคนหลายๆคน
*** โดยเฉพาะความเข้าใจผิดใน "หลักการของการลงทุน" เช่น ***
1. หลายๆ คนน่าจะเข้าใจผิดว่า การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ การวิเคราะห์อดีต
2. หลายๆ คนน่าจะเข้าใจผิดว่า หุ้นพื้นฐานดี คือ หุ้นที่เติบโต
3. หลายๆ คนน่าจะเข้าใจผิดว่า หุ้นที่เติบโต คือ หุ้นที่ราคาจะขึ้น
รวมกันเป็น วิเคราะห์ (งบการเงิน) ในอดีตว่าดี แล้วซื้อมันเลย รวยแน่นอน (+___+) เชรดดด งั้นนักบัญชีคงรวยไปหมดแล้ว
และเราเห็นคอร์สมากมายยย ที่ทำให้มือใหม่เข้าใจผิดว่า การอ่านงบการเงินเป็น หรือการเทพในศาสตร์อื่นๆ จะสามารถ
1. ช่วยป้องกันเงินต้นของคุณให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ... (ความจริงคือ เจ๊งกันระเนระนาด)
2. ช่วยทำให้เงินของคุณเติบโตได้และจะร๊วยรวยในอนาคต ... (ความจริงคือ เท่าทุนก็บุญแล้ว)
3. ช่วยทำให้คุณสามารถลาออกจากงานประจำที่น่าเบื่อได้ในเร็ววัน ... (ความจริงคือ แล้วก็ต้องกลับไปทำงานประจำ)
ปอ.ลิง. กระทู้นี้แบ่งเป็น 3 ส่วน ค่อยๆอ่านไม่ต้องรีบ เราไม่เก็บตัง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ 1 กิจการดีหรือไม่ดี ???
ย้อนกลับไปที่คำว่า "หลักการของการลงทุน" ปรมาจารย์ในตลาดทุกคนพูดว่า "ซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ"
กิจการที่มือใหม่น่าจะนึกภาพได้ง่ายสุด ยกตัวอย่างเช่น ร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม แถวบ้าน ลองคิดตามดูว่า
1. คุณจะซื้อไหมถ้า ข้าวมันไก่มันของอาซิ่ม ไม่อร่อย (สินค้าไม่ดีจะไปขายที่ไหนก็ขายยาก)
2. คุณจะซื้อไหมถ้า คนที่อยู่แถวบ้านคุณมีแต่คนย้ายออกจากหมู่บ้าน (ปริมาณความต้องการลูกค้าน้อยลงๆ)
3. คุณจะซื้อไหมถ้า สมมติว่าแถวนั้นมี ร้านข้าวมันไก่ประตูน้ำชื่อดัง เปิดอยู่ด้วย (คู่แข่งแม่มเจ๋งโคตร)
ใครตอบว่าซื้อนี่คิดหนักนะ ยกเว้นคุณจะเป็นคนที่สามารถ พัฒนาร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม ให้ชนะคู่แข่งได้
ที่นี้คุณน่าจะพอนึกภาพออกแล้วว่า หลักการลงทุนคือการซื้อ "สินทรัพย์หรือกิจการ ที่น่าจะผลิตเงินให้เราในอนาคต"
อ่าวแล้วถ้ามันไม่น่าจะผลิตเงินแล้ว เพราะสินค้าห่วย ลูกค้าน้อย และเราไม่สามารถปรับปรุงมันได้ จะทำไง
คำตอบคือ ซื้อมาเพื่อขายซาก เพราะร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม ไม่สามารถผลิตเงินได้แล้ว ราคาต้องต่ำกว่าบุ๊ค ถึงจะน่าสนใจ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ 2 ทิศทางในอนาคต ???
ต่อๆ ด้านบนคือ ไม่น่าจะผลิตเงินได้แล้วขายซากทิ้งซะ ต่อไปคือ 1. ผลิตเงินได้น้อยลง > 2. ผลิตเงินได้เท่าเดิม > 3. ผลิตเงินได้มากขึ้น
สมมติว่า "ปัจจุบัน" อาซิ่มขายข้าวมันได้ได้วันละ 400 ห่อ ห่อละ 50 บาท เดือนนึงขาย 20 วัน (กลัวรวยจัด) ต้นทุนครึ่งนึง เอาคิดง่ายๆ
หนึ่งเดือนอาซิ่มจะมี ยอดขาย 400,000 บาท ต้นทุน 200,000 บาท เก็บเงินสดล้วนๆ ไม่มีเครดิต กำไร 200,000 บาท
แต่อาซิ่มบอกว่า ซิ่มแก่ละไม่มีลูกหลาน จะขายกิจการต่อให้ราคา 1,200,000 บาท = 6 เดือนคืนทุน คุณจะซื้อไหม
ทีนี้ลองเปลี่ยนความคิดเป็นตามสเต็ป สมมติว่า "อนาคต"
1. ร้านอาซิ่มจะขายได้น้อยลงเหลือ 300 ห่อ (ลูกค้าน้อยลง or คู่แข่งมากขึ้น) เราควรจะซื้อที่ราคา ถูกกว่า 1.2 ล้านไหม
2. ร้านอาซิ่มจะขายได้เท่าเดิมคือ 400 ห่อ (ลูกค้าเท่าเดิม or คู่แข่งเท่าเดิม) เราควรจะซื้อที่ราคา เท่าเดิมที่ 1.2 ล้านไหม
3. ร้านอาซิ่มจะขายได้มากขึ้นคือ 500 ห่อ (ลูกค้ามากขึ้น or คู่แข่งน้อยลง) เราควรจะซื้อที่ราคา แพงกว่า 1.2 ล้านไหม
เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆคือ เราซื้อหุ้น / กิจการ / สินทรัพย์ ที่น่าจะผลิตเงินให้เราได้ใน "อนาคต" แต่ต้องประเมินราคาให้เป็น
ส่วนงบการเงินเป็นเพียงสิ่งที่บอกถึง โครงสร้าง สัดส่วน เช่น (ลงทุนเท่าไหร่ ขายได้เท่าไหร่ ต้นทุนเท่าไหร่ เก็บเงินสดได้เท่าไหร่)
ซึ่งสะท้อนถึง ความสามารถในการดำเนินงานในอดีต แต่ไม่ได้แปลว่า ความสามารถในอดีต จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของอนาคต
ตอนอนุบาลเรียนดี ไม่ได้แปลว่า โตขึ้นมาจะเรียนดี
โตขึ้นมาเรียนดี ไม่ได้แปลว่า ทำงานแล้วเงินเดือนจะดี
ทำงานแล้วเงินเดือนดี ไม่ได้แปลว่า จะรวยแบบขายข้าวมันไก่
แต่แน่นอนว่า คนที่พิสูจน์ว่าตัวเองเก่งมาก่อน ย่อมมีโอกาสรอด
ในอนาคต หรือในสภาวะที่เลวร้าย กรุณาอย่ารีบลาออกมาขายข้าวมันไก่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ 3 เมื่อราคาเทียบกับมูลค่า ???
สุดท้ายๆ สมมติปกติการขายร้านอาหาร "ขายกันที่ราคา 1 ปีคืนทุน เมื่อกี้ของอาซิ่มเราคือ 6 เดือน" โดยคาดว่าอนาคตจะขายได้เท่าเดิม
ที่ 400 ห่อ แปลว่า "อาซิ่มขายถูกกว่าเรทปกติครึ่งนึง" ต้องขายที่ 2.4 ล้าน แต่เราซื้อได้ที่ราคา 1.2 ล้าน กำไรตั้งแต่ซื้อเลยไหมหละ
แต่เดี๋ยวก่อน การได้มาของมูลค่าที่ 2.4 ล้าน ต้องมาจาก "การประเมินมูลค่า" ซึ่งสามารถหาได้จาก 2 วิธีหลักคือ
1. การประเมินจาก ศักยภาพของกิจการในอนาคตเพียวๆ ไม่สนใจชาวบ้าน
2. การประเมินจาก การเปรียบเทียบกับชาวบ้านในอนาคต ที่ขายอาหารเหมือนกัน
และสิ่งที่ทำให้มือใหม่ติดดอยกันเป็นปกติคือ การซื้อร้านขายข้าวมันไก่ของอาซิ่ม ที่ราคา 3.6 ล้าน หรือ 4.8 ล้าน
พูดง่ายๆคือ ซื้อที่ราคามัน >>> มูลค่าที่ตลาดให้ เมื่อนั้นแหละคุณก็จะเป็น เด็กดอยอย่างสมบูรณ์แบบ กินแครอทได้เลยจ้า
*** และเมื่อเรากลับไปแก้ความเข้าใจผิด 3 ข้อที่จั่วไปในตอนแรก จะได้ความว่า ***
1. การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ >>> การวิเคราะห์ว่า "ปกติ" ร้านข้าวมันไก่ขายดีไหม กำไรเท่าไหร่ และจะเป็นอย่างไร ต่อไปใน "อนาคต"
2. หุ้นพื้นฐานดี คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่มียอดขายหรือกำไร "มากกว่า" ร้านอื่นๆ รอดได้แม้การแข่งขันสูง หรือ เศรษฐกิจเลวร้าย
3. หุ้นที่เติบโต คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่มียอดขายหรือกำไร "เพิ่มขึ้น" ในอนาคต ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดๆก็ตาม
4. หุ้นที่ราคาจะเพิ่มขึ้น คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่ติดป้ายขายในราคาที่ "ต่ำกว่า" ราคาที่ตลาดประเมิน
5. หุ้นที่จะทำให้คุณติดดอย คือ >>> ร้านข้าวมันไก่ ที่ติดป้ายขายในราคาที่ "สูงกว่า" ราคาที่ตลาดประเมิน
(มากกว่า น้อยกว่า --- ใช้กับการเปรียบเทียบ ตัวเลขทางพื้นฐาน)
(สูงกว่า ต่ำกว่า ---- ใช้กับการเปรียบเทียบ ตัวเลขของราคาหุ้น)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------