จ่อหั่นเพดานปล่อยกู้เหลือ3เท่า กันวัยโจ๋จ่ายหนี้เกินตัว
https://www.dailynews.co.th/economic/573384
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมานานแล้ว
การที่คนรุ่นใหม่กินดีอยู่ดี หยุดเป็นเที่ยว ว่างเป็นช้อบ ห่วงสวย ห่วงหล่อ รักการแต่งตัว รักการถ่ายรูป
มากกว่าที่จะเลือกหาความมั่นคงในชีวิตอย่างการเก็บออม หรือการซื้อที่อยู่อาศัย
เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ? มันเปลี่ยนยากแล้ว ยิ่งนานไปความคิดที่จะเริ่มเก็บออมมันยิ่งลดลง
เพราะมันท้อ บางคนยากเกินจะกลับตัวด้วยหนี้สินที่มากเกินจะจ่ายไหว
บางคนหันไปหาการพนัน แล้วมันก็เป็นจุดที่พาไปสู่ทางตันเร็วขึ้นกว่าเดิม
เราปล่อยให้ปัญหานี้คาราคาซังมานานเกิน
เพียงเพราะว่า เราต้องการกำลังซื้อมาช่วยเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปัญหา subprime
ซึ่งอันที่จริงมันไม่ได้เกิดปัญหาจากเราโดยตรง เราได้รับเพียงแรงกระเพื่อมลูกใหญ่หน่อยเท่านั้นเพราะปัญหามันมาจากมหาอำนาจของโลก
แค่เพียงเราอดทนและเดินไปตามปกติ มันอาจจะทำให้เราวูบบ้างแต่ก็ไม่นาน
แต่เราไม่ทำ เราเลือกที่จะกระตุ้นการบริโภคด้วยเพราะเห็นว่าตอนนั้นหนี้ครัวเรือนเราต่ำ ก็เอามาใช้หักกลบให้ gdp มันโตได้
อันที่จริง จะใช้ก็ได้นะแต่ก็ต้องรู้จักลิมิต แต่กลายเป็นว่า พอใช้แล้วมันได้ผลก็ใช้จนมันพังจนหนี้ครัวเรือนสูงมาก
มันก็จบกันแบบนี้ จบด้วยกำลังซื้อหดตัว แล้วเราก็ค่อยมาซ้ำเติมด้วยการลดการเข้าถึงสินเชื่อในจุดที่มันสาย ซึ่งมันกลายเป็นการซ้ำเติมให้หนักขึ้นอีก
มากกว่านั้น มาตอนนี้เราเห็นว่า หนี้ภาครัฐเราต่ำ (กระสุนนัดสุดท้าย) เราก็จะใช้มันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
จะบอกว่า อย่าทำก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ทำยิ่งแน่ไปกันใหญ่
แต่มันก็เป็นการเสี่ยงมากๆ เพราะถ้าไม่สำเร็จละก็ เราจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
นั้นคือ กระทบกับค่าเงินบาท ผ่านเครดิตของประเทศ ประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจ ไม่ใช่สกุลเงินหลักของโลก
เมื่อมีหนี้มากเกินกว่าจะชำระไหว มันก็เหมือนคนไม่มีเครดิต จะไปกู้ที่ไหน เค้าก็ไม่ให้กู้
ปล.คุยซีเรียสไปมั้ยฮะ
จ่อหั่นเพดานปล่อยกู้เหลือ3เท่า กันวัยโจ๋จ่ายหนี้เกินตัว
https://www.dailynews.co.th/economic/573384
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมานานแล้ว
การที่คนรุ่นใหม่กินดีอยู่ดี หยุดเป็นเที่ยว ว่างเป็นช้อบ ห่วงสวย ห่วงหล่อ รักการแต่งตัว รักการถ่ายรูป
มากกว่าที่จะเลือกหาความมั่นคงในชีวิตอย่างการเก็บออม หรือการซื้อที่อยู่อาศัย
เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ? มันเปลี่ยนยากแล้ว ยิ่งนานไปความคิดที่จะเริ่มเก็บออมมันยิ่งลดลง
เพราะมันท้อ บางคนยากเกินจะกลับตัวด้วยหนี้สินที่มากเกินจะจ่ายไหว
บางคนหันไปหาการพนัน แล้วมันก็เป็นจุดที่พาไปสู่ทางตันเร็วขึ้นกว่าเดิม
เราปล่อยให้ปัญหานี้คาราคาซังมานานเกิน
เพียงเพราะว่า เราต้องการกำลังซื้อมาช่วยเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปัญหา subprime
ซึ่งอันที่จริงมันไม่ได้เกิดปัญหาจากเราโดยตรง เราได้รับเพียงแรงกระเพื่อมลูกใหญ่หน่อยเท่านั้นเพราะปัญหามันมาจากมหาอำนาจของโลก
แค่เพียงเราอดทนและเดินไปตามปกติ มันอาจจะทำให้เราวูบบ้างแต่ก็ไม่นาน
แต่เราไม่ทำ เราเลือกที่จะกระตุ้นการบริโภคด้วยเพราะเห็นว่าตอนนั้นหนี้ครัวเรือนเราต่ำ ก็เอามาใช้หักกลบให้ gdp มันโตได้
อันที่จริง จะใช้ก็ได้นะแต่ก็ต้องรู้จักลิมิต แต่กลายเป็นว่า พอใช้แล้วมันได้ผลก็ใช้จนมันพังจนหนี้ครัวเรือนสูงมาก
มันก็จบกันแบบนี้ จบด้วยกำลังซื้อหดตัว แล้วเราก็ค่อยมาซ้ำเติมด้วยการลดการเข้าถึงสินเชื่อในจุดที่มันสาย ซึ่งมันกลายเป็นการซ้ำเติมให้หนักขึ้นอีก
มากกว่านั้น มาตอนนี้เราเห็นว่า หนี้ภาครัฐเราต่ำ (กระสุนนัดสุดท้าย) เราก็จะใช้มันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
จะบอกว่า อย่าทำก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ทำยิ่งแน่ไปกันใหญ่
แต่มันก็เป็นการเสี่ยงมากๆ เพราะถ้าไม่สำเร็จละก็ เราจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
นั้นคือ กระทบกับค่าเงินบาท ผ่านเครดิตของประเทศ ประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจ ไม่ใช่สกุลเงินหลักของโลก
เมื่อมีหนี้มากเกินกว่าจะชำระไหว มันก็เหมือนคนไม่มีเครดิต จะไปกู้ที่ไหน เค้าก็ไม่ให้กู้
ปล.คุยซีเรียสไปมั้ยฮะ