ใครเคยทำความดีแล้วรู้สึกสบายใจไปทั้งวันบ้างครับ

กระทู้คำถาม
คือผมเองวันนั้นตอนเช้าๆไปนั่งกินโจ๊กพระท่านก็เดินมาบิณฑบาตตามปกติแต่ท่านอยู่คนละฝั่งของถนนผมก็ไม่ได้จะใส่บาตรหรอกครับแต่ผมก็ยกมือไหว้เฉยๆ แต่พระท่านกลับพูดมาว่า "เจริญพรโยม"  ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกสบายใจไปทั้งวันเลยก็ไม่รู้ ใครมีเหตุการณ์ทำความดีแล้วรู้สึกสบายใจแบบผมก็เอามาแชร์บางน่ะครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ตอน ม.ปลายเคยยืนรอรถเมล์อยู่หน้าโรงเรียน แล้วมันมีหมาตัวนึง ทำท่าทางเงอะๆงะๆ จะข้ามถนน ไอ้เราก็มองอยู่นานแล้ว เสียวแทนกลัวว่ารถจะชนมัน
เร็วเท่าความคิด หมาตัวนั้นกระโจนออกไปตัดหน้ารถคันนึง ปั้ง!!! เสียงดังฟังชัดมาก หมาตัวนั้นนอนนิ่งกลางถนน รถคันนั้นขับเลยไปไม่สนใจอะไรเลย
นักเรียนที่อยู่ที่ป้ายรถเมล์ก็ตกใจกัน แต่ไม่มีใครลงไปช่วย เพราะรถมันเยอะ (ช่วงเย็น เวลาเลิกงานด้วย) และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงด้วย

ผมก็ตกใจไปแปปนึง พอได้สติเห็นว่าไม่น่ามีใครช่วยมันแน่ๆแล้ว ผมก็ค่อยๆเดินไปกลางถนน พี่ๆคนขับรถก็ใจดีหยุดรถให้ด้วย ผมพยายามจะอุ้มมันขึ้นมา ใจนึงก็กลัวว่ามันจะแว้งกัดเหมือนกันนะ ผมก็ผิวปากเรียกมัน ค่อยๆลูบคอมัน 2-3 ที ให้มันรู้ว่าเรามาช่วยมัน แล้วก็อุ้มมันขึ้นมา โชคดีที่แถวๆนั้นมีคลีนิคสัตวแพทย์อยู่ด้วย ผมก็อุ้มพามันไปเลย

ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องค่ารักษาเลย ใจคิดแต่อยากจะให้มันรอด ไม่อยากให้มันตาย พอส่งถึงมือหมอแล้วมานั่งรอข้างนอกก็ฉุกคิดได้ ชิหายละตรู ค่ารักษามันจะเท่าไรเนี่ย ตอนนั้นก็คิดไว้ว่าอยากจะต่อรองหมอ ขอผ่อนจ่ายได้มั้ย เพราะเรายังอยู่มัธยมอยู่เลย ระหว่างที่คิดๆอยู่ ก็มีน้องนักเรียนตามเข้ามา น้องบอกว่าเค้ารอรถเมล์อยู่และเห็นมันถูกชนเหมือนผม เลยอยากจะรับไปเลี้ยง เพราะบ้านน้องก็เลี้ยงหมาอยู่เหมือนกัน พ่อแม่น้องเค้าจะช่วยค่ารักษาให้ ผมก็เลยสบายใจขึ้นมานิดนึง

สรุปว่าหมาตัวนั้นขาหลังหักเนื่องจากถูกชนอย่างแรง และพอหมอให้เขียนชื่อสุนัขว่าชื่ออะไร ตอนนั้นผมไม่รู้จะเขียนว่าอะไร เลยเขียนไปชื่อว่า "เซ่อ" เพราะความเซ่อของมันนี่เอง เลยทำให้มันโดนชน 55555

สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือ พอหมอรักษามันเบื้องต้นเสร็จแล้ว หมอก็อุ้มมันลงมาที่พื้น เหมือนจะลองให้มันยืนดูว่ายืนไหวมั้ย ตอนนั้นเหมือนมันรู้ว่าผมช่วยมัน มันกระดิกหางแล้วพยายามจะมาดมๆผมเหมือนจะขอบคุณ ผมนี่น้ำตาจะไหลเลยครับ รู้สึกดีมากที่มันไม่ตาย

ปล.ตอนนี้ผ่านมาเกือบสิบปีได้แล้ว ถ้าตอนนี้มันยังอยู่ก็คงจะแก่มากๆแล้วล่ะครับ
ความคิดเห็นที่ 19
ผมเคยขับรถอยู่เส้นไปสระบุรี เห็นผู้ชายอายุประมาณ 14-15 ปี เดินแบบจะหมดแรงอยู่ข้างทาง
ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะถนนเส้นนั้นยาวมาก และแถวนั้นแทบไม่มีอะไรข้างทาง
ผมเลยจอดรถถาม ปรากฏว่าเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ และดูสมองจะมีปัญหานิดหน่อย

ผมเลยขอดูบัตรประชาชน ผมเอาของผมให้ดูก่อน แล้วถามเขา(ด้วยสายตา)ว่ามีบัตรแบบนี้ไหม
จนเขาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาค้นดู ผมแอบเห็นว่าในกระเป๋าตังค์ไม่มีตังค์อยู่เลย
เขาเจอบัตรประชาชน ผมขอดู เขายื่นให้ดู ปรากฏว่าที่อยู่เขาอยู่เกือบสุดชายแดนภาคอีสาน

(ผมจำจังหวัดไม่ได้ เพราะผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว แต่พอจำได้ว่าต้องวิ่งผ่านอุดร สกลนคร)

สิ่งที่ผมคิดคือ ดูจากสภาพแล้ว ถ้าผมไม่ช่วย เขาคงตายอยู่ข้างทางนี่แหละ

ตอนนั้นเย็นวันศุกร์ (ผมทำงานโรงงานปูนตราดอกบัวที่สระบุรี) โทรบอกแฟนที่เชียงใหม่ แล้วตัดสินใจขับรถไปส่งเขา
ตลอดทางไม่ได้คุยกันเลย เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง แวะทานข้าวผัดด้วยกัน 2 ครั้ง ผมขับรถไปตามที่อยู่ในบัตรประชาชนของเขา
จนประมาณบ่าย 2 วันเสาร์ ไปถึงหมู่บ้านของเขาจนได้ ผมแจ้งให้คนในหมู่บ้านทราบ มีคนเข้ามาหาเรามากขึ้นเรื่อยๆ และส่วนใหญ่พูดไทยไม่ได้

จนเจอผู้ใหญ่คนนึง เขาพูดไทยได้ เขาบอกว่าเขาเป็นลุงของเด็กคนนี้เอง เขาบอกว่าเด็กคนนี้มีปัญหาเรื่องสมอง
คุณลุงบอกว่า ถ้าผมไม่พาเด็กคนนี้มาส่ง เด็กคนนี้ตายแน่นอน
เด็กคนนี้ถูกฝากกับญาติคนหนึ่งไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพ ช่วงนั้นทำงานฝังท่อตอนกลางคืน แล้วอยู่ดีๆเด็กคนนี้หายไป ตามหาไม่เจอ

คุณลุงคนนั้นบอกว่า แกบอกแม่เด็กคนนี้ไปแล้วว่า มันตายแน่นอน เพราะไม่มีทางเอาตัวรอดได้แน่ เพราะเขาเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก
หลังจากที่คุณลุงพยายามคุยกับเด็กคนนั้นสักพัก แกบอกว่า เด็กคนนี้พยายามเดินกลับบ้าน (จากกรุงเทพ ไปชายแดนอีสาน) จนผมมาเจอที่สระบุรี
หลังจากนั้น ชาวบ้านก็บอกให้ผมเขาไปนั่งในบ้านหลังหนึ่ง เป็นห้องกว้างๆ ดูเหมือนเป็นศาลากลางของหมู่บ้าน

แล้วชาวบ้านก็เข้ามาในห้องนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้ประมาณ 200 คน (รู้สึกเหมือนพอชาวบ้านรู้ข่าว ก็มากันทั้งหมู่บ้าน)
มานั่งเรียงตามผนังห้องจนเต็มไปหมด (โดยที่ผมนั่งอยู่กลางห้อง) แล้วสักครู่ก็มีคนยกสำรับกับข้าวใส่ถาด พร้อมขาตั้งที่ทำด้วยไม้ไผ่ (คล้ายขันโตกของทางเหนือ) แล้วเขาก็เชิญผมทานข้าว ผมก็เลยต้องทานข้าวท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ (เขินมากครับ เพราะตอนแรกตั้งใจจะมาส่งแล้ว กลับเลย)

พอทานเสร็จ เขาก็ให้ผมมานั่งที่เสื่อผืนหนึ่ง แล้วเอาโต๊ะเล็กๆมาตั้งข้างหน้า
จากนั้นก็เริ่มมีชาวบ้านเอาเชือกสีขาวมาผูกข้อมือผมทีละคน จนเชือกที่ข้อมือผมรวมเป็นก้อนใหญ่มาก
หลังจากที่มาผูกข้อมือกันครบแล้ว ก็เริ่มมีชาวบ้านเอาของมาให้ ส่วนใหญ่เป็นพระองค์เล็กๆ เป็นว่านสมุนไพร ฯลฯ

จุดสำคัญ อยู่ตรงนี้ครับ ตอนช่วงที่จะเริ่มผูกข้อมือ คุณลุงคนนั้นพาผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาหาผม แล้วบอกว่า นี่เป็นแม่ของเด็กคนนั้น
ผู้หญิงผู้เป็นแม่คนนี้ก็พูดไทยไม่ได้ครับ เธอจับมือผมไว้เบาๆ แล้วมองมาในตาผม เธอน้ำตาคลอ แต่ไม่พูดอะไร เป็นเวลาค่อนข้างนานทีเดียว
ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าเธอกำลังขอบคุณผมด้วยสายตา ที่ช่วยพาลูกของเธอกลับมาให้ สายตาคู่นั้นผมไม่เคยลืมเลย

หลังจากเสร็จพิธี ร่ำลาชาวบ้าน ผมเริ่มขับรถกลับออกมาจากหมู่บ้าน ตลอดทางยังมีชาวบ้าน กวักมือเรียกผมให้หยุดรถ แล้วให้ของฝากต่างๆ
บางคนให้พระเครื่องที่ทำจากว่าน ที่เขาบอกว่าหายากมาก สำหรับผมแล้วผมก็รับไว้ด้วยมารยาท เพราะสุดท้ายของเหล่านี้ผมก็ให้คนอื่นต่อ
แต่สิ่งที่เป็นความอิ่มใจสำหรับผมในครั้งนี้  คือ  สายตาของคุณแม่คู่นั้น ที่ส่งออกมาจากใจ จนผมสัมผัสได้ โดยไม่ต้องใช้ภาษาใดๆ

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า คนบางคน ที่อาจดูไม่มีค่าอะไรในสายตาคนอื่นเลย แต่กลับมีค่าอย่างที่สุด สำหรับผู้เป็นแม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่