สวัสดีเพื่อนๆทุกคน ผมจะมาแชร์ประสบการณ์การไป WWOOF ที่เยอรมันให้ฟังกัน
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจในประเทศเยอรมัน หรือไป WWOOF ในประเทศอื่นๆกัน
ผมเริ่มจากการอ่านหนังสือชื่อว่า อยู่ญี่ปุ่นอย่างหมาป่า โดย ABOOK
ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบประเทศเยอรมันอยู่แล้วเลยเอาทั้งสองอย่างมารวมกัน
ฟังดูเหมือนไปไม่ยาก แต่จริงๆแล้วทริปนี้เรียกว่าเป็น Journey of the life time ของผมเลย
ใครที่ไม่สนใจจะไป WWOOF ก็อ่านสนุกๆก็ได้ครับ
ประสบการณ์มันเลอค่า เลยอยากแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
ขออนุญาตเล่าแบบไม่ประติดประต่อสักเท่าไหร่นะครับ อ้างอิงจาก Diary ที่บันทึกมาระหว่างเดินทาง
ผมออกเดินทางจากเมืองไทยวันที่ 9 มิถุนายน 2559 ยังจำได้ดี พ่อแม่พี่ชายไปส่งผมที่สุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 17.00 อากาศร้อนๆ ดูไม่เหมือนกับว่าอะไรมากมายกำลังจะเกิดขึ้นเลย
ผมรอวันที่จะออกเดินทางมานานมาก ศึกษาทุกอย่างเอง ขอวีซ่าเอง จองโรงแรมเอง ทำทุกอย่างเอง ดีที่มีพ่อแม่คอยให้คำสนับสนุนและค่าใช้จ่าย
ผมทำ VISA แบบ Visiting Visa ครับ เนื่องจากมีเพื่อนเป็นคนเยอรมัน เลยให้เค้าเขียนจดหมายเชิญมา แต่จริงๆแล้วผมไปหาเพื่อนแค่ 3-4 วันเท่านั้น ที่เหลืออยู่ทุ่งหญ้า ป่าเขา ฟาร์ม ขุดดิน!
นั่งสายการบิน Qatar ไปต่อเครื่องที่ DOHA จำได้ว่าหลับไม่ลงเลยครับ คิดตลอดว่าพอถึงแล้วต้องทำอะไรต่อบ้าง เพราะว่าเดินทางคนเดียวจริงๆ
ไปถึงสนามบิน Munich จำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้ว่าระหว่างตรวจคนเข้าเมืองก็ยืนเข้าแถวรอในแถว Non-EU ได้คุยกับเพื่อนคนนึงเป็นคน South Africa มาหาแฟน แล้วเค้าบอกเค้าจะอยู่ที่เยอรมันเลย พีคดี
พอถึงคิวเรา ตม. ก็ตรวจเอกสารอะไรต่างๆเสร็จแล้วก็หันมามองหน้าด้วยสายตา “คนไทยหน้าแบบนี้นี่เอง” เราเป็นคนผิวเข้มๆนะครับ แล้วเค้าก็ถามว่า “How much money do you have with you?” เราก็อยากตอบว่าไม่มีตังขอตังค์หน่อยเพื่อสร้างเสียงหัวเราะนะ แต่กลัวโดนส่งกลับตั้งแต่ยังไม่ได้ขุดดิน ก็เลยบอกตามความจริง (400 EURO หรือประมาณ 16,000 Baht) แล้วเราก็เข้าไปล้างหน้าเปลี่ยนชุดแปรงฟัน หลังจากดองมา 18 ชั่วโมง กางเกงในเริ่มส่งกลิ่น
ออกมารับกระเป๋าที่เหลืออยู่ใบสุดท้าย พร้อมรับสายตายามอันอยากรู้อยากเห็นราวกับจะถามว่า “มืงไปล้างส้วมมาหรอ?” ออกมาช้าขนาดนี้
ออกมาจากที่รับกระเป๋าเราก็กลายเป็นบุคคลซึ่งมีอิสรภาพอย่างเต็มตัว อากาศที่สนามบินดีมาก ประมาณ 15 องศา แต่จำได้ว่าตอนนั้นรู้สึกต้องการการนอนมาก ความรู้สึกเหมือนตอนสอบไฟนอลเลย อดนอนไปสอบ หัวมันตันไปหมด
จากนั้นก็เดินออกจาก terminal จำได้ว่ามันมีหลาย terminal มาก แต่ละอันก็อยู่ไกลกันมาก เดินแปปๆก็เหนื่อย ใจแค่อยากถามหารถบัสเข้าเมืองละก็ซิมโทรศัพท์ จะติดต่อเพื่อน
ความรู้สึกแบบนี้ฟังดูเหมือนธรรมดาแต่เราคิดว่าการไม่มีอินเตอร์เนตและไม่รู้เส้นทางนี่เป็นอะไรที่เลวร้ายสุดแล้วนะครับ ยิ่งกว่าต้องเก็บขี้อัลปาก้าอีก (เด๋วจะเล่าเรื่องขี้อัลปาก้าให้ฟัง)
ผู้คนจะมองมาที่คุณซึ่งลากกระเป๋าใบควาย หน้าตากระเหลี่ยง ด้วยสายตาแบบเหมือนเห็นขอทานเดินขึ้นรถเมล์อะไรแบบนั้น
ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ คนขายของร้านหนังสือว่าร้านขายซิมอยู่ไหน แต่ละคนก็ชี้ไปคนละทาง
เหนื่อยใจมากบอกเลย หลักๆคงเพราะระเป๋าหนักมาก
แต่สุดท้ายก็ซื้อซิมได้ ตอนซื้อซิมมันบอก 20Euro หรือ 800 บาท ใช้เนตได้ 500Mbs เอง ซึ่งยี่ห้อก็กากๆไม่รู้จะใช้ได้หรือป่าว แต่ตอนนั้นยังไงก็ต้องลอง เสียก็เสียวะ ไม้ตายคือถ้าตูใช้เน็ตไม่ได้จะไม่ออกจากร้าน
ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้ไง แม้จะได้แต่ Edgeไม่ได้ 3G ก็ตามแต่ก็โอเค พอถูไถ
ผมเดินวนอยู่ใน Terminal นานมากกว่าจะรู้ว่าคนส่วนใหญ่เค้าหายไปไหนกัน
ผมนั่งรออยู่หน้าทางออกจาก ตม. เดินถามผู้คนไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าเค้าไม่ได้หายไปไหน เค้าลงไปชั้นใต้ดิน นั่งรถใต้ดินเข้าเมืองกันนี่เอง
ระหว่างซื้อตั๋วเข้าเมืองผมก็สังเกตเห็น ผญ หน้าเกาหลีคนนึง เวลาไปซื้อตั๋ว พนง จะถามว่าอยากได้ตั๋ววัน หรือตั๋วขาเดียว ซึ่งถูกกว่าคันแค่ 2 Euro เอง คนเกาหลีเค้าคงงงๆเลยซื้อแบบขาเดียวไป ผมก็งงมาก เหมือนเราควรซื้อตามๆกันปะวะ จะได้เหมือนๆกันอย่างน้อยก็มีเพื่อน
แต่ไม่ครับ ผมซื้อแบบตั๋ววัน นั่นแหละครับ ความเสียตังค์เริ่มทักทายผมแบบเบาๆ Hi! มาฟังกันต่อว่าทำไม
ความเสียตังค์ที่ว่านั่นมันอันตรายจริงๆครับ
คือจริงๆผมควรนั่งรถไฟไป Hauptbahnhof แล้วนั่งรถต่อไปหาเพื่อนที่ Augsburg ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างไป 80 กิโลเมตร ซึ่งก็ฟังดูไม่มีอะไร ถ้าผมถึง Hauptbahnhof (ซึ่งเป็นเหมือนหัวลำโพง) ผมก็ควรซื้อตั๋วไปต่อใช่ไหมครับ
แต่ไม่ไง ถ้าเป็นคุณ เวลา 7 โมงเช้า พระอาทิตย์กำลังส่องแสงเบาๆ อากาศกำลังอุ่นขึ้น มีตั๋ววันคุณจะทำไง?
ใช่ครับ บอกตัวเองว่า เห้ยกาย (ผมชื่อกายนะครับ) ดูเมืองหน่อยมั้ยเพื่อน? ตั๋วฟรีนะ?
ก็ได้! (ตอบตัวเอง) พร้อมกาง lonely planet ออกมากาไว้ 4-5 สถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปในวันนั้น พร้อมทั้งทัก whatsapp บอกเพื่อนว่า “Hey! see you at 15.00!”
นั่นแหละครับ คือจุดเริ่มต้นที่เริ่มจากการซื้อตั๋วแพง
สรุปสั้นๆเลยว่า หลังจากนั้นโดนอะไรไปบ้าง เริ่มจากกระเป๋ามันหนักก็เลยเอากระเป๋าไปฝาก 4.2 Euro แต่เป๋าเรามันใหญ่เลยจัดแบบ 6.00Euro (= 240 บาท)แทน ไป Olympic park โดนค่านั่งรถพาทัวร์ไปอีก 5Euro (200 บาท) โดนค่าอาหารเช้า เที่ยง ไปอีกมื้อละ 5ยูโร ซึ่งคือขนมปังโง่ๆ ซึ่งโง่มากเมื่อเทียบกับราคา 200 บาท ที่เจ็บสุดคือน้ำเปล่า ที่มิวนิคไม่มีทางเลือกเลยถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยว ทุกคนต้องพกกระติกน้ำให้เป็นนิสัย เพราะน้ำหนึ่งขวด 4 ยูโร (160 บาท!!!) กูต้องการน้ำดื่ม crystal ขวดละ 7 บาท!!!
สาบานกับตัวเองเลยว่า “ชาตินี้มืงได้ตังค์กูครั้งเดียวแหละวะ!” แม้ตัดภาพไปแล้วจะซื้อไปทั้งหมดร่วมๆ 20 ขวดตลอดทริปก็ตาม (พ่อแม่รู้คงเสียใจโนะ)
บรรยากาศเวลาเดินเที่ยวมิวนิคนี่จะเป็นเหมือนแบบชะโงกทัวร์มากๆ คือแบบlonely planetบอกว่าให้ไปที่ไหนก็จะไป พอเดินถึงก็จะยืนชื่นชมเป็นเวลา 5 วินาทีแล้วบอกตัวเองว่า “กาย มืงมาถึงแล้วหวะ เจ๋ง!” (เอามือตบไหล่ตัวเองเบาๆ) แล้วก็เดินไปต่อ ซึ่งหลังๆค้นพบว่ามันไม่ใช่เลย หลังๆไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆอย่างเบอลินนี่จำได้ว่าแทบจะปา lonely planet ทิ้งเลยแล้วเดินหาช็อปปิ้งเซ็นเตอร์แทน (พ่อแม่รู้คงเสียใจโนะ อิอิ)
วันแรกจบลงด้วยการนั่งรถไฟไปหาเพื่อนที่ Augsburg ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควร ราวๆ 1 ชั่วโมง สิ่งที่จำได้ระหว่างนั่งรถไฟไปคือเรานั่งอยู่หลังห้องน้ำ ซึ่งรถไฟในเยอรมันจะมีห้องน้ำด้วย เวลาใครจะเดินมาจากประตูก็จะต้องเดินผ่านห้องน้ำแล้วเดินเข้ามาหาที่นั่ง ซึ่งหลังห้องน้ำมีผมนั่งอยู่ไง แล้วเวลาคนเราตกใจมันจะไม่มีการเสแสร้งใดๆเลย ความคิดทุกอย่างมันจะออกมาทางสีหน้าจริงๆ เวลาคนเราตกใจก็จะมีหลายระดับ ระดับแรกคือ “เห้ยมีคนนั่งตรงนี้ด้วย!” ระดับที่สองคือเจอชาติพันธ์ที่คาดไม่ถึง เจอเอเชียนี่ต้องบอกเลยว่าเค้าคงไม่คาดคิดจริงๆ “เห้ย มีคนนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย! ... เห้ย! เชี่ย!...มืงมันนน” ในใจกุก็อยากรู้ว่า ทำไมหรอ กูหล่อใช่ไหม บอกกูที!! หน้ามืงเหมือนเจอผีเลยนะ สัส!
นั่งอยู่ตรงนั้นอยู่ร่วมชั่วโมงก็ทนไม่ไหว เดินหาที่นั่งในโบกี้ถัดไป จำได้ว่าตอนลากกระเป๋าเปิดประตูไปอีกโบกี้นึงเหมือนเปิดหน้ากากทุเรียน คนที่เล่นมือถือเงยหน้ามามอง ก้มเล่นมือถือต่อ 0.1 วินาที แล้วหันขึ้นมามองใหม่ “ครับ” “กูเอง ดูกระเหรี่ยงมากใช่ไหมครับ?” มืงมองตูแบบนี้เดี๋ยวไม่ให้ไปเที่ยวทะเลภูเก็ตนะครับ
อยากตะโกนออกไปว่า “้hate you all” แต่ก็ทำไม่ได้พูดไป ใจไม่นิ่งพอ กลัวไม่ได้กลับบ้าน ได้แต่นั่งลงแล้วพูดแบบกัดฟันว่า “สึส!”
เจอเพื่อนเก่า
บ้านผมเคยเป็นโฮสให้กับคนเยอรมันคนหนึ่งครับ ผู้หญิงคนนี้มาฝึกสอนที่โรงเรียนผมตอนผมอยู่ ม5 ตอนนั้นอีฟาก็น่าจะอายุราวๆ 25 เห็นจะได้ ตอนที่ผมไปหาเธอคราวนี้เธอก็คงประมาณ 30 แล้วหล่ะ
จำได้ว่าวันสุดท้ายที่อีฟาจะบินกลับเมืองไทย แฟนเค้ามารับถึงที่นี่เลย เป็นการแสดงความรักที่น่ารักมากๆ แฟนเค้าตอนนี้ก็แต่งงานกันกลายเป็นสามีเรียบร้อย
และในที่สุดก็ได้มาเจอกันสักที
การไม่ได้เจอใครนานๆเหมือนจะทำให้อะไรๆดูแปลกไปแต่จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าทุกๆอย่างยังเหมือนเดิม บ้านอีฟา (ชื่อ อีฟา แต่เรียกว่า “อีฟ” ละกันนะครับ) เป็นบ้านหลังใหม่ที่สะท้อนความเป็นเยอรมันมากๆ ทุกๆอย่างถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย บ้านโล่ง โปร่ง มีสวนหลังบ้านไว้ปาร์ตี้บาร์บีคิวอีกด้วย
คนเยอรมันจะให้ความสำคัญกับบ้านมากครับ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับรถยนต์มากนัก เพราะปกตินั่งรถไฟไปทำงาน ปั่นจักรยานไปซื้อของ วันๆแทบไม่ได้ขับรถเลย ไม่มีใครอวดว่า “เรามีเบ็นซ์นะ เรามี BMW นะ” เพราะว่าทุกๆบ้านเค้าก็มีกัน เค้าจะมองว่าใช้ตังไม่เป็นมากกว่าถ้าซื้อรถแพงๆ
ความภูมิใจวันๆของคนเยอรมันคือการชวนเพื่อนๆมาทานอาหารที่บ้าน มาย่างเนื้อกินกันหลังบ้าน จิบเบียร์ พาเพื่อนๆเยี่ยมชมห้องต่างๆในบ้าน พูดคุยเรื่องการงาน เรื่องชีวิตความเป้นอยู่
การไปเจออีฟในครั้งแรกนี้เป็นแค่เหมือนการมาทักทายขำๆเท่านั้น จำได้ว่าวันรุ่งขึ้นกลายเป็นผมเองที่ชวนเพื่อนๆคนไทยที่เคยเรียนภาษาเยอรมันด้วยกันมากินข้าวกันที่บ้านอีฟ จากนั้นไปเที่ยว neuschweinstein กันซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจนักสำหรับผม
เพื่อนๆคนไทยที่มาหาผมกับอีฟพูดเป็นเสียงเดียวกันแค่ว่าเค้ารู้สึกว่าอีฟจริงใจกับพวกเรามาก เพื่อนๆผมบอกว่าแม้จะอยู่เยอรมันมานานแต่ก็ไม่เคยเจอใครที่ดีขนาดนี้ ผมก็ว่าจริงนะ ดูแลดีจริงๆอะ ทำอะไรให้ตั้งเยอะ ไม่เก็บตังค์เลยสักบาท!
รักก็ตรงนี้แหละ (ล้อเล่นครับ คนไทยขี้เกรงใจจะตาย หารตลอด)
เด๋วมาโพสต่อ
[CR] WWOOF Germany อยู่เยอรมันอย่างหมาน้อย!
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจในประเทศเยอรมัน หรือไป WWOOF ในประเทศอื่นๆกัน
ผมเริ่มจากการอ่านหนังสือชื่อว่า อยู่ญี่ปุ่นอย่างหมาป่า โดย ABOOK
ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบประเทศเยอรมันอยู่แล้วเลยเอาทั้งสองอย่างมารวมกัน
ฟังดูเหมือนไปไม่ยาก แต่จริงๆแล้วทริปนี้เรียกว่าเป็น Journey of the life time ของผมเลย
ใครที่ไม่สนใจจะไป WWOOF ก็อ่านสนุกๆก็ได้ครับ
ประสบการณ์มันเลอค่า เลยอยากแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
ขออนุญาตเล่าแบบไม่ประติดประต่อสักเท่าไหร่นะครับ อ้างอิงจาก Diary ที่บันทึกมาระหว่างเดินทาง
ผมออกเดินทางจากเมืองไทยวันที่ 9 มิถุนายน 2559 ยังจำได้ดี พ่อแม่พี่ชายไปส่งผมที่สุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 17.00 อากาศร้อนๆ ดูไม่เหมือนกับว่าอะไรมากมายกำลังจะเกิดขึ้นเลย
ผมรอวันที่จะออกเดินทางมานานมาก ศึกษาทุกอย่างเอง ขอวีซ่าเอง จองโรงแรมเอง ทำทุกอย่างเอง ดีที่มีพ่อแม่คอยให้คำสนับสนุนและค่าใช้จ่าย
ผมทำ VISA แบบ Visiting Visa ครับ เนื่องจากมีเพื่อนเป็นคนเยอรมัน เลยให้เค้าเขียนจดหมายเชิญมา แต่จริงๆแล้วผมไปหาเพื่อนแค่ 3-4 วันเท่านั้น ที่เหลืออยู่ทุ่งหญ้า ป่าเขา ฟาร์ม ขุดดิน!
นั่งสายการบิน Qatar ไปต่อเครื่องที่ DOHA จำได้ว่าหลับไม่ลงเลยครับ คิดตลอดว่าพอถึงแล้วต้องทำอะไรต่อบ้าง เพราะว่าเดินทางคนเดียวจริงๆ
ไปถึงสนามบิน Munich จำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้ว่าระหว่างตรวจคนเข้าเมืองก็ยืนเข้าแถวรอในแถว Non-EU ได้คุยกับเพื่อนคนนึงเป็นคน South Africa มาหาแฟน แล้วเค้าบอกเค้าจะอยู่ที่เยอรมันเลย พีคดี
พอถึงคิวเรา ตม. ก็ตรวจเอกสารอะไรต่างๆเสร็จแล้วก็หันมามองหน้าด้วยสายตา “คนไทยหน้าแบบนี้นี่เอง” เราเป็นคนผิวเข้มๆนะครับ แล้วเค้าก็ถามว่า “How much money do you have with you?” เราก็อยากตอบว่าไม่มีตังขอตังค์หน่อยเพื่อสร้างเสียงหัวเราะนะ แต่กลัวโดนส่งกลับตั้งแต่ยังไม่ได้ขุดดิน ก็เลยบอกตามความจริง (400 EURO หรือประมาณ 16,000 Baht) แล้วเราก็เข้าไปล้างหน้าเปลี่ยนชุดแปรงฟัน หลังจากดองมา 18 ชั่วโมง กางเกงในเริ่มส่งกลิ่น
ออกมารับกระเป๋าที่เหลืออยู่ใบสุดท้าย พร้อมรับสายตายามอันอยากรู้อยากเห็นราวกับจะถามว่า “มืงไปล้างส้วมมาหรอ?” ออกมาช้าขนาดนี้
ออกมาจากที่รับกระเป๋าเราก็กลายเป็นบุคคลซึ่งมีอิสรภาพอย่างเต็มตัว อากาศที่สนามบินดีมาก ประมาณ 15 องศา แต่จำได้ว่าตอนนั้นรู้สึกต้องการการนอนมาก ความรู้สึกเหมือนตอนสอบไฟนอลเลย อดนอนไปสอบ หัวมันตันไปหมด
จากนั้นก็เดินออกจาก terminal จำได้ว่ามันมีหลาย terminal มาก แต่ละอันก็อยู่ไกลกันมาก เดินแปปๆก็เหนื่อย ใจแค่อยากถามหารถบัสเข้าเมืองละก็ซิมโทรศัพท์ จะติดต่อเพื่อน
ความรู้สึกแบบนี้ฟังดูเหมือนธรรมดาแต่เราคิดว่าการไม่มีอินเตอร์เนตและไม่รู้เส้นทางนี่เป็นอะไรที่เลวร้ายสุดแล้วนะครับ ยิ่งกว่าต้องเก็บขี้อัลปาก้าอีก (เด๋วจะเล่าเรื่องขี้อัลปาก้าให้ฟัง)
ผู้คนจะมองมาที่คุณซึ่งลากกระเป๋าใบควาย หน้าตากระเหลี่ยง ด้วยสายตาแบบเหมือนเห็นขอทานเดินขึ้นรถเมล์อะไรแบบนั้น
ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ คนขายของร้านหนังสือว่าร้านขายซิมอยู่ไหน แต่ละคนก็ชี้ไปคนละทาง
เหนื่อยใจมากบอกเลย หลักๆคงเพราะระเป๋าหนักมาก
แต่สุดท้ายก็ซื้อซิมได้ ตอนซื้อซิมมันบอก 20Euro หรือ 800 บาท ใช้เนตได้ 500Mbs เอง ซึ่งยี่ห้อก็กากๆไม่รู้จะใช้ได้หรือป่าว แต่ตอนนั้นยังไงก็ต้องลอง เสียก็เสียวะ ไม้ตายคือถ้าตูใช้เน็ตไม่ได้จะไม่ออกจากร้าน
ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้ไง แม้จะได้แต่ Edgeไม่ได้ 3G ก็ตามแต่ก็โอเค พอถูไถ
ผมเดินวนอยู่ใน Terminal นานมากกว่าจะรู้ว่าคนส่วนใหญ่เค้าหายไปไหนกัน
ผมนั่งรออยู่หน้าทางออกจาก ตม. เดินถามผู้คนไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าเค้าไม่ได้หายไปไหน เค้าลงไปชั้นใต้ดิน นั่งรถใต้ดินเข้าเมืองกันนี่เอง
ระหว่างซื้อตั๋วเข้าเมืองผมก็สังเกตเห็น ผญ หน้าเกาหลีคนนึง เวลาไปซื้อตั๋ว พนง จะถามว่าอยากได้ตั๋ววัน หรือตั๋วขาเดียว ซึ่งถูกกว่าคันแค่ 2 Euro เอง คนเกาหลีเค้าคงงงๆเลยซื้อแบบขาเดียวไป ผมก็งงมาก เหมือนเราควรซื้อตามๆกันปะวะ จะได้เหมือนๆกันอย่างน้อยก็มีเพื่อน
แต่ไม่ครับ ผมซื้อแบบตั๋ววัน นั่นแหละครับ ความเสียตังค์เริ่มทักทายผมแบบเบาๆ Hi! มาฟังกันต่อว่าทำไม
ความเสียตังค์ที่ว่านั่นมันอันตรายจริงๆครับ
คือจริงๆผมควรนั่งรถไฟไป Hauptbahnhof แล้วนั่งรถต่อไปหาเพื่อนที่ Augsburg ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างไป 80 กิโลเมตร ซึ่งก็ฟังดูไม่มีอะไร ถ้าผมถึง Hauptbahnhof (ซึ่งเป็นเหมือนหัวลำโพง) ผมก็ควรซื้อตั๋วไปต่อใช่ไหมครับ
แต่ไม่ไง ถ้าเป็นคุณ เวลา 7 โมงเช้า พระอาทิตย์กำลังส่องแสงเบาๆ อากาศกำลังอุ่นขึ้น มีตั๋ววันคุณจะทำไง?
ใช่ครับ บอกตัวเองว่า เห้ยกาย (ผมชื่อกายนะครับ) ดูเมืองหน่อยมั้ยเพื่อน? ตั๋วฟรีนะ?
ก็ได้! (ตอบตัวเอง) พร้อมกาง lonely planet ออกมากาไว้ 4-5 สถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปในวันนั้น พร้อมทั้งทัก whatsapp บอกเพื่อนว่า “Hey! see you at 15.00!”
นั่นแหละครับ คือจุดเริ่มต้นที่เริ่มจากการซื้อตั๋วแพง
สรุปสั้นๆเลยว่า หลังจากนั้นโดนอะไรไปบ้าง เริ่มจากกระเป๋ามันหนักก็เลยเอากระเป๋าไปฝาก 4.2 Euro แต่เป๋าเรามันใหญ่เลยจัดแบบ 6.00Euro (= 240 บาท)แทน ไป Olympic park โดนค่านั่งรถพาทัวร์ไปอีก 5Euro (200 บาท) โดนค่าอาหารเช้า เที่ยง ไปอีกมื้อละ 5ยูโร ซึ่งคือขนมปังโง่ๆ ซึ่งโง่มากเมื่อเทียบกับราคา 200 บาท ที่เจ็บสุดคือน้ำเปล่า ที่มิวนิคไม่มีทางเลือกเลยถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยว ทุกคนต้องพกกระติกน้ำให้เป็นนิสัย เพราะน้ำหนึ่งขวด 4 ยูโร (160 บาท!!!) กูต้องการน้ำดื่ม crystal ขวดละ 7 บาท!!!
สาบานกับตัวเองเลยว่า “ชาตินี้มืงได้ตังค์กูครั้งเดียวแหละวะ!” แม้ตัดภาพไปแล้วจะซื้อไปทั้งหมดร่วมๆ 20 ขวดตลอดทริปก็ตาม (พ่อแม่รู้คงเสียใจโนะ)
บรรยากาศเวลาเดินเที่ยวมิวนิคนี่จะเป็นเหมือนแบบชะโงกทัวร์มากๆ คือแบบlonely planetบอกว่าให้ไปที่ไหนก็จะไป พอเดินถึงก็จะยืนชื่นชมเป็นเวลา 5 วินาทีแล้วบอกตัวเองว่า “กาย มืงมาถึงแล้วหวะ เจ๋ง!” (เอามือตบไหล่ตัวเองเบาๆ) แล้วก็เดินไปต่อ ซึ่งหลังๆค้นพบว่ามันไม่ใช่เลย หลังๆไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆอย่างเบอลินนี่จำได้ว่าแทบจะปา lonely planet ทิ้งเลยแล้วเดินหาช็อปปิ้งเซ็นเตอร์แทน (พ่อแม่รู้คงเสียใจโนะ อิอิ)
วันแรกจบลงด้วยการนั่งรถไฟไปหาเพื่อนที่ Augsburg ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควร ราวๆ 1 ชั่วโมง สิ่งที่จำได้ระหว่างนั่งรถไฟไปคือเรานั่งอยู่หลังห้องน้ำ ซึ่งรถไฟในเยอรมันจะมีห้องน้ำด้วย เวลาใครจะเดินมาจากประตูก็จะต้องเดินผ่านห้องน้ำแล้วเดินเข้ามาหาที่นั่ง ซึ่งหลังห้องน้ำมีผมนั่งอยู่ไง แล้วเวลาคนเราตกใจมันจะไม่มีการเสแสร้งใดๆเลย ความคิดทุกอย่างมันจะออกมาทางสีหน้าจริงๆ เวลาคนเราตกใจก็จะมีหลายระดับ ระดับแรกคือ “เห้ยมีคนนั่งตรงนี้ด้วย!” ระดับที่สองคือเจอชาติพันธ์ที่คาดไม่ถึง เจอเอเชียนี่ต้องบอกเลยว่าเค้าคงไม่คาดคิดจริงๆ “เห้ย มีคนนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย! ... เห้ย! เชี่ย!...มืงมันนน” ในใจกุก็อยากรู้ว่า ทำไมหรอ กูหล่อใช่ไหม บอกกูที!! หน้ามืงเหมือนเจอผีเลยนะ สัส!
นั่งอยู่ตรงนั้นอยู่ร่วมชั่วโมงก็ทนไม่ไหว เดินหาที่นั่งในโบกี้ถัดไป จำได้ว่าตอนลากกระเป๋าเปิดประตูไปอีกโบกี้นึงเหมือนเปิดหน้ากากทุเรียน คนที่เล่นมือถือเงยหน้ามามอง ก้มเล่นมือถือต่อ 0.1 วินาที แล้วหันขึ้นมามองใหม่ “ครับ” “กูเอง ดูกระเหรี่ยงมากใช่ไหมครับ?” มืงมองตูแบบนี้เดี๋ยวไม่ให้ไปเที่ยวทะเลภูเก็ตนะครับ
อยากตะโกนออกไปว่า “้hate you all” แต่ก็ทำไม่ได้พูดไป ใจไม่นิ่งพอ กลัวไม่ได้กลับบ้าน ได้แต่นั่งลงแล้วพูดแบบกัดฟันว่า “สึส!”
เจอเพื่อนเก่า
บ้านผมเคยเป็นโฮสให้กับคนเยอรมันคนหนึ่งครับ ผู้หญิงคนนี้มาฝึกสอนที่โรงเรียนผมตอนผมอยู่ ม5 ตอนนั้นอีฟาก็น่าจะอายุราวๆ 25 เห็นจะได้ ตอนที่ผมไปหาเธอคราวนี้เธอก็คงประมาณ 30 แล้วหล่ะ
จำได้ว่าวันสุดท้ายที่อีฟาจะบินกลับเมืองไทย แฟนเค้ามารับถึงที่นี่เลย เป็นการแสดงความรักที่น่ารักมากๆ แฟนเค้าตอนนี้ก็แต่งงานกันกลายเป็นสามีเรียบร้อย
และในที่สุดก็ได้มาเจอกันสักที
การไม่ได้เจอใครนานๆเหมือนจะทำให้อะไรๆดูแปลกไปแต่จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าทุกๆอย่างยังเหมือนเดิม บ้านอีฟา (ชื่อ อีฟา แต่เรียกว่า “อีฟ” ละกันนะครับ) เป็นบ้านหลังใหม่ที่สะท้อนความเป็นเยอรมันมากๆ ทุกๆอย่างถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย บ้านโล่ง โปร่ง มีสวนหลังบ้านไว้ปาร์ตี้บาร์บีคิวอีกด้วย
คนเยอรมันจะให้ความสำคัญกับบ้านมากครับ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับรถยนต์มากนัก เพราะปกตินั่งรถไฟไปทำงาน ปั่นจักรยานไปซื้อของ วันๆแทบไม่ได้ขับรถเลย ไม่มีใครอวดว่า “เรามีเบ็นซ์นะ เรามี BMW นะ” เพราะว่าทุกๆบ้านเค้าก็มีกัน เค้าจะมองว่าใช้ตังไม่เป็นมากกว่าถ้าซื้อรถแพงๆ
ความภูมิใจวันๆของคนเยอรมันคือการชวนเพื่อนๆมาทานอาหารที่บ้าน มาย่างเนื้อกินกันหลังบ้าน จิบเบียร์ พาเพื่อนๆเยี่ยมชมห้องต่างๆในบ้าน พูดคุยเรื่องการงาน เรื่องชีวิตความเป้นอยู่
การไปเจออีฟในครั้งแรกนี้เป็นแค่เหมือนการมาทักทายขำๆเท่านั้น จำได้ว่าวันรุ่งขึ้นกลายเป็นผมเองที่ชวนเพื่อนๆคนไทยที่เคยเรียนภาษาเยอรมันด้วยกันมากินข้าวกันที่บ้านอีฟ จากนั้นไปเที่ยว neuschweinstein กันซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจนักสำหรับผม
เพื่อนๆคนไทยที่มาหาผมกับอีฟพูดเป็นเสียงเดียวกันแค่ว่าเค้ารู้สึกว่าอีฟจริงใจกับพวกเรามาก เพื่อนๆผมบอกว่าแม้จะอยู่เยอรมันมานานแต่ก็ไม่เคยเจอใครที่ดีขนาดนี้ ผมก็ว่าจริงนะ ดูแลดีจริงๆอะ ทำอะไรให้ตั้งเยอะ ไม่เก็บตังค์เลยสักบาท!
รักก็ตรงนี้แหละ (ล้อเล่นครับ คนไทยขี้เกรงใจจะตาย หารตลอด)
เด๋วมาโพสต่อ