แม้ระบบการศึกษาไทยที่เป็นแบบแผนจริงๆ จังๆ มีขึ้นในรัชสมัยร.๖ แต่การแพร่กระจายในวงกว้างถือว่ายังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ และพึ่งจะมาเห็นภาพค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเอาหลังการอภิวัฒน์สยาม(2475) กล่าวคือระบบการศึกษาที่เป็นระบบแบบแผนนั้นยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มเล็กๆ เช่นกลุ่มราชนิกุล กลุ่มลูกหลานพ่อค้า คหบดี ส่วนกลุ่มต่ำถัดลงมายังคงอยู่ในบรรยากาศของระบบการศึกษาแบบเดิมๆ คือวัด นี่คือบรรยากาศการศึกษาในเมืองกรุงหลังการอภิวัฒน์ และยังไม่ต้องพูดถึงท้องที่ๆ อยู่ไกลปืนเที่ยง (สมัยนั้น แถวๆ บางกะปิ บางเขน หรือแม้แต่ ปทุมวันยังถือว่าเป็นดินแดน “ไกลปืนเที่ยง” คือคนแถวนั้นจะไม่ได้ยินเสียงปืนที่ยิงบอกเวลาเที่ยงที่ยิงจากเขตพระนคร)
ในปีที่มีการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก...ถือว่าเป็นปีที่พระสงฆ์องค์เจ้า “ตกงาน” เช่นกัน กระนั้น แม้บัดนี้ระบบการศึกษาของไทยจะหลุดจากมือพระสงฆ์ไปแต่กลิ่นไอของการศึกษาระบบเก่ายังหลงเหลืออยู่ ซึ่งถือว่าเป็นทั้งคุณทั้งโทษ(ขึ้นแล้วแต่ว่าเราจะมองในมุมไหน และต้องการให้ระบบการศึกษาเดินไปทิศทางใด?)
- ในส่วนที่เป็นคุณนั้นก็คือ การให้ความเคารพและเชื่อฟังครูอย่างสูงตามปรัชญาพุทธศาสนา (ทิศ6 อันมีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เป็นต้น) การศึกษาในลักษณะนี้จึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
- ในส่วนที่เป็นโทษก็คือ การศึกษาในแผนปัจจุบันที่เน้นให้เด็กนักเรียนได้ฝึกคิดเอง โต้แย้งหาเหตุแลผล การศึกษาในลักษณะนี้ดูเหมือนจะแย้งกับลักษณะแรกและดูออกจะก้าวร้าว(ในอุดมคติของชาวพุทธ)
ย้อนกลับไปที่การปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก แม้พระสงฆ์ทั่วประเทศเริ่มถูกทะยอยปลดเกษียณ กระนั้น...บุคคลากรที่ทำหน้าที่สอนหรือแม้แต่แต่งตำราสอนในเบื้องแรกก็ยังเป็นพระสงฆ์หรือพระสงฆ์ที่ลาสิกขาออกมาอยู่ดี ที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่นพระยาอุปกิตศิลปสาร การศึกษาของไทยจึงยังติดกลิ่นไอของวัดอยู่แม้จะพยายามนำ กลิ่นไอขนมปัง นมเนย เข้ามาแทนที่ ปัญหาจึงอยู่ที่ ตกลงเราจะเลือกแบบไหน? และถ้าไม่เลือกแบบใดแบบหนึ่ง เราจะผสมกลมกลืนกลิ่นไอของข้าวก้นบาตรกับกลิ่นไอของขนมปังและนมเนยให้เข้ากันได้อย่างไร?
“การปฏิรูปการศึกษา” เป็นหนึ่งในนโยบาย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่ายรัฐจะไม่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ตอนนี้สั่งปฏิรูปการศึกษาทันทีทันใดโดยไม่ศึกษาการปฏิรูปว่าจะไปในทิศทางใดลักษณะใดเสียก่อน
ถ้ามีเวลาจะมาเล่าต่อนะครับ....
...ปฏิรูปการศึกษา / ศึกษาการปฏิรูป…อย่างไหนควรทำก่อน?..../วัชรานนท์
ในปีที่มีการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก...ถือว่าเป็นปีที่พระสงฆ์องค์เจ้า “ตกงาน” เช่นกัน กระนั้น แม้บัดนี้ระบบการศึกษาของไทยจะหลุดจากมือพระสงฆ์ไปแต่กลิ่นไอของการศึกษาระบบเก่ายังหลงเหลืออยู่ ซึ่งถือว่าเป็นทั้งคุณทั้งโทษ(ขึ้นแล้วแต่ว่าเราจะมองในมุมไหน และต้องการให้ระบบการศึกษาเดินไปทิศทางใด?)
- ในส่วนที่เป็นคุณนั้นก็คือ การให้ความเคารพและเชื่อฟังครูอย่างสูงตามปรัชญาพุทธศาสนา (ทิศ6 อันมีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เป็นต้น) การศึกษาในลักษณะนี้จึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
- ในส่วนที่เป็นโทษก็คือ การศึกษาในแผนปัจจุบันที่เน้นให้เด็กนักเรียนได้ฝึกคิดเอง โต้แย้งหาเหตุแลผล การศึกษาในลักษณะนี้ดูเหมือนจะแย้งกับลักษณะแรกและดูออกจะก้าวร้าว(ในอุดมคติของชาวพุทธ)
ย้อนกลับไปที่การปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก แม้พระสงฆ์ทั่วประเทศเริ่มถูกทะยอยปลดเกษียณ กระนั้น...บุคคลากรที่ทำหน้าที่สอนหรือแม้แต่แต่งตำราสอนในเบื้องแรกก็ยังเป็นพระสงฆ์หรือพระสงฆ์ที่ลาสิกขาออกมาอยู่ดี ที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่นพระยาอุปกิตศิลปสาร การศึกษาของไทยจึงยังติดกลิ่นไอของวัดอยู่แม้จะพยายามนำ กลิ่นไอขนมปัง นมเนย เข้ามาแทนที่ ปัญหาจึงอยู่ที่ ตกลงเราจะเลือกแบบไหน? และถ้าไม่เลือกแบบใดแบบหนึ่ง เราจะผสมกลมกลืนกลิ่นไอของข้าวก้นบาตรกับกลิ่นไอของขนมปังและนมเนยให้เข้ากันได้อย่างไร?
“การปฏิรูปการศึกษา” เป็นหนึ่งในนโยบาย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่ายรัฐจะไม่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ตอนนี้สั่งปฏิรูปการศึกษาทันทีทันใดโดยไม่ศึกษาการปฏิรูปว่าจะไปในทิศทางใดลักษณะใดเสียก่อน
ถ้ามีเวลาจะมาเล่าต่อนะครับ....