สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
คนสวีเดนก็ผ่อนค่ะ ผ่อนชิ้นใหญ่เช่นบ้านก็ 30 ปี รถ มือถือไอโฟนก็ผ่อน เงินสดด่วนดอกเบี้ยะสูงก็มีเต็มไปหมดพุดขึ้นยังกะเห็ดบางคนผ่อนเงินกู้ยืมเรียนตึ้งแต่เป็นสาวจนเกษียณก็มี คนที่ใช้ฟุ่มเฟือยยืมหน้าโปะหลังเงินไม่พอใช้ก็มีเหมือนไทย
คนสวีเดนมักจะไม่เอาวัตถุแสดงฐานะแต่หากจะซื้ออะไรมักซื้อตามความต้องการใช้งานความชอบไม่แปลกเลยที่จะเห็นฝรั่งหนุ่มๆสาวๆขับบีเอ็มเบนซ์รถหรูๆเพราะส่วนมากเป็นมือ2345
ต่างจากไทยมีเก๋งขับก็ว่ารวย มีกระบะขับก็ว่าจน
มีไอโฟนก็ว่ารวยใช้โนแบรนด์ก็ว่าจน
ผิวขาวสว่างใสคือไฮโซ ผิวสีแทนมอซอคือชาวนา
คนไทยบางส่วนยังตัดสินคนที่วัตถุและภายนอกบ่งบอกฐานะทั้งที่ในความเป็นจริงอาจจะตรงกันข้ามกันก็ได้
ก็เหมือนกับที่เคยมีคนพูดกับเราว่าเมียฝรั่งแต่ละคนมีแต่คนรวยๆดูจากในเฟสเมียฝรั่งหลายคน
ห้องครัวบ้านติดวอเปเปอร์สวยๆ ห้องน้ำชักโครกกันทั้งนั้น
พอบอกไปว่ามันคือพื้นฐานเรื่องบ้านติดวอเปเปอร์ห้องครัวมีตู้มีเตาสวยๆเพราะมันคือพื้นฐานฝรั่งจนๆก็มีได้ อากาศที่หนาวเย็นจะให้สร้างบ้านผนังชั้นเดียว ห้องครัว ห้องน้ำ นอกบ้านเหมือนไทยไม่ได้หรอก เป็นอันว่าเราโกหก
กฎต่างๆ ที่ไทยออกมาสวีเดนก็เคยออกมาแล้วคนก็คัดค้านเกลียดชังรัฐบาลไปเลยเพราะคิดว่าชีวิตของตน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจบังคับใช้อยู่ดี เมื่อก่อนสวีเดนขับรถฝั่งเดียวกับไทย เมื่อก่อนสวีเดนไม่มีเข็มขัดนิรภัย เมื่อก่อนสวีเดนชาวไร่ชาวสวนนิยมนั่งท้ายรถขนฟาง หรือนั่งมากกว่า1คนในรถแทร๊กเตอร์ เมื่อก่อนสวีเดนรถเก๋งคันหนึ่งขนกันหลายสิบคน ทุกวันนี้ทำไม่ได้สักอย่าง
เพื่อนเราอยู่ไทยเงินเดือน 7 หมื่นกว่าไม่รวมโบนัสไม่รวมเงินเดือนเมีย รถกระบะแค็ป1เก๋ง1 มันยังบ่นว่าจน
คนสวีเดนมักจะไม่เอาวัตถุแสดงฐานะแต่หากจะซื้ออะไรมักซื้อตามความต้องการใช้งานความชอบไม่แปลกเลยที่จะเห็นฝรั่งหนุ่มๆสาวๆขับบีเอ็มเบนซ์รถหรูๆเพราะส่วนมากเป็นมือ2345
ต่างจากไทยมีเก๋งขับก็ว่ารวย มีกระบะขับก็ว่าจน
มีไอโฟนก็ว่ารวยใช้โนแบรนด์ก็ว่าจน
ผิวขาวสว่างใสคือไฮโซ ผิวสีแทนมอซอคือชาวนา
คนไทยบางส่วนยังตัดสินคนที่วัตถุและภายนอกบ่งบอกฐานะทั้งที่ในความเป็นจริงอาจจะตรงกันข้ามกันก็ได้
ก็เหมือนกับที่เคยมีคนพูดกับเราว่าเมียฝรั่งแต่ละคนมีแต่คนรวยๆดูจากในเฟสเมียฝรั่งหลายคน
ห้องครัวบ้านติดวอเปเปอร์สวยๆ ห้องน้ำชักโครกกันทั้งนั้น
พอบอกไปว่ามันคือพื้นฐานเรื่องบ้านติดวอเปเปอร์ห้องครัวมีตู้มีเตาสวยๆเพราะมันคือพื้นฐานฝรั่งจนๆก็มีได้ อากาศที่หนาวเย็นจะให้สร้างบ้านผนังชั้นเดียว ห้องครัว ห้องน้ำ นอกบ้านเหมือนไทยไม่ได้หรอก เป็นอันว่าเราโกหก
กฎต่างๆ ที่ไทยออกมาสวีเดนก็เคยออกมาแล้วคนก็คัดค้านเกลียดชังรัฐบาลไปเลยเพราะคิดว่าชีวิตของตน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจบังคับใช้อยู่ดี เมื่อก่อนสวีเดนขับรถฝั่งเดียวกับไทย เมื่อก่อนสวีเดนไม่มีเข็มขัดนิรภัย เมื่อก่อนสวีเดนชาวไร่ชาวสวนนิยมนั่งท้ายรถขนฟาง หรือนั่งมากกว่า1คนในรถแทร๊กเตอร์ เมื่อก่อนสวีเดนรถเก๋งคันหนึ่งขนกันหลายสิบคน ทุกวันนี้ทำไม่ได้สักอย่าง
เพื่อนเราอยู่ไทยเงินเดือน 7 หมื่นกว่าไม่รวมโบนัสไม่รวมเงินเดือนเมีย รถกระบะแค็ป1เก๋ง1 มันยังบ่นว่าจน
ความคิดเห็นที่ 24
ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่
ทั้งจน และทั้งใช้เงินไม่เป็น
ความจนคือ ความสามารถในการหารายได้ต่ำ อาจจะหารายได้มากแค่พอประทังชีวิต หรือมีเงินเก็บแต่เพียงน้อยนิด
ทางแก้ที่ใครๆ ก็รู้ก็คือ
- ต้องขวนขวายหาทางเพิ่มความรู้ความสามารถเพื่อเพิ่มรายได้ ไม่ได้หมายถึงให้ไปเรียนจบปริญญา แต่ให้ขยันทำงานจะได้มีทักษะเพิ่มขึ้น
- ต้องตัดลดการใช้จ่าย เพื่อให้มีเงินเก็บจนพ้นจุดวิกฏติ เช่น ทนตกงานได้ มีเงินรักษาพยาบาล.....
ทำสองอย่างด้านบนได้ก็จะมีเวลามากขึ้นในการเพิ่มทักษะ เพิ่มรายได้จนพ้นจุดนั้นไป ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วเมื่อไรจะพ้น ??
จะรอถูกหวยหรือไง ??
คนส่วนใหญ่มักจะตอบว่าเขารู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ติดเหตุผลร้อยแปดพันประการ เช่น งานไม่ดีขยันไปก็เท่านั้น (ทำไมไม่ลาออกไปหาที่อื่น) มีรายจ่ายจำเป็นเช่นโทรศัพท์มือถือ (ผมไม่เห็นใครจะตายถ้าไม่มีโทรศัพท์แพงๆ) ที่เจ็บปวดที่สุดคือ การที่คิดว่าถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้บริโภคให้ตามสมัยนิยมแล้วจะเป็นเรื่องเสียชาติเกิด
อีกเรื่องคือใช้เงินไม่เป็น
คือไม่ได้มองว่าเงินคือมูลค่าของการทำงาน เป็นเครื่องวัดว่าที่เราทำไปเนี่ยสังคมให้มูลค่าเท่าไร
การที่เรามีเงินพอซื้อของก็แปลว่า เราทำงานได้สมน้ำสมเนื้อกับมูลค่าของสินค้าที่เพื่อนร่วมสังคมสร้างมา
เพราะถ้าคิดแบบนี้ได้ก็ไม่ใช้เงินเกินกว่าที่จะหาได้
ก่อนจะใช้เงินก็จะคิดว่าเอ๊ะ เราสมควรจะใช้เงินมากแค่นั้นหรือเปล่า
เราสมควรจะมีรถราคาแพงขนาดนั้นหรือเปล่า
เราสมควรจะผ่อนบ้านราคาแพงขนาดนั้นหรือเปล่า
คำถามพวกนี้เป็นคำถามเปรียบเทียบความสามารถในการสร้างรายได้ กับการใช้จ่าย
อีกอย่างคือความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย
ถ้าเข้าใจซะใหม่ว่าสินค้ามีสองราคา คือ ราคาเงินสด และราคาเงินสดรวมดอกเบี้ย
ราคาเงินสดถูกกว่าเสมอ แต่จะได้ราคานี้ก็ต่อเมื่อมีเงินสด
ราคาแบบมีดอกเบี้ยเอาไว้ใช้ เมื่อจำเป็นต้องได้ จำเป็นต้องมี และรอเงินสดไม่ได้ หรือไม่คุ้มการขึ้นของราคา เช่น ค่าผ่อนบ้าน
ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้ การตัดสินใจซื้อของเงินผ่อนก็ทำได้อย่างสบายใจ
เช่น ซื้อบ้านที่รู้ว่าผ่อนได้แน่ๆ ซื้อรถที่รู้ว่าผ่อนได้แน่ๆ เช่นกัน
ผมทำบัญชีตั้งแต่เริ่มทำงานได้ 5 ปี ทำจนรู้สถานะทางการเงินได้ค่อนข้างแม่นยำ
ผมซื้อรถเงินสดทุกคัน เพราะซื้อแต่รถมือสอง ได้ทั้งรถราคาถูก และไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
ผมผ่อนบ้านหมดเพียงไม่กี่ปี เพราะก่อนซื้อรู้ว่ามีปัญญาซื้อได้ ไม่ได้ซื้อเกินตัว
บัญชีทำให้ผมมีเงินสดในมือก่อนที่จะคิดอยากได้อะไร
ผมใช้บัตรเครดิตเพราะสะดวก และได้สะสมแต้ม ไม่เคยใช้เพื่อผ่อน
ธนาคารไม่เคยได้รายได้ทางตรงจากผมแม้แต่บาทเดียว
แต่ทำอย่างนี้ได้ก็ต้องเก็บเงินให้ได้ในระดับหนึ่งก่อน
ถ้าไม่คิดเก็บ เลิกผ่อนของทุกประเภท คงไม่มีเงินเก็บเป็นก้อน
เมื่อไม่เคยมีเงินเป็นก้อน ก็ซื้อของแพงอยู่ร่ำไป และอยู่กับวังวนเงินผ่อนแบบนี้ไปเรื่อย
เชื่อผมเถอะครับ คนรวยซื้อของถูก คนจนซื้อของแพง และหนำซ้ำได้ของคุณภาพต่ำด้วย
ไม่ใช่ว่าคนจนไม่ฉลาด หากแต่ดันตัวเองให้มีเงินเป็นกำก่อน แล้วค่อยซื้อไม่ได้ต่างหาก
ถ้าใครยังไม่เริ่ม ผมชวนให้ทำบัญชีครับ แล้วจะรู้ว่าการบริหารเงินคืออะไร และควรจะใช้ชีวิตอย่างไร
ทั้งจน และทั้งใช้เงินไม่เป็น
ความจนคือ ความสามารถในการหารายได้ต่ำ อาจจะหารายได้มากแค่พอประทังชีวิต หรือมีเงินเก็บแต่เพียงน้อยนิด
ทางแก้ที่ใครๆ ก็รู้ก็คือ
- ต้องขวนขวายหาทางเพิ่มความรู้ความสามารถเพื่อเพิ่มรายได้ ไม่ได้หมายถึงให้ไปเรียนจบปริญญา แต่ให้ขยันทำงานจะได้มีทักษะเพิ่มขึ้น
- ต้องตัดลดการใช้จ่าย เพื่อให้มีเงินเก็บจนพ้นจุดวิกฏติ เช่น ทนตกงานได้ มีเงินรักษาพยาบาล.....
ทำสองอย่างด้านบนได้ก็จะมีเวลามากขึ้นในการเพิ่มทักษะ เพิ่มรายได้จนพ้นจุดนั้นไป ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วเมื่อไรจะพ้น ??
จะรอถูกหวยหรือไง ??
คนส่วนใหญ่มักจะตอบว่าเขารู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ติดเหตุผลร้อยแปดพันประการ เช่น งานไม่ดีขยันไปก็เท่านั้น (ทำไมไม่ลาออกไปหาที่อื่น) มีรายจ่ายจำเป็นเช่นโทรศัพท์มือถือ (ผมไม่เห็นใครจะตายถ้าไม่มีโทรศัพท์แพงๆ) ที่เจ็บปวดที่สุดคือ การที่คิดว่าถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้บริโภคให้ตามสมัยนิยมแล้วจะเป็นเรื่องเสียชาติเกิด
อีกเรื่องคือใช้เงินไม่เป็น
คือไม่ได้มองว่าเงินคือมูลค่าของการทำงาน เป็นเครื่องวัดว่าที่เราทำไปเนี่ยสังคมให้มูลค่าเท่าไร
การที่เรามีเงินพอซื้อของก็แปลว่า เราทำงานได้สมน้ำสมเนื้อกับมูลค่าของสินค้าที่เพื่อนร่วมสังคมสร้างมา
เพราะถ้าคิดแบบนี้ได้ก็ไม่ใช้เงินเกินกว่าที่จะหาได้
ก่อนจะใช้เงินก็จะคิดว่าเอ๊ะ เราสมควรจะใช้เงินมากแค่นั้นหรือเปล่า
เราสมควรจะมีรถราคาแพงขนาดนั้นหรือเปล่า
เราสมควรจะผ่อนบ้านราคาแพงขนาดนั้นหรือเปล่า
คำถามพวกนี้เป็นคำถามเปรียบเทียบความสามารถในการสร้างรายได้ กับการใช้จ่าย
อีกอย่างคือความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย
ถ้าเข้าใจซะใหม่ว่าสินค้ามีสองราคา คือ ราคาเงินสด และราคาเงินสดรวมดอกเบี้ย
ราคาเงินสดถูกกว่าเสมอ แต่จะได้ราคานี้ก็ต่อเมื่อมีเงินสด
ราคาแบบมีดอกเบี้ยเอาไว้ใช้ เมื่อจำเป็นต้องได้ จำเป็นต้องมี และรอเงินสดไม่ได้ หรือไม่คุ้มการขึ้นของราคา เช่น ค่าผ่อนบ้าน
ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้ การตัดสินใจซื้อของเงินผ่อนก็ทำได้อย่างสบายใจ
เช่น ซื้อบ้านที่รู้ว่าผ่อนได้แน่ๆ ซื้อรถที่รู้ว่าผ่อนได้แน่ๆ เช่นกัน
ผมทำบัญชีตั้งแต่เริ่มทำงานได้ 5 ปี ทำจนรู้สถานะทางการเงินได้ค่อนข้างแม่นยำ
ผมซื้อรถเงินสดทุกคัน เพราะซื้อแต่รถมือสอง ได้ทั้งรถราคาถูก และไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
ผมผ่อนบ้านหมดเพียงไม่กี่ปี เพราะก่อนซื้อรู้ว่ามีปัญญาซื้อได้ ไม่ได้ซื้อเกินตัว
บัญชีทำให้ผมมีเงินสดในมือก่อนที่จะคิดอยากได้อะไร
ผมใช้บัตรเครดิตเพราะสะดวก และได้สะสมแต้ม ไม่เคยใช้เพื่อผ่อน
ธนาคารไม่เคยได้รายได้ทางตรงจากผมแม้แต่บาทเดียว
แต่ทำอย่างนี้ได้ก็ต้องเก็บเงินให้ได้ในระดับหนึ่งก่อน
ถ้าไม่คิดเก็บ เลิกผ่อนของทุกประเภท คงไม่มีเงินเก็บเป็นก้อน
เมื่อไม่เคยมีเงินเป็นก้อน ก็ซื้อของแพงอยู่ร่ำไป และอยู่กับวังวนเงินผ่อนแบบนี้ไปเรื่อย
เชื่อผมเถอะครับ คนรวยซื้อของถูก คนจนซื้อของแพง และหนำซ้ำได้ของคุณภาพต่ำด้วย
ไม่ใช่ว่าคนจนไม่ฉลาด หากแต่ดันตัวเองให้มีเงินเป็นกำก่อน แล้วค่อยซื้อไม่ได้ต่างหาก
ถ้าใครยังไม่เริ่ม ผมชวนให้ทำบัญชีครับ แล้วจะรู้ว่าการบริหารเงินคืออะไร และควรจะใช้ชีวิตอย่างไร
ความคิดเห็นที่ 13
คนไทยรวยนอกระบบ รวยเงียบ รวยใต้ดิน รวยไมเสียภาษีเยอะ ร้านขายน้ำปั่น ข้างถนน เป็นรถเข็นคันใหญ่หน่อย ขับฟอร์จูนเนอร์ ป้ายแดงมาขาย
ผลไม้รถเข็น ขับ DMAX 4 ประตู ขนผลไม้มาลง ที่เห็นขายของบนทางเท้า ขายเสื้อผ้า ลองไปดูตอนเอาของลงสิ รถแพงๆทั้งนั้น จอดกีดขวาง
ช่องซ้ายตลอดแนว สุขุมวิท นานา สยาม พวกนี้ไม่ได้จน แต่ ไม่แสดงออกว่ารวยเพราะกลัวเสียภาษี ค่าที่ไม่ต้องเสีย
ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหาร เสียภาษีกันอย่างไร จดทะเบียน กันบ้างมั้ย พวกปล่อยกู้อีก สารพัดธุรกิจ นอกระบบ ที่ร่ำรวย
แบบไม่ต้องเสียภาษี
ถ้าระบบทะเบียนของรัฐ ใช้สมุติฐานว่าไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ได้โดยไม่กิน แสดงว่าทุกคนต้อง มีอาชีพ ต้องมีรายได้ ถ้าไม่มีงานทำ หรือ เป็นนักเรียน
ก็ต้องมีคนอุปการะ เมื่อทุกคน ก็จะโยงไปได้ถึง แหล่งของรายได้ นายจ้าง อาชีพ เป็นเกษตรกร ก็ต้องรู้ว่าทำกินที่ไหน ที่ดินใคร คงไม่มีใครอยู่เฉยๆแล้วมีอาหารกิน มีเงินใช้ แสดงว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้มีกิน ขายของก็ต้องรู้ว่าขายอะไร ใครเป็นเจ้าของ ขายที่ไหน ข้อมูลทั้งหมดมันเชื่อมโยงกัน เรียนหนังสือ ก็ต้องรู้ว่าเรียนที่ไหน ใครเป็นผู้ปกครอง กู้เรียนหรือไม่ จบเมื่อไหร่ เรียนอะไร คนทำงานก็ ต้องโยงไปถึงทำงานอะไร ใครเป็นนายจ้าง ใครจ่ายค่าจ้าง จ้างเท่าไหร่ หักภาษีเท่าไหร่ อย่างค่าขยะที่ กทม.เก็บ จะถูกจะแพงก็แล้วแต่ แต่ที่สำคัญคือต้องเก็บให้ยุติธรรม
คือ มนุษย์ในกรุงเทพทุกคน สร้างขยะ เพราะทุกคนต้องกิน ต้องใช้ แล้วจะเก็บอย่างไรให้ครบ ก็เก็บพร้อมค่าน้ำปะปานี่แหละ
กทม. ทำ MOU กับ การประปานครหลวง เทศบาลทำ MOU กับ ประปาภูมิภาค (นอกเขตเทศบาลไม่เกี่ยว) ให้เก็บค่าขยะ แทน แล้วแบ่งค่าธรรมเนียมดำเนินการให้การประปา เพราะบ้านไหนใช้น้ำต้องมีคน มีคนก็ต้องมีขยะ บ้านไหนไม่ได้ใช้น้ำเดือนไหน ก็ไม่ต้องเก็บค่าขยะ
แสดงว่าไม่อยู่บ้าน ต่อไป อาจจะมีค่าบำบัดน้ำเสียก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่ ให้คิดตามประมาณน้ำดีที่ใช้ ใช้น้ำดีมาก ก็ต้องจ่ายค่าน้ำเสียมาก
ใช้น้ำมาก แสดงว่าคนอยู่มาก ก็ต้องเสีย ค่าขยะมาก ไม่จ่ายค่าขยะ ก็โดนตัดน้ำ แบบนี้ กทม ได้เงิรเต็ม ไปสร้างโรงไฟฟ้าขยะ มีเงิน
ไปซื้อรถขยะ มารับ ประปาเค้ารู้ว่าท่อเค้าอยู่ที่ไหน กทม ก็ต้องตามไปเก็บขยะทุกที่ ที่ ท่อปะปาไปถึง เพราะทุกคนจ่ายค่าขยะเต็ม
ถ้ากทม ไม่ทำ ไม่ได้ เอาแผ่นที่ท่อน้ำปะปามาวางแผนเก็บขยะได้เลย แต่แบบปัจุบันไม่เอา ให้คนมาเดินเก็บ หมู่บ้านผมมี 100 หลังคา
เก็บได้บ้างไม่ได้บ้าง มีคนอยู่ก็เก็บได้ ไม่มีคนอยู่ก็เก็บไม่ได้ แต่ทุกบ้านที่มีคน ต้องทิ้งขยะแน่ๆ แบบนี้ไม่ยุติธรรม จากความน่าจะเป็น
บ้านที่มีคนอยู่ 5 คน ก็ต้องผลิตขยะ มากกว่าบ้านที่อยู่ 2 คน และ บ้าน 5 คนก็น่าจะใช้น้ำมากกว่าบ้าน 2 คน บ้าน 5 คนก็ควรต้องเก็บ
ค่าขยะมากกว่า
ผมเห็นคนต่างชาติเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ไม่เห็นใครจน ถ้าขยัน ประเทศเรา ทำมาหากินง่ายมาก ถ้าขยัน ประหยัด อดทน
อีกหน่อย คนพม่า AEC นี่แหละ ที่จะคล้ายๆคนจีนสมัยก่อน ที่ตอนนี้คนจีนรวย มีคนไทยเชี้อสายจีนเต็มบ้านเต็มเมือง
ต่อไปก็จะมี คนพม่ารวย คนไทยเชี้อสายพม่า มีมากขึ้น เชื้อสาย AEC มามากขึ้น เพราะพวกนี้ขยัน ประหยัด อดทน ทำมาหากิน
ผลไม้รถเข็น ขับ DMAX 4 ประตู ขนผลไม้มาลง ที่เห็นขายของบนทางเท้า ขายเสื้อผ้า ลองไปดูตอนเอาของลงสิ รถแพงๆทั้งนั้น จอดกีดขวาง
ช่องซ้ายตลอดแนว สุขุมวิท นานา สยาม พวกนี้ไม่ได้จน แต่ ไม่แสดงออกว่ารวยเพราะกลัวเสียภาษี ค่าที่ไม่ต้องเสีย
ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหาร เสียภาษีกันอย่างไร จดทะเบียน กันบ้างมั้ย พวกปล่อยกู้อีก สารพัดธุรกิจ นอกระบบ ที่ร่ำรวย
แบบไม่ต้องเสียภาษี
ถ้าระบบทะเบียนของรัฐ ใช้สมุติฐานว่าไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ได้โดยไม่กิน แสดงว่าทุกคนต้อง มีอาชีพ ต้องมีรายได้ ถ้าไม่มีงานทำ หรือ เป็นนักเรียน
ก็ต้องมีคนอุปการะ เมื่อทุกคน ก็จะโยงไปได้ถึง แหล่งของรายได้ นายจ้าง อาชีพ เป็นเกษตรกร ก็ต้องรู้ว่าทำกินที่ไหน ที่ดินใคร คงไม่มีใครอยู่เฉยๆแล้วมีอาหารกิน มีเงินใช้ แสดงว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้มีกิน ขายของก็ต้องรู้ว่าขายอะไร ใครเป็นเจ้าของ ขายที่ไหน ข้อมูลทั้งหมดมันเชื่อมโยงกัน เรียนหนังสือ ก็ต้องรู้ว่าเรียนที่ไหน ใครเป็นผู้ปกครอง กู้เรียนหรือไม่ จบเมื่อไหร่ เรียนอะไร คนทำงานก็ ต้องโยงไปถึงทำงานอะไร ใครเป็นนายจ้าง ใครจ่ายค่าจ้าง จ้างเท่าไหร่ หักภาษีเท่าไหร่ อย่างค่าขยะที่ กทม.เก็บ จะถูกจะแพงก็แล้วแต่ แต่ที่สำคัญคือต้องเก็บให้ยุติธรรม
คือ มนุษย์ในกรุงเทพทุกคน สร้างขยะ เพราะทุกคนต้องกิน ต้องใช้ แล้วจะเก็บอย่างไรให้ครบ ก็เก็บพร้อมค่าน้ำปะปานี่แหละ
กทม. ทำ MOU กับ การประปานครหลวง เทศบาลทำ MOU กับ ประปาภูมิภาค (นอกเขตเทศบาลไม่เกี่ยว) ให้เก็บค่าขยะ แทน แล้วแบ่งค่าธรรมเนียมดำเนินการให้การประปา เพราะบ้านไหนใช้น้ำต้องมีคน มีคนก็ต้องมีขยะ บ้านไหนไม่ได้ใช้น้ำเดือนไหน ก็ไม่ต้องเก็บค่าขยะ
แสดงว่าไม่อยู่บ้าน ต่อไป อาจจะมีค่าบำบัดน้ำเสียก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่ ให้คิดตามประมาณน้ำดีที่ใช้ ใช้น้ำดีมาก ก็ต้องจ่ายค่าน้ำเสียมาก
ใช้น้ำมาก แสดงว่าคนอยู่มาก ก็ต้องเสีย ค่าขยะมาก ไม่จ่ายค่าขยะ ก็โดนตัดน้ำ แบบนี้ กทม ได้เงิรเต็ม ไปสร้างโรงไฟฟ้าขยะ มีเงิน
ไปซื้อรถขยะ มารับ ประปาเค้ารู้ว่าท่อเค้าอยู่ที่ไหน กทม ก็ต้องตามไปเก็บขยะทุกที่ ที่ ท่อปะปาไปถึง เพราะทุกคนจ่ายค่าขยะเต็ม
ถ้ากทม ไม่ทำ ไม่ได้ เอาแผ่นที่ท่อน้ำปะปามาวางแผนเก็บขยะได้เลย แต่แบบปัจุบันไม่เอา ให้คนมาเดินเก็บ หมู่บ้านผมมี 100 หลังคา
เก็บได้บ้างไม่ได้บ้าง มีคนอยู่ก็เก็บได้ ไม่มีคนอยู่ก็เก็บไม่ได้ แต่ทุกบ้านที่มีคน ต้องทิ้งขยะแน่ๆ แบบนี้ไม่ยุติธรรม จากความน่าจะเป็น
บ้านที่มีคนอยู่ 5 คน ก็ต้องผลิตขยะ มากกว่าบ้านที่อยู่ 2 คน และ บ้าน 5 คนก็น่าจะใช้น้ำมากกว่าบ้าน 2 คน บ้าน 5 คนก็ควรต้องเก็บ
ค่าขยะมากกว่า
ผมเห็นคนต่างชาติเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ไม่เห็นใครจน ถ้าขยัน ประเทศเรา ทำมาหากินง่ายมาก ถ้าขยัน ประหยัด อดทน
อีกหน่อย คนพม่า AEC นี่แหละ ที่จะคล้ายๆคนจีนสมัยก่อน ที่ตอนนี้คนจีนรวย มีคนไทยเชี้อสายจีนเต็มบ้านเต็มเมือง
ต่อไปก็จะมี คนพม่ารวย คนไทยเชี้อสายพม่า มีมากขึ้น เชื้อสาย AEC มามากขึ้น เพราะพวกนี้ขยัน ประหยัด อดทน ทำมาหากิน
ความคิดเห็นที่ 4
คนไทยส่วนใหญ่ไม่รวยหรอกครับ แต่เป็นพวกฟุ้งเฟ้ออวดรํ่าอวดรวยตามสันดานจึงทำให้ประเทศไทยไม่เจริญสักที เพราะถ้าแน่จริงก็ต้องซื้อเงินสด ข้ออ้างว่ามีเงินแต่จะเอาเงินไปหมุนใช้เพื่อให้ได้รายได้มันฟังไม่ขึ้นเพราะไม่งั้นเสี่ยเจริญหรือเจ้าสัวซีพีก็ต้องผ่อนรถและข้าวของต่างๆซิ ไม่ได้ด่านะแต่อยากให้คนไทยประหยัดมัธยัตถ์เหมือนคนจีนในอดีตเพราะมันเป็นรากฐานของความรํ่ารวยที่แท้จริง
ความคิดเห็นที่ 10
อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้โดยตรง
คนในประเทศที่เจริญกว่า มีแนวโน้มที่จะมีการศึกษาที่ดีกว่า ซึ่งหมายถึงมีความรู้ความเข้าใจในด้านการเงินที่ดีกว่า
จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เงินผ่อน เพราะมันสามารถบริหารจัดการเงินได้ดีกว่าการเอาเงินสดเทลงไปเปล่าๆ
ในขณะเดียวกัน หากคนในประเทศนั้นๆ มีฐานะขึ้นมา ในระดับที่มีเงินสดเหลือมากพอที่จะนำไปซื้อของราคามากๆได้โดยที่ไม่ระคายกระเป๋าสตางค์
คนเหล่านี้ก็จะเลิกผ่อน แล้วหันมาซื้อเงินสด
ดังนั้นการผ่อน จึงเป็นเรื่องของคน(พอจะ)มีการศึกษา และไม่รวย ซึ่งในไทยเราคนกลุ่มนี้มีกลุ่มนี้จำนวนมาก
เห็นจขกท. พูดถึงเรื่องลาว เลยอยากขอเล่าตามประสบการณ์ที่ไปทำงานมาให้ฟังบ้าง
คนลาวโดยส่วนใหญ่ แม้จะเป็นคนที่มีการศึกษาดี แต่ถ้าไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการเงินก็จะไม่ค่อยเข้าใจคอนเซปต์นี้
พอไปรวมกับความเชื่อเรื่องศักดิ์ศรี ซึ่งมีสีของป้ายทะเบียนรถเป็นตัวชี้วัด
ป้ายเหลืองเงินสด ป้ายขาวเงินผ่อน
จึงทำให้รถเงินผ่อนในประเทศลาว ถึงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ไม่ค่อยได้ยินคนพูดกัน คือ
รายได้ของคนที่นำเงินมาซื้อรถโดยส่วนใหญ่ จะได้มาเป็นก้อน เช่น ขายที่ ทำธุรกิจ วิ่งเอกสาร ค่านายหน้า ใต้โต๊ะ ฯลฯ
มากกว่ามาจากเงินเดือน ซึ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก โดยเฉพาะลัดถะกอน (ข้าราชการ)
ดังนั้น จึงมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะได้เห็นคนลาวที่เป็นมนุษย์เงินเดือนผ่อนรถใช้
คนในประเทศที่เจริญกว่า มีแนวโน้มที่จะมีการศึกษาที่ดีกว่า ซึ่งหมายถึงมีความรู้ความเข้าใจในด้านการเงินที่ดีกว่า
จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เงินผ่อน เพราะมันสามารถบริหารจัดการเงินได้ดีกว่าการเอาเงินสดเทลงไปเปล่าๆ
ในขณะเดียวกัน หากคนในประเทศนั้นๆ มีฐานะขึ้นมา ในระดับที่มีเงินสดเหลือมากพอที่จะนำไปซื้อของราคามากๆได้โดยที่ไม่ระคายกระเป๋าสตางค์
คนเหล่านี้ก็จะเลิกผ่อน แล้วหันมาซื้อเงินสด
ดังนั้นการผ่อน จึงเป็นเรื่องของคน(พอจะ)มีการศึกษา และไม่รวย ซึ่งในไทยเราคนกลุ่มนี้มีกลุ่มนี้จำนวนมาก
เห็นจขกท. พูดถึงเรื่องลาว เลยอยากขอเล่าตามประสบการณ์ที่ไปทำงานมาให้ฟังบ้าง
คนลาวโดยส่วนใหญ่ แม้จะเป็นคนที่มีการศึกษาดี แต่ถ้าไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการเงินก็จะไม่ค่อยเข้าใจคอนเซปต์นี้
พอไปรวมกับความเชื่อเรื่องศักดิ์ศรี ซึ่งมีสีของป้ายทะเบียนรถเป็นตัวชี้วัด
ป้ายเหลืองเงินสด ป้ายขาวเงินผ่อน
จึงทำให้รถเงินผ่อนในประเทศลาว ถึงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ไม่ค่อยได้ยินคนพูดกัน คือ
รายได้ของคนที่นำเงินมาซื้อรถโดยส่วนใหญ่ จะได้มาเป็นก้อน เช่น ขายที่ ทำธุรกิจ วิ่งเอกสาร ค่านายหน้า ใต้โต๊ะ ฯลฯ
มากกว่ามาจากเงินเดือน ซึ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก โดยเฉพาะลัดถะกอน (ข้าราชการ)
ดังนั้น จึงมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะได้เห็นคนลาวที่เป็นมนุษย์เงินเดือนผ่อนรถใช้
แสดงความคิดเห็น
ตกลงคนไทย "จน" จริงไหม? แล้วในประเทศที่เจริญแล้ว เขามองเรื่อง "สินค้าผ่อน" อย่างไรครับ?
ถึงกระนั้น..ในข่าวก็บอกว่า แม้คนลาววันนี้จะซื้อรถด้วยวิธีผ่อนได้ ทำให้คนระดับล่างๆ สามารถเข้าถึงรถยนต์ได้ง่ายขึ้น แต่ค่านิยมคนลาวก็ยังนิยมซื้อด้วยเงินสดมากกว่า เพราะมองเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี โดยใน สปป. ลาว รถป้ายเหลืองอักษรดำคือรถยังผ่อนไม่หมด ส่วนป้ายขาวอักษรดำคือผ่อนหมดแล้วหรือซื้อสด
--------------------------------------
ผมดูข่าวนี้แล้ว นึกถึงเมืองไทยครับ สมัยน้าแอ๊ด คาราบาว ( คนเดียวกับที่ Forbes เพิ่งจัดเข้าทำเนียบมหาเศรษฐีนั่นแหละ ) เขียนเพลง "ราชาเงินผ่อน" ขึ้นมาในปี 2527
แสดงว่าการผ่อนของมีมาตั้งแต่ยุคนั้น อีกเพลงที่พูดถึงสินค้าเงินผ่อนคือ "รักทรหด" ในปี 2531
ส่วนอันนี้เป็นประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยยุคต่างๆ ในทศวรรษที่ 2530's เศรษฐกิจไทยพุ่งกระฉูดที่สุด ( ก่อนจะล้มละลายในปี 2540 )
"..การขึ้นค่าเงินของญี่ปุ่นทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถผลิตสินค้าในประเทศและทำราคาที่แข่งขันในตลาดโลกได้ จึงต้องย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียเพื่อลดต้นทุนในการผลิต ซึ่งประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น แรงงานราคาถูก บรรยากาศในการลงทุน และความสัมพันธ์ที่ดีกับคนญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ทศวรรษ 2530 ไทยได้ประโยชน์อย่างมากจากการขยายฐานโรงงานของญี่ปุ่น และการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสินค้าที่ส่งไปประกอบยังต่างประเทศ หรือตัวสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว และรายได้จากแรงงานไทยในต่างประเทศ ตัวเลขการเติบโตของ GDP ไทยอยู่ในระดับ “สูงมาก” ช่วงต้นทศวรรษ (เติบโตระดับเลขสองหลักระหว่าง พ.ศ. 2531-2533)
ช่วงปลายของทศวรรษ 2530 กลุ่มทุนไทยหน้าใหม่ๆ หลายรายสามารถสะสมความมั่งคั่งจากการดำเนินธุรกิจชนิดใหม่ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม การเงิน จนกลายเป็นกลุ่มทุนเอกชนขนาดใหญ่ได้
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงในทศวรรษ 2530's กลับควบคุมไม่อยู่และเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ในช่วงสิ้นทศวรรษ ประเทศไทยต้องยอมลอยตัวค่าเงินบาทอย่างเจ็บปวดใน พ.ศ. 2540 และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง” ที่แพร่ระบาดไปทั่วเอเชีย.."
ที่มา : http://www.siamintelligence.com/development-of-thai-economy/
ที่แน่ๆ สมัยนั้นคงอู้ฟู่มาก รถกระบะที่วันนี้มีดราม่าห้ามนั่งแค็บ-นั่งท้ายกระบะ ทศวรรษ 2530's ก็มียอดขายในประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
"..นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกประจำปี 2538 ระบุว่า ในรอบ 10 ปี (2528-2538) เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงที่สุดในโลก ขณะที่การบริโภคภายในประเทศสะท้อนความฟุ้งเฟ้อของสังคมไทยแบบสุดขีด เห็นได้จากยอดขายสินค้าต่างๆ เช่น สุราแบล็ค เลเบิลขายดีที่สุดในโลก รถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ ขายดีเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากจีน สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น รถปิกอัพขายดีเป็นอันดับ 2 ของโลก นักท่องเที่ยวไทยใช้เงินในต่างประเทศต่อคนมากกว่านักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาเที่ยวเมืองไทยถึง 28.67%.."
ที่มา : http://www.m.thai.ac/news/show/29173
------------------------------------
ดูๆ แล้วคนไทยน่าจะชอบซื้อสินค้าเงินผ่อนมาก ผมเกิด 2528 โตมาจำความได้ก็ได้ยินคำว่า "คนที่มี credit คือคนที่เชื่อถือได้" ที่หมายความว่าของผ่อนผ่อนไปเถอะถ้ามีปัญญา อย่าอายที่จะซื้อผ่อนถ้ามันต้องใช้ อะไรแบบนี้ แล้วก็ได้ยินข่าวมาตลอดจนทุกวันนี้ว่าคนไทยเป็นหนี้สินเชื่อสูงมากโดยเฉพาะบัตรเครดิต
แต่ก็เคยได้ยินว่า ในประเทศที่เจริญแล้วและเศรษฐกิจแข็ง เขาไม่ชอบสินค้าเงินผ่อน เช่น คนเยอรมนี
"ส่วนใหญ่ชาวเยอรมันมักจะใช้ชิวิตบนความแน่นอน มั่นคง ปลอดภัย ไม่สร้างหนี้
บัตรเครดิตมักไม่เป็นที่นิยม สำหรับชาวเยอรมัน แต่มักจะจ่ายเงินสด หรือบัตรเดบิต ตัดเงินในบัญชี (EC-Karte) ในการจับจ่าย
ที่อยู่อาศัย มักเป็นไปตามกำลังทรัพย์ และแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ บางคนอาจนิยมซื้อบ้านจากเงินเก็บที่มี หรือทำงานสะสมเงินเพื่อปลูกบ้าน หลังพออยู่สบาย หากมีห้องเหลือ หรือลูกๆ ย้ายออกไปอยู่เอง มักเปิดห้องให้เช่า บ้านส่วนใหญ่จะแยกเป็นสัดส่วน มีส่วนที่เป็นส่วนตัว และมีส่วนที่ใช้ร่วมกันระหว่างเจ้าของกับผู้เช่า เช่น ทางเดินบันได ทางเข้า สวนบางส่วน ห้องใต้ดิน ห้องซักผ้า
การเช่าที่อยู่อาศัย ยังคงเป็นเรื่องปกติ สำหรับชาวเยอรมัน อาจเช่ายาวเป็นสิบๆ ปี แม้บางคนชอบที่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง แต่หลายๆ คนก็ยังนิยมเช่าบ้าน ด้วยเหตุผลหลายๆ ด้าน ทั้งย้ายเมืองไปเรียนต่อ ไปทำงาน ยังไม่พร้อมลงหลักปักฐาน หรือปัจจัยเรื่องเงินเก็บ เป็นต้น
การกู้เงินมาสร้างบ้าน ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเยอรมันนัก โดยเฉพาะชาวชเวบิช (Schwäbisch) ในรัฐ รัฐบาเดน-เวือร์ทเทมแบร์ก (Baden Würrtemberg) กับสำนวน "Schaffe, schaffe, Häusle baue" ซึ่งหมายถึง ทำงานเพื่อจะสร้างบ้านหลังน้อยๆ"
ที่มา : http://mausmoin.com/tag/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99/
ก็อย่างที่ทราบกันละครับว่าเยอรมันแบก EU ทั้งกลุ่มไว้ วินัยการเงินคนชาตินี้แข็งมาก ไม่พังไม่เละไปกับประเทศอื่นๆ
( จริงๆ มีคนรู้จักไปทำงานที่สวีเดน เขาก็บอกคนสวีเดนไม่ชอบสินค้าเงินผ่อน ชอบซื้อสดมากกว่าและใช้จนครบอายุ ไม่เปลี่ยนใหม่ๆ แบบบ้านเรา ----> แต่อันนี้ผมหาข้อมูลไม่ได้ ใครเคยไปก็มาบอกทีว่าจริงไหม? )
-----------------------------------
แล้วตกลงสรุปคนไทยจนจริงไหม? พอรัฐบาลจะทำนั่นทำนี่ ตั้งแต่ยกเลิกจุดผ่อนผันแผงลอย ( แผงลอยในเขตจุดผ่อนผันคือขายได้แบบถูกกฎหมายนะครับ ไม่ต้องจ่ายส่วยอะไรทั้งนั้น ) ย้ายวินรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยไปสถานีขนส่ง เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ขึ้น VAT ( ภาษีมูลค่าเพิ่ม ) เก็บภาษีสินค้าที่ผสมน้ำตาลมากๆ หรือล่าสุดกับนโยบายห้ามนั่งในแค็บ-ท้ายกระบะ หรือก่อนหน้านี้ที่ห้ามมอเตอร์ไซค์ขึ้นสะพาน-ลอดอุโมงค์ หรือสมัยรัฐบาลก่อนหน้าที่ตำรวจเสนอจำกัดอายุรถยนต์ส่วนตัว
ทั้งหมดที่ว่ามานี่ เกือบทุกเรื่องใน ปท.เจริญแล้วเขาทำหมด ( จริงๆ ปท. พวกนั้น ไม่มีรถตู้ สองแถว รถกระป๋อง วินมอไซค์ด้วยซ้ำ เพราะไม่ปลอดภัย ) พอบ้านเราไม่ว่ารัฐบาลไหนแตะเรื่องพวกนี้ เสียงบ่นเสียงโวยวายลอยมาทันที "อย่ารังแกคนจน" "เห็นใจคนหาเช้ากินค่ำบ้าง" "คนไทยทั่วไปไม่ได้รวยเหมือนนักการเมืองหรือข้าราชการในรัฐบาลนะ" ฯลฯ อะไรประมาณนี้ แต่อีกมุม ถ้าเป็นการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ไม่ได้ออกสื่อ เราจะได้ยินเรื่องเล่าทำนอง ขับแท็กซี่บ้าง แม่ค้าแผงลอยบ้าง เกษตรกรบ้าง คนงานระดับทั่วไปบ้าง มีเงินเก็บพอสมควร ปลูกบ้าน ตจว. ได้ ผ่อนรถได้ ส่งลูกเรียน ม.เอกชนได้
ก็เข้าใจละว่าหลายคนซื้อสินค้าเงินผ่อน บ้านบ้างรถบ้างมือถือบ้าง ข้าราชการก็เป็น มนุษย์ออฟฟิศเอกชนก็เป็น ใครๆ ก็เป็น แต่เมื่อใครถามก็บอกจน
ตกลงทุกท่านคิดว่าคนไทยจนจริงไหม? และอยากทราบว่าใน ปท. อื่นๆ ที่เจริญแล้ว ( หรืออาจจะเป็น ปท. กำลังพัฒนา-ด้อยพัฒนาก็ได้ถ้าใครมีประสบการณ์ไปอยู่มา ) เขามีมุมมองเกี่ยวกับการซื้อสินค้าเงินผ่อนอย่างไรครับ?