คุณพ่อ ทุ่มหมดตัว ประกาศขายบ้าน หาเงินรักษาลูกสาว"แพทย์หญิง ชนกสุดา" ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่ICU3เดือนแล้ว

พ่อน้ำตาซึมประกาศขายบ้านหาเงิน รักษาลูกสาว"หมอไผ่"โดนรถชนโคม่าฟื้นสติอีกครั้ง ยันไม่ขอรับเงินบริจาคฝากขอบคุณทุกกำลังใจ!

โดยในประกาศดังกล่าวระบุว่า เจ้าของบ้านต้องการขายบ้าน เนื่องจากลูกสาวซึ่งเป็นแพทย์หญิง ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อาการโคม่า สมองได้รับความกระทบกระเทือนจนทำให้ไม่รู้สึกตัว เจ้าของบ้านซึ่งเป็นพ่อยังรอคอยให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการขายบ้านเพื่อเป็นทุนในการรักษาและดูแลลูกหลังออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็ได้ถูกแชร์ออกไปในโลกออนไลน์จำนวนมาก พร้อมทั้งให้กำลังใจครอบครัวให้สู้ต่อไป
สำหรับกรณีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 18.20 น. เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ชนรถเก๋ง จนรถเก๋งเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า บริเวณสี่แยกถนนสายจุน – เชียงคำ หน้า สภ.จุน ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา เป็นเหตุให้ แพทย์หญิงชนกสุดา มนะเกษตรธาร อายุ 26 ปี ผู้ขับขี่รถเก๋ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสมีภาวะเลือดคั่งในสมอง ต้องส่งต่อไปที่รพ.พะเยา เพื่อทำการผ่าตัดช่วยชีวิต ซึ่งก่อนหน้านี้มีการประกาศขอรับบริจาคเลือดในโลกออนไลน์เพื่อทำการผ่าตัด ล่าสุด ผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว พญ.ชนกสุดา หรือ หมอไผ่ ยังคงรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู

ทั้งนี้เมื่อเรื่องราวถูกเผยเเพร่สู่โลกโซเชียลฯ มีประชาชนหลายท่านที่ประสงค์บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคุณหมอไผ่ ซึ่งคุณพ่อของหมอไผ่ บอกว่า ขอบคุณมากๆ สำหรับความช่วยการช่วยเหลือในครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้คงไม่รบกวนความช่วยเหลือทางอื่น นอกจากการประกาศขายบ้าน เพราะลูกสาวเป็นข้าราชการก็ได้สิทธิค่ารักษาอยู่พอสมควร ต่อจากนี้ก็ขอดูเเละลูกสาวต่อไปเผื่อสักวันจะมีปาฏิหาริย์ให้ลูกสาวขอบตนฟื้นขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ขอบคุณที่มา : เฟซบุ๊ก  Pue Pue
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1116427948502940&set=pcb.1116428005169601&type=3&theater

เรียบเรียงโดย

มนันยา ไตรแก้ว : สำนักข่าวทีนิวส์
http://www.tnews.co.th/contents/308745

แชร์ https://www.facebook.com/nantawan.chompoo
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 89
ขายได้แล้ว! ผู้ใจบุญซื้อบ้าน ‘หมอไผ่’ เหยื่อถูกรถชน พ่อไม่รับเงินบริจาค

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 เม.ย. 2560 15:11น.

http://www.thairath.co.th/content/909302
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
เราเคยอยู่ในภาวะที่ต้องรับมือกับอาการโคม่าของคนในบ้านที่เจ็บป่วย
เราไม่เคยมีประสบการณ์รักษาอาการวิกฤตในโรงพยาบาลเอกชนมาก่อน

แต่สำหรับโรงพยาบาลของรัฐ "บ่อยมากๆๆๆ"
บอกเลยว่า ที่หลายคนบอกว่า ขอเลือกไม่ยื้อ หากไม่รู้สึกตัวเกินกี่วันๆ ขอให้หยุดการรักษา ให้ถอดสารพัดเครื่องมือออก

ถ้าคนไข้ไม่ได้อยู่ในภาวะที่วิกฤตจริงๆตามเกณฑ์ทางการแพทย์
ยังไงหมอก็ต้องรักษา คุณจะไปบอกให้ หยุดรักษา ให้ถอดปลั๊กนั่นนี่ออก
มันไม่ได้หรอกนะ เพราะจะเท่ากับว่า หมอเจตนาฆ่า

หากคุณต้องการปฏิเสธการรักษา ก็ไม่ต้องพามาโรงพยาบาล

แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มจะวิกฤต
หมอจะถามญาติที่มีอำนาจตัดสินใจตามกฎหมายว่า
หากหัวใจหยุดเต้นจะให้ฉีดยากระตุ้นไหม
หากต้องสอดท่อต้องเจาะคอจะทำอะไรแค่ไหน
ไม่ใช่ว่า สมองก็ยังไม่ตาย หายใจเองได้ไม่ต้องใช้เครื่องมือช่วย ไม่ต้องใช้ยากระตุ้น
(อย่างในเคสตัวอย่าง ที่หน้าไม่มีเครื่องมืออะไรเลยนะ)
แล้วจะไปบอกหมอว่า หยุดรักษา ไม่อยากยื้อ... มันไม่ได้หรอกนะ

ขณะเดียวกัน หากคนไข้วิกฤตมากจนเกินจะเยียวยา
หมอก็จะถามตรงๆ เลย ว่ามันไปต่อไม่ได้แล้ว ญาติจะตัดสินใจอย่างไร
แต่!!! ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะหยุดรักษา
หมอก็ยังให้ยาตามอาการเพื่อให้คนไข้ไปสบายที่สุด ณ เวลา ณ สภาพสังขารที่คนไข้เป็น
เพียงแต่ไม่ใช้ยากระตุ้นอะไรเท่านั้นเอง

แล้วของแบบนี้ต่อให้เป็นญาติ มันก็แทบตัดสินใจแทนไม่ได้

เราเจอมากับตัว คนไข้อายุเกิน 90
หมอถอดเครื่องช่วยหายใจออก แต่จู่ๆ ก็หายใจเองได้ สู้ต่อจนได้ออกจากโรงพยาบาลซะงั้น

แต่พอเมื่อถึงเวลาที่สังขารบอบซ้ำมากแล้ว
และเราได้ตัดสินใจไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าถึงเวลาก็จะไม่ยื้อด้วยยากระตุ้นใดๆ
เพราะตลอดเวลาที่ได้เห็นคนไข้วิกฤตคนอื่นๆ เราได้เห็นแล้วว่า ยากระตุ้นส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

เมื่อหมอเห็นว่า สังขารไม่ไหวแล้ว ก็จะย้ำว่าญาติยังเลือกทางเดิมนะ
หมอก็จะเข็นออกจากห้องฉุกเฉินแล้วให้ไปอยู่ห้องพักพิเศษ
โดยให้ยาระงับปวด ยาขยายหลอดลมให้หายใจได้สบายๆ จนถึงลมหายใจสุดท้าย
ความคิดเห็นที่ 40
คนหนอคน
แสดงความเห็นได้โดยไม่อ่านให้ละเอียดก็วิจารณ์เค้าเป็นตุเป็นตะ(บางความเห็น)
เคสนี้ไม่ขอรับบริจาค(บางคนพูดว่ารับบริจาคกันบ่อย)
ผู้ป่วยเป็นข้าราชการไม่มีปัญหาเรื่องค่ารักษา
ที่ต้องขายบ้านเพราะอยากมีทุนเก็บไว้ดูแลลูกระยะต่อไป
เค้าต้องมีที่อยู่รองรับสิครับ

แล้วคนที่บอกว่าไม่น่ายื้อไว้
เคสนี้ทำไงดีครับ
หายใจได้เอง สมองไม่ตาย
จะให้พ่อเค้าปล่อยให้อดตายไปเองเหรอเอาหมอนกดจมูกไม่ให้หายใจเหรอ

ไม่ต้องมองโลกให้สวยหรอก
แค่มองอย่างเข้าใจ คิดต่างอย่างมีเหตุผลก็พอแล้วครับ
ความคิดเห็นที่ 1
ชื่อ ชนกสุดา  แปล  =  ลูกสาวของพ่อ

การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นความทุกข์ในโลก
ความคิดเห็นที่ 45
.........
....  ความเห็นที่ว่า ผู้ป่วย เรื้อรัง จะสู้ หรือไม่สู้ จะยื้อหรือไม่ยื้อ
ญาติผู้อยู่ในเหตุการณ์ เข้าใจดี ตัดสินใจแล้ว
เราอยู่นอก้หตุการณ์ ดู อย่า่ง ดารา อโนเชาว์ เป็นตัวอย่าง

http://www.thairath.co.th/content/556781

ขอให้ ปาฎิหารย์มีจริง

  "ปาฏิหาริย์"
       หนูน้อยวัย 8 ขวบ ได้ยินพ่อแม่บ่นปรับทุกข์กันเรื่องสุขภาพของน้องชายตัวน้อยของเธอ เธอจับประเด็นได้ว่าน้องชายป่วยมาก
และพ่อแม่ไม่มีเงินเลย และกำลังจะย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ เพราะหมดเงินไปกับค่ายาของน้องชาย และน้องชายจะหายขาดจากโรคได้
จะต้องได้รับการผ่าตัดซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงมาก และพ่อกับแม่ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน เธอได้ยินพ่อกระซิบกับแม่ว่า
มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตน้องชายเธอได้

      สาวน้อยเข้าไปในห้องนอน หยิบกระปุกออมสินที่แอบซ่อนไว้ทุบออกแล้วแล้วนับเงินที่เธอหย่อนสะสมมานาน
เธอนำเงินจำนวนนั้นไปร้านขายยา คนขายยาถามเธอว่าต้องการอะไร
เธอตอบว่า "น้องชายหนูป่วยมาก ขอซื้อปาฏิหาริย์ซักนิดนะคะ"
คนขายยาถามว่า"ขอโทษ หนูจะซื้อยาอะไรนะจ๊ะ?"
"น้องชายหนูชื่อแอนดรู มีเนื้องอกในสมอง คุณพ่อบอกว่า มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตเขาได้ หนูขอซื้อปาฏิหาริย์ค่ะ ราคาเท่าไหร่คะ?"
"ที่นี่ไม่มีปาฏิหาริย์ขายจ้ะ เสียใจนะหนู" คนขายยาบอกพร้อมยิ้มอย่างเศร้าๆ
"ฟังนะ หนูมีเงินจ่ายนะ และถ้าเงินนี้ไม่พอจะไปหามาเพิ่มได้อีก บอกมาเถอะราคาเท่าไหร่"
ขณะนั้นภายในร้านขายยามีลูกค้าอีกคนหนึ่ง แต่งกายดี เขาหยุดชะงัก หลังได้ยินคำพูดของเด็กน้อย เขาจึงถามว่า "น้องชายของหนูต้องการปาฏิหาริย์แบบไหนจ๊ะ?"

"หนูไม่รู้" เด็กน้อยตอบ "แต่เขาป่วยมาก คุณแม่บอกว่าเขาต้องได้รับการผ่าตัด แต่คุณพ่อไม่มีเงินจ่าย หนูจึงต้องใช้เงินที่สะสมไว้มาช่วย"
"แล้วหนูมีเงินเท่าไหร่?" ชายผู้นั้นถาม
"หนึ่งดอลลาร์สิบเอ็ดเซ็นต์ แต่หนูไปหามาได้เพิ่มอีกนะ" เธอตอบเสียงแผ่ว
"โอ้...บังเอิญจริงๆ" ชายผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ "หนึ่งดอลลาร์สิบเอ็ดเซ็นต์ เท่ากับราคาปาฏิหาริย์พอดี"
เขารับเงินจำนวนนั้นของเธอ จูงมือเธอพร้อมกับบอกว่า"พาฉันไปบ้านของหนู ฉันอยากเจอน้องชายของหนูและพบกับพ่อแม่ของหนู ดูซิว่าปาฏิหาริย์ของฉันจะช่วยได้มั้ย"

ชายคนนั้นเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทชื่อนายแพทย์คาร์ลตัน อาร์มสตรอง...การผ่าตัดครั้งนั้นเสร็จสิ้นลงโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ไม่นานนักแอนดรูก็กลับบ้านได้ และหายเป็นปกติ

"การผ่าตัดครั้งนั้น" แม่ของเด็กน้อยพึมพำ "เป็นปาฏิหาริย์จริงๆ อยากรู้จังว่าราคาค่าผ่าตัดจริงๆ เท่าไหร่กันแน่"
เด็กน้อยยิ้ม เธอรู้ดีว่า ปาฏิหาริย์ราคาเท่าไหร่
...หนึ่งดอลลาร์สิบเอ็ดเซ็นต์...บวกกับชะตากรรมของเด็ก
ความมานะพยายามทำให้เกิดปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์อาจมาได้หลายรูปแบบ หมอ ทนายความ ครู ตำรวจ เพื่อน คนแปลกหน้า และอีกมากมาย
แม่น้ำตัดภูเขาได้ไม่ใช่เพราะความแรงของน้ำ แต่เพราะความสม่ำเสมอของสายน้ำ
อย่าสิ้นหวัง จงก้าวเดินไปตามความฝัน...
ความคิดเห็นที่ 79
ตัดสินพิพากษากันให้น้อยลงหน่อยได้ไหม
ถึงเป็นลูกเราแล้วเราจะไม่รักษาเพราะไม่อยากให้ลูกทรมาน มันก็เรื่องของเรา  แต่อย่าเอาความเชื่อของเราไปต่อว่าติเตียนความรักของคนอื่นได้หรือเปล่า


เฮอ.... อ่านแล้วสงสารคุณพ่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่