เสร็จสิ้นกันไปแล้วสำหรับการสอบเข้าเรียนต่อสำหรับนักเรียนชั้นมัธยม ลูกผมทั้งสองคนสมหวังตามที่ตั้งใจไว้ คนเล็กสามารถสอบเข้าเรียน ม.1 ที่ รร.ชื่อดังในเขต สพม.2 ได้ ตามรอยที่พี่สาวเค้าเคยทำไว้ ส่วนคนพี่จากที่เคยเรียน รร.นั้น ตอน ม.ต้น ก็สามารถสอบเข้าเรียนต่อ ม.4 ที่เตรียมอุดมได้ ในฐานะพ่อแม่ผมก็มีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกตัวเองระดับนึงแน่นอนแต่ปีนี้ผมค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับน้องคนเล็กที่เข้า ม.1 มากกว่าเพราะจากประสบการณ์แล้วช่วงมัธยมต้นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะตั้งหลักและเตรียมพร้อมก่อนที่จะเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัว ส่วนของคนโตนั้นถึงแม้ถ้าผลออกมาแล้วเขาไม่ติดเตรียมผมก็ไม่ซีเรียสอะไร เพราะโรงเรียนเดิมที่เขาอยู่ก็มีชื่อเสียงดีพอสมควรอยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วลูกผมทั้งสองคนก็ทำสำเร็จในรอบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับครอบครัวของเรามากๆ เลยทีเดียว
วันนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับลูกสาวคนโตในระหว่างขับรถกลับจากการรายงานตัวที่เตรียมอุดม เรามีโอกาสคุยกันหลายเรื่องเพราะช่วงก่อนหน้านี้ลูกผมเครียดเรื่องสอบมาก จนเราไม่มีเวลาคุยกันเท่าไร เรานั่งคุยกัน วิเคราะห์กันว่าทำไมถึงสอบติด ลูกผมพูดค่อนข้างชัดเจนว่าเนื้อหาที่เขาได้จากการเรียนพิเศษนั้นค่อนข้างเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทำข้อสอบได้ ลูกบอกว่ามากกว่า 80-90% ของสิ่งที่เขาเจอในข้อสอบไม่ได้มาจากการเรียนการสอนปกติในห้องเรียน แล้วผมก็เลยถามต่อว่าแล้วตอนเรียน ม.ต้น ได้อะไรจากโรงเรียน ลูกผมให้คำตอบว่าเค้าโชคดีที่มีเพื่อนดี มีสังคมที่ดีในห้องเรียน ซึ่งบรรยากาศและแรงกระตุ้นกันเองภายในห้องนี่แหละที่ทำให้ลูกผมฮึดขึ้นมาและทำจนสำเร็จ อีกอย่างที่ผมและลูกเห็นและประทับใจเหมือนๆ กัน คือความสามัคคีและความใส่ใจของกลุ่มผู้ปกครองของห้องที่ลูกผมอยู่ กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองของห้องนี้ค่อนข้างเหนียวแน่น Active กับทุกๆ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับลูกๆ ของพวกเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการหรืองานกีฬา งานสังสรรค์ สิ่งเหล่านี้แหละที่ช่วยสนับสนุนความสำเร็จของเด็กหลายๆ คน รวมทั้งสร้างมิตรภาพที่ดีทั้งกับตัวเด็กเองและบรรดาผู้ปกครองด้วยกัน
ผมฟังเรื่องต่างๆ ที่ลูกพูดให้ฟังแล้วผมก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับการศึกษาของบ้านเราขึ้นมาทันที ลูกผมโชคดีที่ได้มาอยู่ในสังคมการเรียนที่ดี ได้เรียนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์รวมความเจริญทุกอย่างของประเทศนี้ ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็พอที่จะจ่ายค่าเรียนพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้พอมารวมกับความมุ่งมั่นส่วนตัวของเขาเองมันก็เลยทำให้เขาประสบความสำเร็จในครั้งนี้ได้
ในเมื่อระบบ ในเมื่อสังคมมันเป็นแบบนี้ คนชั้นกลางอย่างผมที่พอจะมีกำลัง ก็ต้องพยายามที่จะผลักดันหาโอกาสและนำพาลูกของเราไปอยู่ในที่ๆ เหมาะสม ไปอยู่ในสังคมที่จะช่วยเกื้อหนุนและสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับตัวเขาเองในวันข้างหน้า แต่ถามว่ารูปแบบที่มันเป็นอยู่นี้มันดีต่อสังคม ต่อประเทศชาติเราในอนาคตไหม ? คนจนที่มีความสามารถ มีความมุ่งมั่นแต่ขาดทุนทรัพย์ในการที่จะถีบตัวเองขึ้นมาสู่โครงสร้างระดับบนของสังคม จะทำอย่างไร ?
ผมเองก็เด็กบ้านนอก พื้นฐานครอบครัวธรรมดา พ่อแม่ผมไม่เคยให้ลูกลำบากแต่เราก็ไม่ใช่คนมั่งมีอะไร ร่ำเรียนมาตามเส้นทางทำงานเป็นลูกจ้างในกรุงเทพ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ ไม่มีกิจการส่วนตัวใดๆ สร้างครอบครัว มีลูกและพยายามสร้างพื้นฐานที่ดีให้เขาพร้อมกว่าตอนที่เราเริ่มต้น ให้การศึกษาที่ดีที่สุดที่เราจะให้เขาได้ ที่เหลือก็แล้วแต่วาสนาและโอกาสของตัวเขา
ผมคงไม่สามารถไปฝืนระบบได้ อะไรที่ทำได้ไขว่คว้าได้ก็ต้องทำ เพื่อให้ลูกของเราได้มีโอกาสและอนาคตที่ดี แต่ผมรู้สึกว่าถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือภาครัฐไม่เริ่มทำอะไรจริงๆ จังๆ เสียที โอกาสทางการศึกษา ช่องว่างทางสังคมและรายได้ ของบ้านเมืองเรามันจะยิ่งถ่างออกไปเรื่อยๆ
ไอ้นิยายเก่าๆ ประเภทเด็กบ้านนอกมีความมานะพากเพียร เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ จนได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน คนบ้านนอกทั่วไปนั่นแหละที่ไม่พยายามเองน่ะ มันไม่สามารถใช้เป็นข้อแก้ตัวในความไม่ได้เรื่องของการจัดการศึกษาของบ้านเราได้ไปตลอดหรอกนะครับ
Update 07/04/2017
เท่าที่ลองอ่านดูจากหลายๆ Comment อาจจะมีความสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะสื่ออยู่สักหน่อยนะครับ
ผมไม่เคยคิดเลยนะครับว่าการเข้าเตรียมจะเป็นสิ่งบ่งชี้ความสำเร็จของชีวิต ถ้าคุณคิดแค่นั้นแสดงว่าคุณอ่านประเด็นผมไม่ออกแล้ว ผมต้องการจะสื่อว่าเพราะระบบมันเป็นแบบนี้ มันกระจุกตัว และไม่เอื้อให้คนที่ฐานะไม่ดีในการมีโอกาสเพิ่มขึ้น ผมเองก็ไม่แคร์เช่นกันว่าลูกต้องจบเตรียมจบจุฬา (ผมนี่จบสายอาชีพแล้วมาต่อ ป.ตรี) แต่คุณยอมรับมั้ยว่าถ้าจบเตรียมหรือจุฬา โอกาสจะมีมากกว่าคนอื่น ด้วยเครือข่าย ด้วยความเชื่อของสังคม
อันนี้คือสิ่งที่ผมเขียนไว้ให้ลูกก่อนประกาศผลสอบ
"........ แต่ขอให้คิดไว้เสมอว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต มันก็แค่บททดสอบอีกอันนึงเพื่อที่จะรู้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ในสังคม ถ้าทำได้เราก็ถือว่าโชคดีในครั้งนี้ แต่เราก็ต้องไม่ประมาท ไม่คิดว่าเราเองเก่งแล้ว เพราะอนาคตของเรายังต้องเจอกับอีกหลายบททดสอบ..."
ประเด็นจริงๆ ที่ผมต้องการจะสื่อคือ ผมแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่สามารถฝืนกระแสสังคมได้ ผมต้องทำเท่าที่ทำได้ในการสร้างโอกาสในอนาคตให้กับลูกๆ ในทางที่ดีและไม่ผิดศีลธรรมและกฏเกณฑ์ของสังคม แต่ในฐานะของคนที่เป็นสมาชิกของสังคม ก็อยากให้คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ฉุกคิดเกี่ยวกับความเป็นจริงของความเหลื่อมล้ำที่มันเกิดขึ้น ยอมรับมันเสียก่อนว่าระบบมันสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำ มันแก้ไม่ได้ในปีสองปีหรอก แต่มันต้องเริ่มคิดกันเสียที
ลูกผมติดเตรียมอุดมได้อย่างไร และแง่มุมของโอกาสทางการศึกษา
วันนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับลูกสาวคนโตในระหว่างขับรถกลับจากการรายงานตัวที่เตรียมอุดม เรามีโอกาสคุยกันหลายเรื่องเพราะช่วงก่อนหน้านี้ลูกผมเครียดเรื่องสอบมาก จนเราไม่มีเวลาคุยกันเท่าไร เรานั่งคุยกัน วิเคราะห์กันว่าทำไมถึงสอบติด ลูกผมพูดค่อนข้างชัดเจนว่าเนื้อหาที่เขาได้จากการเรียนพิเศษนั้นค่อนข้างเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทำข้อสอบได้ ลูกบอกว่ามากกว่า 80-90% ของสิ่งที่เขาเจอในข้อสอบไม่ได้มาจากการเรียนการสอนปกติในห้องเรียน แล้วผมก็เลยถามต่อว่าแล้วตอนเรียน ม.ต้น ได้อะไรจากโรงเรียน ลูกผมให้คำตอบว่าเค้าโชคดีที่มีเพื่อนดี มีสังคมที่ดีในห้องเรียน ซึ่งบรรยากาศและแรงกระตุ้นกันเองภายในห้องนี่แหละที่ทำให้ลูกผมฮึดขึ้นมาและทำจนสำเร็จ อีกอย่างที่ผมและลูกเห็นและประทับใจเหมือนๆ กัน คือความสามัคคีและความใส่ใจของกลุ่มผู้ปกครองของห้องที่ลูกผมอยู่ กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองของห้องนี้ค่อนข้างเหนียวแน่น Active กับทุกๆ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับลูกๆ ของพวกเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการหรืองานกีฬา งานสังสรรค์ สิ่งเหล่านี้แหละที่ช่วยสนับสนุนความสำเร็จของเด็กหลายๆ คน รวมทั้งสร้างมิตรภาพที่ดีทั้งกับตัวเด็กเองและบรรดาผู้ปกครองด้วยกัน
ผมฟังเรื่องต่างๆ ที่ลูกพูดให้ฟังแล้วผมก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับการศึกษาของบ้านเราขึ้นมาทันที ลูกผมโชคดีที่ได้มาอยู่ในสังคมการเรียนที่ดี ได้เรียนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์รวมความเจริญทุกอย่างของประเทศนี้ ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็พอที่จะจ่ายค่าเรียนพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้พอมารวมกับความมุ่งมั่นส่วนตัวของเขาเองมันก็เลยทำให้เขาประสบความสำเร็จในครั้งนี้ได้
ในเมื่อระบบ ในเมื่อสังคมมันเป็นแบบนี้ คนชั้นกลางอย่างผมที่พอจะมีกำลัง ก็ต้องพยายามที่จะผลักดันหาโอกาสและนำพาลูกของเราไปอยู่ในที่ๆ เหมาะสม ไปอยู่ในสังคมที่จะช่วยเกื้อหนุนและสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับตัวเขาเองในวันข้างหน้า แต่ถามว่ารูปแบบที่มันเป็นอยู่นี้มันดีต่อสังคม ต่อประเทศชาติเราในอนาคตไหม ? คนจนที่มีความสามารถ มีความมุ่งมั่นแต่ขาดทุนทรัพย์ในการที่จะถีบตัวเองขึ้นมาสู่โครงสร้างระดับบนของสังคม จะทำอย่างไร ?
ผมเองก็เด็กบ้านนอก พื้นฐานครอบครัวธรรมดา พ่อแม่ผมไม่เคยให้ลูกลำบากแต่เราก็ไม่ใช่คนมั่งมีอะไร ร่ำเรียนมาตามเส้นทางทำงานเป็นลูกจ้างในกรุงเทพ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ ไม่มีกิจการส่วนตัวใดๆ สร้างครอบครัว มีลูกและพยายามสร้างพื้นฐานที่ดีให้เขาพร้อมกว่าตอนที่เราเริ่มต้น ให้การศึกษาที่ดีที่สุดที่เราจะให้เขาได้ ที่เหลือก็แล้วแต่วาสนาและโอกาสของตัวเขา
ผมคงไม่สามารถไปฝืนระบบได้ อะไรที่ทำได้ไขว่คว้าได้ก็ต้องทำ เพื่อให้ลูกของเราได้มีโอกาสและอนาคตที่ดี แต่ผมรู้สึกว่าถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือภาครัฐไม่เริ่มทำอะไรจริงๆ จังๆ เสียที โอกาสทางการศึกษา ช่องว่างทางสังคมและรายได้ ของบ้านเมืองเรามันจะยิ่งถ่างออกไปเรื่อยๆ
ไอ้นิยายเก่าๆ ประเภทเด็กบ้านนอกมีความมานะพากเพียร เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ จนได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน คนบ้านนอกทั่วไปนั่นแหละที่ไม่พยายามเองน่ะ มันไม่สามารถใช้เป็นข้อแก้ตัวในความไม่ได้เรื่องของการจัดการศึกษาของบ้านเราได้ไปตลอดหรอกนะครับ
Update 07/04/2017
เท่าที่ลองอ่านดูจากหลายๆ Comment อาจจะมีความสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะสื่ออยู่สักหน่อยนะครับ
ผมไม่เคยคิดเลยนะครับว่าการเข้าเตรียมจะเป็นสิ่งบ่งชี้ความสำเร็จของชีวิต ถ้าคุณคิดแค่นั้นแสดงว่าคุณอ่านประเด็นผมไม่ออกแล้ว ผมต้องการจะสื่อว่าเพราะระบบมันเป็นแบบนี้ มันกระจุกตัว และไม่เอื้อให้คนที่ฐานะไม่ดีในการมีโอกาสเพิ่มขึ้น ผมเองก็ไม่แคร์เช่นกันว่าลูกต้องจบเตรียมจบจุฬา (ผมนี่จบสายอาชีพแล้วมาต่อ ป.ตรี) แต่คุณยอมรับมั้ยว่าถ้าจบเตรียมหรือจุฬา โอกาสจะมีมากกว่าคนอื่น ด้วยเครือข่าย ด้วยความเชื่อของสังคม
อันนี้คือสิ่งที่ผมเขียนไว้ให้ลูกก่อนประกาศผลสอบ
"........ แต่ขอให้คิดไว้เสมอว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต มันก็แค่บททดสอบอีกอันนึงเพื่อที่จะรู้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ในสังคม ถ้าทำได้เราก็ถือว่าโชคดีในครั้งนี้ แต่เราก็ต้องไม่ประมาท ไม่คิดว่าเราเองเก่งแล้ว เพราะอนาคตของเรายังต้องเจอกับอีกหลายบททดสอบ..."
ประเด็นจริงๆ ที่ผมต้องการจะสื่อคือ ผมแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่สามารถฝืนกระแสสังคมได้ ผมต้องทำเท่าที่ทำได้ในการสร้างโอกาสในอนาคตให้กับลูกๆ ในทางที่ดีและไม่ผิดศีลธรรมและกฏเกณฑ์ของสังคม แต่ในฐานะของคนที่เป็นสมาชิกของสังคม ก็อยากให้คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ฉุกคิดเกี่ยวกับความเป็นจริงของความเหลื่อมล้ำที่มันเกิดขึ้น ยอมรับมันเสียก่อนว่าระบบมันสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำ มันแก้ไม่ได้ในปีสองปีหรอก แต่มันต้องเริ่มคิดกันเสียที