คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ก่อนจะเชื่อช่าง ต้องใช้วิจารณยานครับ เพราะช่างไม่ได้ จบวิศวกรรมเครื่องกล หรือยานยนต์มา ความรู้จึงจำกัดอยู่แค่นั้น เผลอๆ น้อยมากดูเป็นรายบุคคลไป เรื่องของเครื่องยนต์ มันต้องใช้เครื่องมือวัด ต้องเขียนสมการ ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งช่างบ้านๆ ตามข้างถนน หรือแม้แต่ศูนย์ ไม่มีปัญญาทำได้แค่เหวี่ยงแหไปเท่านั้น เมื่อเจอเคสที่ไม่รู้
กรณีนี้ ช่างมั่วไปหน่อยครับ ไม่รู้จริง ไม่มีการวัดที่เห็นผลเป็นรูปธรรม จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ
ต้องบอกว่า มอเตอร์ไซค์ มันผลิตมาเป็น 100 ปีแล้ว ประสิทธิภาพ และปัญหาที่ไม่ควรจะเกิด มันถูกแก้ไข ไปก่อนจะผลิตขายนานแล้วครับ กับรถที่สมรถนะสูงอย่าง big bike ซึ่งอุปกรณ์ และเทคโนโลยีมันสูงมากกว่า รถตลาดทั่วไปอยู่แล้ว การเกิดปัญหา " ขับช้าๆทำให้เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ " จึงไม่ make sense ขนาดรถบ้านๆ ยังไม่มีปัญหาเรื่องนี้ และการทดสอบปัจจุบันเข้มข้น เช่นมาตฐาน euro 3 euro 4 etc.
ถึงเกิดปัญหานี้ขึ่นจริง มันเป็นเรื่อง basic มากไม่ได้มีระบบ electronic เข้ามาเกี่ยวข้อง หากเป็นแบบนั้นจริง น่าจะเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ออกแบบเครื่องยนต์แล้วล่ะครับ ก็ต้องไปดูว่าพลาดตรงไหน
หรือหาก คณิตศาสตร์ถูกพิสูจน์ถูกต้องว่าสมบูรณ์
คงเป็นปัญหาด้านการผลิต และ qc แล้วครับ
เคสนี้ทีมช่างให้เหตุผลถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากการขับขี่ที่ใช้รอบต่ำเกินไป ทำให้การเผาไหม้ไม่สุมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น วิธีแก้หลังจากนี้คือ ให้เบิ้ลรอบประมาณ 9k - 10k บ้าง หลังจากวอร์มเครื่องเสร็จ หรือถ้ามีโอกาศให้ลากรอบสูงๆบ้าง เพื่อไล่เขม่าที่สะสมอยู่ภายในเครื่องยนต์ >> ตรงนี้ ต้องของานวิจัยของต่างประเทศ หรือ หนังสือ วิศวกรรม ของเมืองนอก ยกมาอ้างอิงครับ ถ้าไม่มีคือมั่ว
แต่ข้อความทั้งหมด ผมไม่ได้มโนขึ้นมาแน่ๆครับ หัวหน้าช่างจาก Bigwing จริงๆครับ >> คุณย้ำแบบนี้ ความเห็นผมมองว่าคุณศรัทธาใน ความคิดเห็นของช่างหรือของ bigwing คุณอาจจะคิดว่า อยู่ศูนย์ ใหญ่ต้องเป็นคนจบมาจาก พระจอมเกล้าหรือ จบ engineering จากนอก อะไรแบบนั้น ผมว่าคุณคิดผิดแล้วครับ แต่ช่างเถอะ
จะบอกว่าการเผาไหม้สมบูรณ์ หรือ ไม่สมบูรณ์ ขึ้นอยู่กับการออกแบบล้วนๆ เลยครับ ซึ่งเมื่อก่อน รถ 2 จังหวะ มีปัญหาเรื่องนี้เต็มๆ ก็เพราะว่า การคายไอเสียไม่มีประสิทธิภาพพอเนื่องจากข้อจำกัดเชิงกลของเครื่องยนต์ที่ เป็นการจุดระเบิด แบบ ลูกสูบ ขึ้น-ลง 1 ครั้งได้กำลังงาน 1 หน่วย การคายไอเสียก็อยู่ในจังหวะนี้ด้วยดังนั้นด้วยข้อจำกัดเชิงกลของมัน และ จังหวะการกวาดไล่ไอเสียที่สั้นไปทำให้ การเผาไหม้ ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก ( ช่วงนี้เรียกว่า scavening ) ระบบจ่าย เชื้อเพลิงก็เป็นคาร์บูเรเตอร์ ผสม กับ น้ำมันออโต้ลูปอีก เมื่อความเร็วต่ำ ( 1/4 ของความเร็วสูงสุด ) จะทำให้เกิดเขม่าควันออกมาและเชื้อเพลิง ถูกใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ ( เพราะสูญเสียไปกับการเผาไหม้ที่มีข้อจำกัดนี่แหละ ) เลยทำให้เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
แต่ รถไม่มีอาการสะดุดครับถ้าคาร์บูเรเตอร์ถูกจูนมาถูกต้องตามปริมาตรความต้องการของเครื่องยนต์ และตามหลักทษฏี แค่เปลืองน้ำมันและ มีควันเป็นพิษ
มันเป็นการพัฒนาตามยุคสมัย ปัจจุบัน 4 จังหวะ ( ไม่สิ 4 จังหวะมีมากว่า 30 ปีแล้ว ) ได้เปรียบ เรื่องค่าไอเสีย และอัตราการกินน้ำมัน ที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจกว่า เพราะระบบกวาดไอเสีย มีลูกสูบและแรงดันภายนอกช่วยกวาด แค่2จังหวะจะอาศัยแรงดันภายนอกและการออกแบบหัวลูกสูบที่ทำให้กระแสอากาศหมุนวุนภายในกระบอกสูบช่วย
เมื่อพิสูจน์แล้ว 4 จังหวะให้ประสิทธิภาพการเผาไหม ดีกว่า
ส่วนเครื่องสะดุดนั้น ปัญหามักอยู่ในระบบจ่าย น้ำมันเชื้อเพลิง คือ คาร์บูเรเตอร์ ดีหน่อย ก็หัวฉีด 90 % ของอาการสะดุด มาจากตรงนี้
ที่หัวลูกสูบดำ ส่วนนี้ก็เกี่ยวข้อง
***เพิ่งเห็นข้อความนี้ >>> ปล.เคยจูนกล่อง ECU เพื่อปลดม้ามาแล้ว 1 ครั้ง แต่คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับปัญหานี้นะครับ เพราะเกือบทุกคนที่เล่น CBR ก็จูนกันหมด
คุณกลับไปทำให้เหมือน std โรงงานซะแต่แรก ก็ไม่ต้องเสียเงินไปยกฝาบนใหม่ให้ช่างหรอก แหม่ เกี่ยวครับ โต้งๆเลยไม่ใช่ไม่เกี่ยวคนจูนอาจจะแก้ไขเวลาการจ่ายน้ำมัน ในแต่ละช่วงความเร็ว แต่ผมคาดการณ์ว่าก่อนที่จะจูนรถคุณปรกติดี แต่หลังจูนเสร็จ มันก็เริ่มเน่า คนจูนอาจจะไม่รู้เรื่อง หรือ พลาด อะไรสักอย่างจะอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าทำให้การจ่ายน้ำมันหนาไป เกิดการเผาไหม้ไม่หมดจด ผมว่าเกิดจากนี้มากกว่า
แค่คุณบอกว่าจูนมา เงื่อนไขของการตั้งกระทู้ของคุณ จบแล้วครับ เพราะมันไม่ใช่ std มาจากโรงงาน คุณไปโมเพิ่ม ก็อย่ามาโทษว่ารถแพงๆ มันเผาไหม้ไหม่ดี ในย่านความเร็วต่ำ ก่อนจะขายบริษัทรถเค้าก็ให้กลุ่มวิศวกรระดับหัวกะทิ เทสไม่รู้กี่พันครั้งในแลป เครื่องไม้เครื่องมือไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าคุณศรัทธาในหัวหน้าช่าง หรือสำนักแต่งเทพๆ ก็แล้วแต่
กรณีนี้ ช่างมั่วไปหน่อยครับ ไม่รู้จริง ไม่มีการวัดที่เห็นผลเป็นรูปธรรม จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ
ต้องบอกว่า มอเตอร์ไซค์ มันผลิตมาเป็น 100 ปีแล้ว ประสิทธิภาพ และปัญหาที่ไม่ควรจะเกิด มันถูกแก้ไข ไปก่อนจะผลิตขายนานแล้วครับ กับรถที่สมรถนะสูงอย่าง big bike ซึ่งอุปกรณ์ และเทคโนโลยีมันสูงมากกว่า รถตลาดทั่วไปอยู่แล้ว การเกิดปัญหา " ขับช้าๆทำให้เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ " จึงไม่ make sense ขนาดรถบ้านๆ ยังไม่มีปัญหาเรื่องนี้ และการทดสอบปัจจุบันเข้มข้น เช่นมาตฐาน euro 3 euro 4 etc.
ถึงเกิดปัญหานี้ขึ่นจริง มันเป็นเรื่อง basic มากไม่ได้มีระบบ electronic เข้ามาเกี่ยวข้อง หากเป็นแบบนั้นจริง น่าจะเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ออกแบบเครื่องยนต์แล้วล่ะครับ ก็ต้องไปดูว่าพลาดตรงไหน
หรือหาก คณิตศาสตร์ถูกพิสูจน์ถูกต้องว่าสมบูรณ์
คงเป็นปัญหาด้านการผลิต และ qc แล้วครับ
เคสนี้ทีมช่างให้เหตุผลถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากการขับขี่ที่ใช้รอบต่ำเกินไป ทำให้การเผาไหม้ไม่สุมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น วิธีแก้หลังจากนี้คือ ให้เบิ้ลรอบประมาณ 9k - 10k บ้าง หลังจากวอร์มเครื่องเสร็จ หรือถ้ามีโอกาศให้ลากรอบสูงๆบ้าง เพื่อไล่เขม่าที่สะสมอยู่ภายในเครื่องยนต์ >> ตรงนี้ ต้องของานวิจัยของต่างประเทศ หรือ หนังสือ วิศวกรรม ของเมืองนอก ยกมาอ้างอิงครับ ถ้าไม่มีคือมั่ว
แต่ข้อความทั้งหมด ผมไม่ได้มโนขึ้นมาแน่ๆครับ หัวหน้าช่างจาก Bigwing จริงๆครับ >> คุณย้ำแบบนี้ ความเห็นผมมองว่าคุณศรัทธาใน ความคิดเห็นของช่างหรือของ bigwing คุณอาจจะคิดว่า อยู่ศูนย์ ใหญ่ต้องเป็นคนจบมาจาก พระจอมเกล้าหรือ จบ engineering จากนอก อะไรแบบนั้น ผมว่าคุณคิดผิดแล้วครับ แต่ช่างเถอะ
จะบอกว่าการเผาไหม้สมบูรณ์ หรือ ไม่สมบูรณ์ ขึ้นอยู่กับการออกแบบล้วนๆ เลยครับ ซึ่งเมื่อก่อน รถ 2 จังหวะ มีปัญหาเรื่องนี้เต็มๆ ก็เพราะว่า การคายไอเสียไม่มีประสิทธิภาพพอเนื่องจากข้อจำกัดเชิงกลของเครื่องยนต์ที่ เป็นการจุดระเบิด แบบ ลูกสูบ ขึ้น-ลง 1 ครั้งได้กำลังงาน 1 หน่วย การคายไอเสียก็อยู่ในจังหวะนี้ด้วยดังนั้นด้วยข้อจำกัดเชิงกลของมัน และ จังหวะการกวาดไล่ไอเสียที่สั้นไปทำให้ การเผาไหม้ ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก ( ช่วงนี้เรียกว่า scavening ) ระบบจ่าย เชื้อเพลิงก็เป็นคาร์บูเรเตอร์ ผสม กับ น้ำมันออโต้ลูปอีก เมื่อความเร็วต่ำ ( 1/4 ของความเร็วสูงสุด ) จะทำให้เกิดเขม่าควันออกมาและเชื้อเพลิง ถูกใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ ( เพราะสูญเสียไปกับการเผาไหม้ที่มีข้อจำกัดนี่แหละ ) เลยทำให้เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
แต่ รถไม่มีอาการสะดุดครับถ้าคาร์บูเรเตอร์ถูกจูนมาถูกต้องตามปริมาตรความต้องการของเครื่องยนต์ และตามหลักทษฏี แค่เปลืองน้ำมันและ มีควันเป็นพิษ
มันเป็นการพัฒนาตามยุคสมัย ปัจจุบัน 4 จังหวะ ( ไม่สิ 4 จังหวะมีมากว่า 30 ปีแล้ว ) ได้เปรียบ เรื่องค่าไอเสีย และอัตราการกินน้ำมัน ที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจกว่า เพราะระบบกวาดไอเสีย มีลูกสูบและแรงดันภายนอกช่วยกวาด แค่2จังหวะจะอาศัยแรงดันภายนอกและการออกแบบหัวลูกสูบที่ทำให้กระแสอากาศหมุนวุนภายในกระบอกสูบช่วย
เมื่อพิสูจน์แล้ว 4 จังหวะให้ประสิทธิภาพการเผาไหม ดีกว่า
ส่วนเครื่องสะดุดนั้น ปัญหามักอยู่ในระบบจ่าย น้ำมันเชื้อเพลิง คือ คาร์บูเรเตอร์ ดีหน่อย ก็หัวฉีด 90 % ของอาการสะดุด มาจากตรงนี้
ที่หัวลูกสูบดำ ส่วนนี้ก็เกี่ยวข้อง
***เพิ่งเห็นข้อความนี้ >>> ปล.เคยจูนกล่อง ECU เพื่อปลดม้ามาแล้ว 1 ครั้ง แต่คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับปัญหานี้นะครับ เพราะเกือบทุกคนที่เล่น CBR ก็จูนกันหมด
คุณกลับไปทำให้เหมือน std โรงงานซะแต่แรก ก็ไม่ต้องเสียเงินไปยกฝาบนใหม่ให้ช่างหรอก แหม่ เกี่ยวครับ โต้งๆเลยไม่ใช่ไม่เกี่ยวคนจูนอาจจะแก้ไขเวลาการจ่ายน้ำมัน ในแต่ละช่วงความเร็ว แต่ผมคาดการณ์ว่าก่อนที่จะจูนรถคุณปรกติดี แต่หลังจูนเสร็จ มันก็เริ่มเน่า คนจูนอาจจะไม่รู้เรื่อง หรือ พลาด อะไรสักอย่างจะอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าทำให้การจ่ายน้ำมันหนาไป เกิดการเผาไหม้ไม่หมดจด ผมว่าเกิดจากนี้มากกว่า
แค่คุณบอกว่าจูนมา เงื่อนไขของการตั้งกระทู้ของคุณ จบแล้วครับ เพราะมันไม่ใช่ std มาจากโรงงาน คุณไปโมเพิ่ม ก็อย่ามาโทษว่ารถแพงๆ มันเผาไหม้ไหม่ดี ในย่านความเร็วต่ำ ก่อนจะขายบริษัทรถเค้าก็ให้กลุ่มวิศวกรระดับหัวกะทิ เทสไม่รู้กี่พันครั้งในแลป เครื่องไม้เครื่องมือไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าคุณศรัทธาในหัวหน้าช่าง หรือสำนักแต่งเทพๆ ก็แล้วแต่
แสดงความคิดเห็น
รถคลาส Super Sport ขับช้าๆทำให้เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จริงหรือไม่ ???
(ทุกครั้งหลังเจอฝนจะล้างรถ หล่อลื่นชิ้นส่วนสำคัญ และนำออกไปขับให้แห้งตลอดครับ) รอบเครื่องที่ใช้โดยเฉลี่ย 3k - 5k รอบ/นาที
มีลากรอบบ้างนับครั้งได้ ไม่เกิน 3 ครั้ง (เทสอัตรเร่ง) ขึ้นไปประมาณ 10k -11k รอบ/ต่อนาที ความเร็วที่ใช้งานทุกวันเฉลี่ยอยู่ที่ 60 - 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่ศูนย์กำหนด และใช้น้ำมันเครื่อง G4 ของศูนย์ทุกครั้ง (ทุกครั้งที่ถ่ายจะเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องด้วย)
ผลปรากฏว่าใช้งานมาได้ประมาณ 11 เดือน ณ ตอนนั้นเลขไมล์ประมาณ 13,000 กิโลเมตร รถเกิดมีเสียงดัง ปั่ก ! ปั่ก !
เสียงมาจากบริเวณใต้ถังน้ำมันเชื้อเพลิง คล้ายกับตัวดันโซ่ราวลิ้นหย่อน จึงรีบหยุดรถ และตามรถสไลด์พาเข้าศูนย์ทันที
ช่างจึงเคลมตัวดันโซ่ให้เรียบร้อย แต่เสียงดังแปลกๆก็ยังไม่หาย ช่างจึงรื้อเครื่องดู พบว่ามีเขม่าจำนวนมากเกาะบริเวณวาล์วและลูกสูบ หนาประมาณ 1 - 3 มิลลิเมตร (ดูจากตาเปล่านะครับ อาจจะไม่ถึงแต่ใกล้เคียง) ทำให้จังหวะที่ลูกสูบและวาล์วทำงาน ชนกับผนังด้านบน เกิดเสียง ปั่ก ! ปั่ก ! ตลอดเวลา
ช่างแจ้งว่า เกิดความเสียหายค่อนข้างเยอะ ต้องเปลี่ยนอะไหล่หลายชิ้นมากๆ ผมก็โอเค ทำเรื่องเปลี่ยนอะไหล่ไป
เคสนี้ทีมช่างให้เหตุผลถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากการขับขี่ที่ใช้รอบต่ำเกินไป ทำให้การเผาไหม้ไม่สุมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น วิธีแก้หลังจากนี้คือ ให้เบิ้ลรอบประมาณ 9k - 10k บ้าง หลังจากวอร์มเครื่องเสร็จ หรือถ้ามีโอกาศให้ลากรอบสูงๆบ้าง เพื่อไล่เขม่าที่สะสมอยู่ภายในเครื่องยนต์
ปัจจุบัน รถผมซ่อมเสร็จเรียบร้อย ทุกอย่างปกติเหมือนได้รถใหม่ กลิ่นเครื่องยนต์ใหม่มากๆ (มโน)
อยากทราบความเห็นจากคนที่ขับรถแนวๆนี้ว่า ปกติขับกันแบบไหน และเคยเกิดเหตุการณ์แบบผมไหมครับ
ลักษณะการใช้งานของผมคือ ใช้งานประจำวันทุกวัน ฝนตก แดดออก ลุยหมดครับ ส่วนใหญ่ขับเส้นสาย 4 ไป พระราม 2 ทุกวัน ไม่ค่อยเจอรถติดครับ ถนนโล่งๆยาวๆ (เส้นกาญจนาภิเษก)
ใครมีคำแนะนำอะไร แนะนำได้เลยนะครับ ผมยังใหม่กับตัวพันครับ