"ถ้าคุณอยากวิ่ง คุณวิ่งกิโลเดียวก็พอ เเต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณต้องมาวิ่งมาราธอน "
ประโยคๆนี้ดังขึ้นมาในหัวของผม ขณะที่ผมกำลังอ่านรายละเอียดของการรับสมัครผู้กล้าเพื่อจะไปวิ่งระยะไกลในรายการๆหนึ่ง
สำหรับผมกีฬาวิ่งระยะไกลเป็นกีฬาที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับผมเท่าใดนัก มันไม่ค่อยจะเหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเกินกว่าเกณฑ์มาตราฐานมาตลอดชีวิตอย่างผม ผมจึงไม่เคยมีความคิดจะวิ่งระยะไกลมาก่อนเลยในชีวิต

เหตุที่ทำให้ผมเริ่มวิ่งระยะไกลมากขึ้นๆ มันมาจากความพยายามที่จะลดน้ำหนักของผม ที่เมื่อผมลดมาได้ถึงจุดๆนึงแล้ว น้ำหนักของผมมันจะไม่ยอมลดลงอีก ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะวิ่งครั้งละไม่เกิน 45 นาที เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายกล้ามเนื้อของตัวเองมากจนเกินไปนักตามที่ผมเคยได้ศึกษามา
เมื่อ 2 เดือนก่อน ผมได้ไปวิ่งที่สนามกีฬากลางของจังหวัด วันนั้นผมมีโอกาสได้พูดคุยกับนักกีฬาวิ่งระยะไกลสูงอายุคนหนึ่ง เขาแนะนำกับผมว่า ให้วิ่งให้ช้าลงแต่ให้นานขึ้น โดยเขาเสนอว่าปกติผมจะวิ่งรอบสนามกีฬาครั้งละ 5 รอบ ก็ให้ผมเปลี่ยนเป็นวิ่งครั้งละ 7 รอบเป็นอย่างน้อย (รอบละประมาณ 1.2 กิโล)
ผมทำตามคำแนะนำนี้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ผมก็พบความต่างที่เกิดขึ้น จากที่บางครั้งตอนผมวิ่งจะมีอาการเจ็บบริเวณส้นเท้าแต่พอเราวิ่งช้าลงอาการเจ็บนั้นก็ทุเลาเบาลง ผมน้ำหนักลดลง 3 กิโลในเดือนแรกอย่างน่าประหลาด จากนั้นผมจึงเริ่มซ้อมวิ่งให้นานขึ้น จนผมได้กำหนดระยะขั้นต่ำในการวิ่งให้กับตัวเองในแต่ละวันคือ 8 รอบ (10 กิโล) ในบางวันผมสามารถวิ่งได้ถึง 12 รอบ(15 กิโล) และยังสามารถวิ่งในระยะไกลขนาดนี้ติดต่อกันได้ในหลายๆวัน
จนทำให้ผมเริ่มกล้าที่จะตั้งเป้าหมายในการหาความท้าทายใหม่ให้กับตัวเอง นั่นคือการเข้าร่วมการวิ่งฮาฟมาราธานในระยะ 21.1 กิโลเมตร
สำหรับผม การวิ่งระยะไกล มันจะเปลี่ยนชีวิตเราอย่างที่ผมได้เกริ่นนำในข้างต้น ก็ต่อเมื่อเราได้ทุ่มเทเวลาให้กับมัน หากเรามีวินัยในการซ้อม การวิ่งระยะไกลมันจะทำให้เราพบชีวิตใหม่ได้จริงๆ เพราะเมื่อเราทุ่มเทให้กับการวิ่ง มันก็จะส่งผลโดยตรงกับไลฟ์สไตล์ของเรา จากคนเดิมๆกลายเป็นคนที่รักในการออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ ได้พบเจอกับสังคมดีๆของคนที่รักษาสุขภาพเช่นกัน
ผมคิดว่าการวิ่งระยะไกลเป็นกีฬาที่มีเกียรติหากเราทุ่มเทให้กับการวิ่ง ซ้อมให้มากพอ และสามารถเข้าเส้นชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ สำหรับผมการที่เราอ่อนซ้อมแล้วดันไปลงวิ่งระยะไกลจนสามารถเข้าเส้นชัยได้อย่างทุลักทุเล มันไม่ได้แสดงว่าการวิ่งได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเราเลย มันเป็นความเชื่อผิดๆที่คิดจะไปลงวิ่งระยะไกล โดยขาดการซ้อมที่มากพอ แล้วในวันแข่งกลับต้องลากสังขารของตัวเองเข้าเส้นชัยโดยเราคิดไปเองว่านั่นมันคือความภาคภูมิใจ แต่แท้จริงแล้วการซ้อมอย่างมากพอ และทำให้สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิต่างหากที่เป็นรสชาติที่หอมหวานอย่างแท้จริง
สำหรับผม ผมต้องพร้อมจริงๆถึงจะลงวิ่งระยะขนาดนั้น ผมจึงเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง คือการตั้งใจจะซ้อมวิ่งเพื่อลง"ฮาฟมาราธอน" เพราะมันเป็นระยะที่ผมคิดว่าตัวเองน่าจะพอทำได้ในตอนนั้น และแน่นอนว่าเป้าหมายอีกอย่างที่สำคัญมากไม่แพ้กันคือ ผมอยากหากุศโลบายให้ตัวเองซ้อมวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก โดยผมตั้งใจว่าจะไปลงฮาฟที่จอมบึงมาราธอน งานวิ่งระดับตำนานของประเทศไทย
แต่ในคืนวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้บังเอิญเห็นลิงค์ลิงค์หนึ่งที่มีคนแชร์มาในเฟสบุค โดยหัวเรื่องของลิงค์นี้คือการรับสมัครนักผจญภัยเพื่อไปทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ และคนที่จะเข้าร่วมทุกคนจะต้องผ่านด่านทดสอบแรกไปให้ได้ นั่นคือการวิ่งเทรลระยะทาง 100 km. ตอนแรกผมเกือบจะถอดใจกับตัวเลขของระยะทางที่ผมได้เห็น แต่เมื่อผมเห็นระยะเวลาที่ทางรายการกำหนด นั่นคือต้องวิ่งให้ได้ในเวลา 24 ชั่วโมง สำหรับผมตอนนั้น ผมคิดแค่ว่า ผมขอลองทำตามความฝันของตัวเองดู ผมจะลงวิ่งระยะ 100 km. ซึ่งเป็นระยะอัลตร้ามาราธอน (ระยะที่ไกลกว่ามาราธอน) โดยที่สำหรับผมแล้ว ผมเป็นเพียงมือใหม่ที่มีชั่วโมงบินอันน้อยนิดกับการร่วมการแข่งขันในงานวิ่งแบบนี้
ผมเคยร่วมวิ่งประเพณีของคณะวนศาสตร์ 2 ครั้ง ที่ระยะ 12 และ 15 กิโล ซึ่งระยะ 15 กิโลคือระยะทางที่ไกลที่สุดในชีวิตที่เคยวิ่งได้ สำหรับการวิ่งต่อเนื่องแบบไม่หยุดพัก นอกจากนั้นผมเคยร่วมวิ่งระยะ มินิมาราธอน 10 กิโลที่ทางกรุงเทพจัดโดยผมไปสมัครไม่ทัน ผมเพียงแต่ไปตามคำชักชวนของรุ่นพี่(ที่เขาสมัครทัน) ท้ายสุดผมได้ร่วมวิ่งในงานนั้นแบบซื่อๆโดยที่ไม่ได้รีจีเตอร์เลยด้วยซ้ำ ><
คืนวันที่ 19 ผมนั่งอ่านรายละเอียดของโครงการ ประวัติของผู้จัด สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการจะได้ทำ ผมใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงในคืนนั้นจนแน่ใจกับตัวเองแล้วว่า ตัวเองจะต้องสมัครเข้าร่วมในโครงการโครงการนี้ให้จงได้
เช้าวันถัดมา ผมจัดแจงตั้งกล้องถ่ายวีดีโอแนะนำตัวเอง พูดถึงเหตุผลที่อยากเข้าร่วมโครงการ โดยผมพูดสดๆ เพียง 4 เทคก็ผ่านเลย เมื่อได้วีดีโอแล้วผมก็เข้าไปสมัครเข้าร่วมกับโครงการนี้ผ่านทางเว็บไซด์ในทันที
TJ’s True South - Adventure to Antarctica แค่ชื่อของโครงการมันก็มีพลังดึงดูดผมอย่างน่าประหลาด และใช่แล้วครับ มันคือโครงการที่จะเดินทางไปทวีป แอนตาร์กติกา แต่โครงการนี้มีความพิเศษกว่าโครงการไหนๆที่ผ่านมา คือการเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดา ที่มีฝัน ที่กล้าจะออกเดินทางเพื่อเติมเต็มความหมายให้กับชีวิตในแบบของตัวเอง แต่เราต้องมีคุณสมบัติตามที่ทางโครงการกำหนดและแน่นอนว่าเราต้องเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี เป็นคนที่เหมาะสมกับภารกิจนี้ทั้งในด้านความคิด การแก้ไขปัญหาต่างๆ
เมื่อใจอยากจะเดินทาง เมื่อใจพร้อม ถ้าเป็นทริปการเดินทางทั่วๆไป เราคงสามารถจะออกเดินทางได้ในแทบจะทันทีที่ใจเราสั่ง แต่ในครั้งนี้ที่ที่เราจะไปคือขั่วโลกใต้ ใจพร้อมอย่างเดียวคงไม่เพียงพอครับ สำหรับทริปนี้กายจะต้องพร้อมด้วย และหากเราสามารถฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆ สามารถโชว์ในศักยภาพของตัวเราทั้งในด้านบุ๋นและในด้านบู๊ให้ประจักษ์ต่อคณะกรรมการ เราก็จะได้เป็นคนไทยหนึ่งในสิบคนที่จะได้เดินทางไปในโครงการนี้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว
ด่านคัดเลือกด่านแรกมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม โดยภารกิจแรกของเรานั้นมีชื่อเรียกว่า "100K 24-hour Survival Challenge" เมื่อผมได้อ่านรายละเอียดเลยทำให้ผมรู้ว่า มันคือการวิ่งเทรลระยะทางถึง100 กิโล เส้นทางตัดผ่านป่า จากกราฟภูมิประเทศที่ทางทีมงานส่งมาให้ผมดู ทำให้ผมรู้ว่าความท้าทายมากมายกำลังรอผมอยู่
การวิ่งขึ้นที่สูง การวิ่งลงเนิน และยังมีด่านที่ทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายของเราอีกหลายด่าน โดยทางทีมงานตั้งใจจะไม่ลงรายละเอียดบอกกับผู้ร่วมการแข่งขัน เพราะต้องการเซอร์ไพรส์และต้องการดูปฏิกิริยาของพวกเรา
สำหรับเหตุที่ผมอาจหาญที่จะไปสมัคร ก็เป็นเหตุผลง่ายๆที่ว่า ผมอยากไปโครงการนี้อย่างมาก และระยะเวลา 24 ชั่วโมงมันค่อนข้างนาน ถ้าผมเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆไม่หยุดพักนานเกินไป ผมก็เชื่อว่าผมต้องสามารถผ่านการทดสอบด่านแรกนี้ไปได้ ถึงจะเป็นการผ่านด่านแบบทุลักทุเลอย่างมากก็ตาม

(ซ่อมวิ่งที่สนามกีฬากลางจังหวัดน่านก่อนแข่ง 5 วัน กับระยะทางที่ไกลที่สุดที่ผมเคยทำได้โดยการวิ่งแบบต่อเนื่องครับ)
วันถัดมาผมจึงไปซ้อมวิ่งและสามารถทำระยะได้ไกลที่สุดในชีวิตคือ 17 km. ก่อนที่จะเดินทางมาที่กรุงเทพโดยใช้รถโดยสารประจำทางแทนที่เครื่องบิน เพราะผมต้องการที่จะประหยัดงบ เก็บเงินเอาไว้ซื้ออุปกรณ์สำหรับวิ่งเทรล ซึ่งผมขอยอมรับตรงนี้เลยว่า ในตอนนี้ผมไม่มีอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเล่นกีฬาชนิดนี้อยู่เลย
ก่อนวันแข่งสามวัน ผมได้ไปงานลดราคาสินค้ากีฬาที่เมืองทองธานี ก่อนที่จะมาซื้อเป้น้ำ อาหารให้พลังงาน ถุงเท้าวิ่งเทรล ที่ร้านพาร์ทไวด์
สองวันก่อนวิ่งผมแทบไม่ได้ออกจากห้องไปไหน เป็นช่วงเวลาเตรียมใจและร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ผมลองหยิบรองเท้ากับอุปกรณ์มาใส่เล่นใส่เดินบ้างให้พอคุ้นเคย

(อุปกรณ์จำเป็นสำหรับการวิ่งเทรลระยะไกลในครั้งนี้ที่ผมลงทุนถอยของใหม่ออกมาทั้งหมดครับ)
(ถอยเป้น้ำใบใหม่สะเลยครับ)
และแล้วก็มาถึง วันแข่ง!!!
ผมนอนหลับไปประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆ ถือว่าไม่เลวนัก เพราะก่อนหน้านั้นผมกลัวว่าตัวเองจะนอนไม่หลับจากความตื่นเต้น ผมตื่นนอนตอนตีห้าสี่สิบ จัดการธุระส่วนตัว แล้วเดินทางไปขึ้นรถบัสฟรีที่ทางโครงการจัดไว้ให้ ที่ตึกไทยซัมมิด แถวๆMRTเพชรบุรี
ผมได้คุยกับคุณลุงคนหนึ่งที่มาเข้าร่วมวิ่งในครั้งนี้ด้วย ถึงแม้ว่าอายุของคุณลุงจะเกินกำหนดของคุณสมบัติที่ทางโครงการได้ระบุเอาไว้ก็ตาม โดยโครงการนี้จะรับบุคคลที่มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 25-46 ปี แต่คุณลุงอายุ 58 ปีแล้ว แต่ดูๆแล้วคุณลุงดูแข็งแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเราทั้งสองคนได้นั่งคุยกันบนรถบัสไปตลอดทาง
ถนนพระรามสองขาออกจากกรุงเทพรถติดยาว เพราะเป็นเช้าของวันศุกร์ กว่าเราจะเดินทางมาถึงสถานที่จัดงานก็กินเวลานานพอสมควร
12.30 น. รถบัสได้พาเรามาที่ แก่งกระจาน คันทรี คลับ แอนด์ รีสอร์ท สถานที่จัดงาน โดยเราจะเริ่มวิ่งกันจากที่นี่
เมื่อมาถึง ขั้นแรกคือการตรวจอุปกรณ์บังคับ คือไฟฉายคาดหัว ถ่านไฟฉายสำรอง เป้น้ำหรืออุปกรณ์บรรจุน้ำขนาดจุตั้งแต่ 2 ลิตรขึ้นไป และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
จากนั้นผมกับคุณลุงก็เดินมาลงทะเบียน รับหมายเลขและเสื้อที่ระลึก เสร็จแล้วพวกเราก็ไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดวิ่ง โดยคุณลุงเสนอให้ผมใส่เสื้อที่เพิ่งได้แจกฟรีจากทางทีมงานเพื่อถ่ายรูปและใส่วิ่ง โดยผมไม่ค่อยเห็นด้วยนักเพราะเสื้อตัวนี้ทำมาจากผ้าCottonที่ไม่เหมาะกับการออกกำลังกาย ไม่ระบายอากาศ โดยผมตั้งใจว่าหลังจากถ่ายรูปกับบิลบอร์ดเสร็จแล้วจะเปลี่ยนเป็นเสื้อวิ่งสีแดงที่ผมเตรียมมา

(เต๊ะท่าถ่ายรูปกับบิลบอร์ดซะหน่อยครับ ท่านี้ชื่ออะไรใครรู้บ้าง 555)
ถ่ายรูปเรียบร้อย ผมกับคุณลุงก็เดินมากินข้าวฟรีที่ทางโครงการจัดไว้ให้ โดยโครงการนี้ทุกอย่างฟรีหมดเพราะทางโครงการมีสปอนเซอร์เจ้าใหญ่ให้การสนับสนุนหลายเจ้า
ผมกินข้าวยังไม่ทันเสร็จดี ทีมงานก็เรียกให้เข้าไปฟังการบรีฟก่อนการแข่ง และฟังบรรยายถึงโครงการ โดยที่เจ้าของโครงการเดินทางมาบรรยายไม่ทันเนื่องจากรถติด เราจึงได้ฟังคำบรรยายจากชาวต่างชาติที่เป็นผู้ดูแลโครงการนี้แทน
ผมนั่งจัดของในห้องบรีฟและยังปวดท้องต้องไปเข้าห้องน้ำอีก ทำให้ได้รับฟังข้อมูลการวิ่งไม่ครบเท่าใดนัก แต่ผมคิดเอาเองว่าคงไม่เป็นไร
เวลาสามโมงนิดๆทุกคนก็มาพร้อมกันที่จุดสตาร์ท โดยวันนี้มีผู้กล้าเพียงหยิบมือ เข้าร่วมชิงดำเพื่อเป็นหนึ่งในทีมTruesouth ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนเข้าร่วมในจำนวนที่น้อยขนาดนี้
90 คน คือจำนวนนักกีฬาทั้งหมดที่เข้าร่วมในวันนี้ โดยในด่านแรกคนที่สามารถเข้าเส้นชัยได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด คือ 24 ชั่วโมง กับระยะทาง 100 กิโลเมตร จะสามารถผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์ต่อไป โดยเส้นทางการวิ่งจะแบ่งเป็น 7 รอบ รอบแรกจะมีระยะทาง 20 กิโล จากนั้นกลับมาที่จุดสตาร์ท ก่อนจะเข้ารอบสองที่มีระยะน้อยกว่ารอบแรก จากนั้นก็วนกลับมาที่จุดสตาร์ท ก่อนจะเริ่มรอบสามจนถึงรอบสุดท้ายที่มีเส้นทางเหมือนกัน แต่จะเป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่ซ้ำกับสองรอบแรก ในเทรลให้สังเกตสัญลักษณ์สะท้อนแสงเพื่อบอกทาง ผมรู้รายละเอียดเพียงเท่านี้แหละครับก่อนแข่ง
[SR] เรื่องเล่าจากเทรลแรก ตอน มือใหม่ถอดด้าม อาสาขอซ่า กับอัลตร้ามาราธอน
ประโยคๆนี้ดังขึ้นมาในหัวของผม ขณะที่ผมกำลังอ่านรายละเอียดของการรับสมัครผู้กล้าเพื่อจะไปวิ่งระยะไกลในรายการๆหนึ่ง
สำหรับผมกีฬาวิ่งระยะไกลเป็นกีฬาที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับผมเท่าใดนัก มันไม่ค่อยจะเหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเกินกว่าเกณฑ์มาตราฐานมาตลอดชีวิตอย่างผม ผมจึงไม่เคยมีความคิดจะวิ่งระยะไกลมาก่อนเลยในชีวิต
เหตุที่ทำให้ผมเริ่มวิ่งระยะไกลมากขึ้นๆ มันมาจากความพยายามที่จะลดน้ำหนักของผม ที่เมื่อผมลดมาได้ถึงจุดๆนึงแล้ว น้ำหนักของผมมันจะไม่ยอมลดลงอีก ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะวิ่งครั้งละไม่เกิน 45 นาที เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายกล้ามเนื้อของตัวเองมากจนเกินไปนักตามที่ผมเคยได้ศึกษามา
เมื่อ 2 เดือนก่อน ผมได้ไปวิ่งที่สนามกีฬากลางของจังหวัด วันนั้นผมมีโอกาสได้พูดคุยกับนักกีฬาวิ่งระยะไกลสูงอายุคนหนึ่ง เขาแนะนำกับผมว่า ให้วิ่งให้ช้าลงแต่ให้นานขึ้น โดยเขาเสนอว่าปกติผมจะวิ่งรอบสนามกีฬาครั้งละ 5 รอบ ก็ให้ผมเปลี่ยนเป็นวิ่งครั้งละ 7 รอบเป็นอย่างน้อย (รอบละประมาณ 1.2 กิโล)
ผมทำตามคำแนะนำนี้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ผมก็พบความต่างที่เกิดขึ้น จากที่บางครั้งตอนผมวิ่งจะมีอาการเจ็บบริเวณส้นเท้าแต่พอเราวิ่งช้าลงอาการเจ็บนั้นก็ทุเลาเบาลง ผมน้ำหนักลดลง 3 กิโลในเดือนแรกอย่างน่าประหลาด จากนั้นผมจึงเริ่มซ้อมวิ่งให้นานขึ้น จนผมได้กำหนดระยะขั้นต่ำในการวิ่งให้กับตัวเองในแต่ละวันคือ 8 รอบ (10 กิโล) ในบางวันผมสามารถวิ่งได้ถึง 12 รอบ(15 กิโล) และยังสามารถวิ่งในระยะไกลขนาดนี้ติดต่อกันได้ในหลายๆวัน
จนทำให้ผมเริ่มกล้าที่จะตั้งเป้าหมายในการหาความท้าทายใหม่ให้กับตัวเอง นั่นคือการเข้าร่วมการวิ่งฮาฟมาราธานในระยะ 21.1 กิโลเมตร
สำหรับผม การวิ่งระยะไกล มันจะเปลี่ยนชีวิตเราอย่างที่ผมได้เกริ่นนำในข้างต้น ก็ต่อเมื่อเราได้ทุ่มเทเวลาให้กับมัน หากเรามีวินัยในการซ้อม การวิ่งระยะไกลมันจะทำให้เราพบชีวิตใหม่ได้จริงๆ เพราะเมื่อเราทุ่มเทให้กับการวิ่ง มันก็จะส่งผลโดยตรงกับไลฟ์สไตล์ของเรา จากคนเดิมๆกลายเป็นคนที่รักในการออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ ได้พบเจอกับสังคมดีๆของคนที่รักษาสุขภาพเช่นกัน
ผมคิดว่าการวิ่งระยะไกลเป็นกีฬาที่มีเกียรติหากเราทุ่มเทให้กับการวิ่ง ซ้อมให้มากพอ และสามารถเข้าเส้นชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ สำหรับผมการที่เราอ่อนซ้อมแล้วดันไปลงวิ่งระยะไกลจนสามารถเข้าเส้นชัยได้อย่างทุลักทุเล มันไม่ได้แสดงว่าการวิ่งได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเราเลย มันเป็นความเชื่อผิดๆที่คิดจะไปลงวิ่งระยะไกล โดยขาดการซ้อมที่มากพอ แล้วในวันแข่งกลับต้องลากสังขารของตัวเองเข้าเส้นชัยโดยเราคิดไปเองว่านั่นมันคือความภาคภูมิใจ แต่แท้จริงแล้วการซ้อมอย่างมากพอ และทำให้สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิต่างหากที่เป็นรสชาติที่หอมหวานอย่างแท้จริง
สำหรับผม ผมต้องพร้อมจริงๆถึงจะลงวิ่งระยะขนาดนั้น ผมจึงเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง คือการตั้งใจจะซ้อมวิ่งเพื่อลง"ฮาฟมาราธอน" เพราะมันเป็นระยะที่ผมคิดว่าตัวเองน่าจะพอทำได้ในตอนนั้น และแน่นอนว่าเป้าหมายอีกอย่างที่สำคัญมากไม่แพ้กันคือ ผมอยากหากุศโลบายให้ตัวเองซ้อมวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก โดยผมตั้งใจว่าจะไปลงฮาฟที่จอมบึงมาราธอน งานวิ่งระดับตำนานของประเทศไทย
แต่ในคืนวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้บังเอิญเห็นลิงค์ลิงค์หนึ่งที่มีคนแชร์มาในเฟสบุค โดยหัวเรื่องของลิงค์นี้คือการรับสมัครนักผจญภัยเพื่อไปทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ และคนที่จะเข้าร่วมทุกคนจะต้องผ่านด่านทดสอบแรกไปให้ได้ นั่นคือการวิ่งเทรลระยะทาง 100 km. ตอนแรกผมเกือบจะถอดใจกับตัวเลขของระยะทางที่ผมได้เห็น แต่เมื่อผมเห็นระยะเวลาที่ทางรายการกำหนด นั่นคือต้องวิ่งให้ได้ในเวลา 24 ชั่วโมง สำหรับผมตอนนั้น ผมคิดแค่ว่า ผมขอลองทำตามความฝันของตัวเองดู ผมจะลงวิ่งระยะ 100 km. ซึ่งเป็นระยะอัลตร้ามาราธอน (ระยะที่ไกลกว่ามาราธอน) โดยที่สำหรับผมแล้ว ผมเป็นเพียงมือใหม่ที่มีชั่วโมงบินอันน้อยนิดกับการร่วมการแข่งขันในงานวิ่งแบบนี้
ผมเคยร่วมวิ่งประเพณีของคณะวนศาสตร์ 2 ครั้ง ที่ระยะ 12 และ 15 กิโล ซึ่งระยะ 15 กิโลคือระยะทางที่ไกลที่สุดในชีวิตที่เคยวิ่งได้ สำหรับการวิ่งต่อเนื่องแบบไม่หยุดพัก นอกจากนั้นผมเคยร่วมวิ่งระยะ มินิมาราธอน 10 กิโลที่ทางกรุงเทพจัดโดยผมไปสมัครไม่ทัน ผมเพียงแต่ไปตามคำชักชวนของรุ่นพี่(ที่เขาสมัครทัน) ท้ายสุดผมได้ร่วมวิ่งในงานนั้นแบบซื่อๆโดยที่ไม่ได้รีจีเตอร์เลยด้วยซ้ำ ><
คืนวันที่ 19 ผมนั่งอ่านรายละเอียดของโครงการ ประวัติของผู้จัด สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการจะได้ทำ ผมใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงในคืนนั้นจนแน่ใจกับตัวเองแล้วว่า ตัวเองจะต้องสมัครเข้าร่วมในโครงการโครงการนี้ให้จงได้
เช้าวันถัดมา ผมจัดแจงตั้งกล้องถ่ายวีดีโอแนะนำตัวเอง พูดถึงเหตุผลที่อยากเข้าร่วมโครงการ โดยผมพูดสดๆ เพียง 4 เทคก็ผ่านเลย เมื่อได้วีดีโอแล้วผมก็เข้าไปสมัครเข้าร่วมกับโครงการนี้ผ่านทางเว็บไซด์ในทันที
TJ’s True South - Adventure to Antarctica แค่ชื่อของโครงการมันก็มีพลังดึงดูดผมอย่างน่าประหลาด และใช่แล้วครับ มันคือโครงการที่จะเดินทางไปทวีป แอนตาร์กติกา แต่โครงการนี้มีความพิเศษกว่าโครงการไหนๆที่ผ่านมา คือการเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดา ที่มีฝัน ที่กล้าจะออกเดินทางเพื่อเติมเต็มความหมายให้กับชีวิตในแบบของตัวเอง แต่เราต้องมีคุณสมบัติตามที่ทางโครงการกำหนดและแน่นอนว่าเราต้องเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี เป็นคนที่เหมาะสมกับภารกิจนี้ทั้งในด้านความคิด การแก้ไขปัญหาต่างๆ
เมื่อใจอยากจะเดินทาง เมื่อใจพร้อม ถ้าเป็นทริปการเดินทางทั่วๆไป เราคงสามารถจะออกเดินทางได้ในแทบจะทันทีที่ใจเราสั่ง แต่ในครั้งนี้ที่ที่เราจะไปคือขั่วโลกใต้ ใจพร้อมอย่างเดียวคงไม่เพียงพอครับ สำหรับทริปนี้กายจะต้องพร้อมด้วย และหากเราสามารถฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆ สามารถโชว์ในศักยภาพของตัวเราทั้งในด้านบุ๋นและในด้านบู๊ให้ประจักษ์ต่อคณะกรรมการ เราก็จะได้เป็นคนไทยหนึ่งในสิบคนที่จะได้เดินทางไปในโครงการนี้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว
ด่านคัดเลือกด่านแรกมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม โดยภารกิจแรกของเรานั้นมีชื่อเรียกว่า "100K 24-hour Survival Challenge" เมื่อผมได้อ่านรายละเอียดเลยทำให้ผมรู้ว่า มันคือการวิ่งเทรลระยะทางถึง100 กิโล เส้นทางตัดผ่านป่า จากกราฟภูมิประเทศที่ทางทีมงานส่งมาให้ผมดู ทำให้ผมรู้ว่าความท้าทายมากมายกำลังรอผมอยู่
การวิ่งขึ้นที่สูง การวิ่งลงเนิน และยังมีด่านที่ทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายของเราอีกหลายด่าน โดยทางทีมงานตั้งใจจะไม่ลงรายละเอียดบอกกับผู้ร่วมการแข่งขัน เพราะต้องการเซอร์ไพรส์และต้องการดูปฏิกิริยาของพวกเรา
สำหรับเหตุที่ผมอาจหาญที่จะไปสมัคร ก็เป็นเหตุผลง่ายๆที่ว่า ผมอยากไปโครงการนี้อย่างมาก และระยะเวลา 24 ชั่วโมงมันค่อนข้างนาน ถ้าผมเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆไม่หยุดพักนานเกินไป ผมก็เชื่อว่าผมต้องสามารถผ่านการทดสอบด่านแรกนี้ไปได้ ถึงจะเป็นการผ่านด่านแบบทุลักทุเลอย่างมากก็ตาม
วันถัดมาผมจึงไปซ้อมวิ่งและสามารถทำระยะได้ไกลที่สุดในชีวิตคือ 17 km. ก่อนที่จะเดินทางมาที่กรุงเทพโดยใช้รถโดยสารประจำทางแทนที่เครื่องบิน เพราะผมต้องการที่จะประหยัดงบ เก็บเงินเอาไว้ซื้ออุปกรณ์สำหรับวิ่งเทรล ซึ่งผมขอยอมรับตรงนี้เลยว่า ในตอนนี้ผมไม่มีอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเล่นกีฬาชนิดนี้อยู่เลย
ก่อนวันแข่งสามวัน ผมได้ไปงานลดราคาสินค้ากีฬาที่เมืองทองธานี ก่อนที่จะมาซื้อเป้น้ำ อาหารให้พลังงาน ถุงเท้าวิ่งเทรล ที่ร้านพาร์ทไวด์
สองวันก่อนวิ่งผมแทบไม่ได้ออกจากห้องไปไหน เป็นช่วงเวลาเตรียมใจและร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ผมลองหยิบรองเท้ากับอุปกรณ์มาใส่เล่นใส่เดินบ้างให้พอคุ้นเคย
(ถอยเป้น้ำใบใหม่สะเลยครับ)
และแล้วก็มาถึง วันแข่ง!!!
ผมนอนหลับไปประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆ ถือว่าไม่เลวนัก เพราะก่อนหน้านั้นผมกลัวว่าตัวเองจะนอนไม่หลับจากความตื่นเต้น ผมตื่นนอนตอนตีห้าสี่สิบ จัดการธุระส่วนตัว แล้วเดินทางไปขึ้นรถบัสฟรีที่ทางโครงการจัดไว้ให้ ที่ตึกไทยซัมมิด แถวๆMRTเพชรบุรี
ผมได้คุยกับคุณลุงคนหนึ่งที่มาเข้าร่วมวิ่งในครั้งนี้ด้วย ถึงแม้ว่าอายุของคุณลุงจะเกินกำหนดของคุณสมบัติที่ทางโครงการได้ระบุเอาไว้ก็ตาม โดยโครงการนี้จะรับบุคคลที่มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 25-46 ปี แต่คุณลุงอายุ 58 ปีแล้ว แต่ดูๆแล้วคุณลุงดูแข็งแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเราทั้งสองคนได้นั่งคุยกันบนรถบัสไปตลอดทาง
ถนนพระรามสองขาออกจากกรุงเทพรถติดยาว เพราะเป็นเช้าของวันศุกร์ กว่าเราจะเดินทางมาถึงสถานที่จัดงานก็กินเวลานานพอสมควร
12.30 น. รถบัสได้พาเรามาที่ แก่งกระจาน คันทรี คลับ แอนด์ รีสอร์ท สถานที่จัดงาน โดยเราจะเริ่มวิ่งกันจากที่นี่
เมื่อมาถึง ขั้นแรกคือการตรวจอุปกรณ์บังคับ คือไฟฉายคาดหัว ถ่านไฟฉายสำรอง เป้น้ำหรืออุปกรณ์บรรจุน้ำขนาดจุตั้งแต่ 2 ลิตรขึ้นไป และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
จากนั้นผมกับคุณลุงก็เดินมาลงทะเบียน รับหมายเลขและเสื้อที่ระลึก เสร็จแล้วพวกเราก็ไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดวิ่ง โดยคุณลุงเสนอให้ผมใส่เสื้อที่เพิ่งได้แจกฟรีจากทางทีมงานเพื่อถ่ายรูปและใส่วิ่ง โดยผมไม่ค่อยเห็นด้วยนักเพราะเสื้อตัวนี้ทำมาจากผ้าCottonที่ไม่เหมาะกับการออกกำลังกาย ไม่ระบายอากาศ โดยผมตั้งใจว่าหลังจากถ่ายรูปกับบิลบอร์ดเสร็จแล้วจะเปลี่ยนเป็นเสื้อวิ่งสีแดงที่ผมเตรียมมา
ถ่ายรูปเรียบร้อย ผมกับคุณลุงก็เดินมากินข้าวฟรีที่ทางโครงการจัดไว้ให้ โดยโครงการนี้ทุกอย่างฟรีหมดเพราะทางโครงการมีสปอนเซอร์เจ้าใหญ่ให้การสนับสนุนหลายเจ้า
ผมกินข้าวยังไม่ทันเสร็จดี ทีมงานก็เรียกให้เข้าไปฟังการบรีฟก่อนการแข่ง และฟังบรรยายถึงโครงการ โดยที่เจ้าของโครงการเดินทางมาบรรยายไม่ทันเนื่องจากรถติด เราจึงได้ฟังคำบรรยายจากชาวต่างชาติที่เป็นผู้ดูแลโครงการนี้แทน
ผมนั่งจัดของในห้องบรีฟและยังปวดท้องต้องไปเข้าห้องน้ำอีก ทำให้ได้รับฟังข้อมูลการวิ่งไม่ครบเท่าใดนัก แต่ผมคิดเอาเองว่าคงไม่เป็นไร
เวลาสามโมงนิดๆทุกคนก็มาพร้อมกันที่จุดสตาร์ท โดยวันนี้มีผู้กล้าเพียงหยิบมือ เข้าร่วมชิงดำเพื่อเป็นหนึ่งในทีมTruesouth ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนเข้าร่วมในจำนวนที่น้อยขนาดนี้
90 คน คือจำนวนนักกีฬาทั้งหมดที่เข้าร่วมในวันนี้ โดยในด่านแรกคนที่สามารถเข้าเส้นชัยได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด คือ 24 ชั่วโมง กับระยะทาง 100 กิโลเมตร จะสามารถผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์ต่อไป โดยเส้นทางการวิ่งจะแบ่งเป็น 7 รอบ รอบแรกจะมีระยะทาง 20 กิโล จากนั้นกลับมาที่จุดสตาร์ท ก่อนจะเข้ารอบสองที่มีระยะน้อยกว่ารอบแรก จากนั้นก็วนกลับมาที่จุดสตาร์ท ก่อนจะเริ่มรอบสามจนถึงรอบสุดท้ายที่มีเส้นทางเหมือนกัน แต่จะเป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่ซ้ำกับสองรอบแรก ในเทรลให้สังเกตสัญลักษณ์สะท้อนแสงเพื่อบอกทาง ผมรู้รายละเอียดเพียงเท่านี้แหละครับก่อนแข่ง