เบื่อมั้ยกับการเจออะไรแบบนี้
1.ปกติเราก็จะเห็นว่าห้างสรรพสินค้าหลายๆที่มักจะมีช่องด่วนพิเศษที่จะรับของไม่เกิน 10 ชิ้น แถมป้ายหน้าเคาท์เตอร์ก็จะเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เท่าที่ จขกท.เคนเห็น จะมีบางคนที่ไม่ได้ทำตามนั้น ป้ายเขียนอย่างชัดเจนตัวเบ้อเร่อว่าไม่เกิน 10 ชิ้น ถ้าหากว่าเกินมา 3-4 ชิ้นนี่คือจะไม่คิดอะไรเลย แต่นี่คือ ซื้อมาเยอะจริงๆ แบบเกินมาเยอะแน่ๆ (ไม่นับรวมพวกที่ซื้อของแบบซ้ำกันหลายๆชิ้นนะคะ อันนั้นมันน่าจะนับแล้วคีย์ในเคาท์เตอร์ได้เลยว่ามีกี่ชิ้น)
2.ช่องทางด่วนไปรษณีย์ที่หลายๆที่จะมีช่องด่วนเหมือนกันแต่จะรับของไม่เกิน 2-3 ชิ้น เหมือนกันเลยค่า จะมีคนที่ฝากส่งประมาณ 7-8 ชิ้น แล้วมาเข้าช่องนี้ซึ่งไม่ต้องกดบัตรคิว พนักงานบางคนถ้าเห็นเขาก็จะบอกคนนั้นว่าเข้าช่องนี้ไม่ได้ ต้องไปกดคิวแล้วรอ เพราะตรงนี้สำหรับคนส่งของไม่กี่ชิ้น แต่พนักงานบางคนก็ไม่เห็น หรือเห็นแล้วแต่ไม่สนใจอะไรก็แล้วแต่ ก็ปล่อยผ่าน คือถ้าเป็นงี้ไอ้เราที่กะว่าจะมาปณ.แปปเดียว ส่งของชิ้นสองชิ้นแล้วกลับก็รอไปสิ ถึงแม่จะรอเพิ่มมาอีกแค่แปปเดียวแต่มันก็ไม่สมควรป่ะคะ กฎเขามีก็ทำตามสิ
3.ใครที่ขายของออนไลน์หรือเคยลงประกาศขายของลงเว็บไซต์บ่อยๆอาจจะเคยเจอ เราเขียนคำบรรยายหรือรายละเอียดของสินค้าหรือของที่เราลงขาย เป็นมือสองมีตำหนิมากน้อยแค่ไหนและตรงไหน อะไรประมาณนี้ ส่วน จขกท.จะมีพื้นที่ของตัวเองสำหรับขายของที่ตัวเองปล่อย เป็นมือสอง หรือของที่ซื้อมาเก็บแล้วไม่ได้ใช้เลย จขกท.ก็เขียนทุกอย่างไว้ค่า ค่าส่งแบบลทบ.กับอีเอ็มเอสเพิ่มมากี่บาท รับเงินช่องทางไหนบ้าง สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ไหน แล้วของที่ จขกท.จะปล่อยขายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเด็กๆประมาณ ม.ต้น มาซื้อค่า บางทีก็จะมีให้ผ่อนจ่ายบ้าง ผ่อนหมดเมื่อไหร่ก็จะส่งของให้ทันที แต่บางอย่างก็จะเขียนไว้แล้วว่าไม่รับผ่อนหรือลดราคาใดๆทั้งสิ้น (เพื่มอิโมจิเครื่องหมายตกใจสีแดงๆให้ด้วยนะ) ก็ยังมีคนถาม เวลาจะซื้อของอะไรเราก็ต้องอ่านรายละเอียดทุกอย่างให้ดีก่อนรึเปล่า? ไม่ใช่เห็นรูปปุ๊ปก็ถามปั๊ป แต่เดี๋ยวนี้เจอบ่อยจนเริ่มชินแล้ว
4.แม่ค้า/พ่อค้าที่ชอบทำหน้าตาบูดบึ้งเวลาขายของ พูดได้เต็มปากเลยค่าว่ากิริยาแบบนี้มันไม่เหมาะสมและก็ไม่ควรทำเป็นอย่างมาก และจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นมนุษย์มีชีวิตจิตใจที่ทำงานทั้งวันมันเหนื่อย อากาศมันร้อน หิว สารพัดเหตุผลในการเข้าข้างตัวเอง ครอบครัวของ จขกท.ทำการค้าขายค่า ที่ทำงานก็เป็นตึกแถวธรรมดาอยู่ในตลาด ไม่ได้ติดแอร์ ส่วนใหญ่คุณพ่อจะทำงานเป็นเบื้องหลังคอยสั่งของหรือจัดส่งของให้ลูกค้าที่ซื้อของเยอะๆ ส่วน จขกท.กับน้องจะเป็นคนทำงานอยู่หน้าร้าน ขายของเอง คิดตังเอง พ่อไม่จ้างลูกจ้างสำหรับขายของหน้าร้านเพราะไม่ไว้ใจเรื่องเงิน ตั้งแต่ประถมช่วงกลางวันเวลาไปโรงเรียนพ่อจะให้ลูกจ้างเป็นคนทำหลังร้านแทนแล้วตัวเองมาขายของหน้าร้าน หลังเลิกเรียนจขกท.ไม่เคยได้ตรงกลับบ้านทันทีเลย(ยกเว้นวันที่ร้านปิด) เพราะต้องรีบไปช่วยพ่อขายของ กว่าจะปิดร้านเคลียบัญชีเสร็จก็เกือบๆทุ่ม วันเสาร์หรือปิดเทอมที่โรงเรียนก็จะมาช่วยพ่อขายของทั้งวัน และอย่าคิดว่ามันสะบาย แค่ขายของให้ลูกค้าแล้วเก็บตังๆ บ้านจขกท.ขายข้าวสารค่า แบบที่ยังเป็นเม็ด คิดดูแล้วกันว่ามันเหนื่อยแค่ไหนบางคนซื้อ 10-30 โลแล้วพ่อไม่อยู่ ไม่จขกท.ก็น้องจะต้องเป็นคนเอาของตามไปส่งเขา เคยเห็นรถเข็นผักในตลาดที่มีสองล้อมั้ยค้า นั่นแหล่ะสิ่งต้องใช้ จขกท.ต้องเข็นให้เป็นตั้งแต่ ป.4 เด็กประถมที่เข็นข้าว 10 โลเดินในตลาด มันไม่ได้ง่าย และมันก็เหนื่อยมาก ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำหน้าบูดบึ้งใส่ลูกค้า เคยทำค่ะ ก็เด็กอ่ะ เหนื่อยหรืองอนใครก็แสดงออกที่สีหน้าหมด โดนพ่อเทศสิ พ่อบอกว่าถ้าหากเราซื้อของแล้วคนขายทำหน้าบูดใส่เราทำท่าทางเหวี่ยงๆแบบนั้นเราจะอยากซื้อของมั้ย ใครๆก็อยากซื้อของกับคนที่เทคแคร์แล้วก็ยิ้มแย้มทั้งนั้นแหล่ะ ทำให้รู้สึกว่าเราเอาใจใส่ลูกค้าแล้วสนใจเขา ถึงแม้เขาจะมาแค่ถามๆแล้วสุดท้ายก็ไม่ซื้อก็ตาม จขกท.ก็ต้องทำแบบนั้นค่า ยิ้มแย้มแจ่มใส แนะนำลูกค้าว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อีกอย่างคือจขกท.ไม่ใช่คนเฟรนลี่ หรือชอบคุยกับคนแปลกหน้านะคะ แต่เรารู้หน้าที่ว่าตำแหน่งของเรา เราต้องทำอะไร เราไม่รู้เหตุผลอะไรของพ่อค้าแม่ค้าที่ทำหน้าตูดใส่ลูกค้านะคะ พ่อเราไม่เคยทำหน้าบึ้งใส่ลูกค้าถึงแม้ว่าเขาจะว่าว่าอะไรหรือเรื่องมากแค่ไหน ไม่เคยเอาอารมณ์มาใช้กับลูกค้าเลย และก็เคยเห็นหลายๆคนที่ขายของด้วยท่าทางยิ้มแย้มทั้งที่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นการใช้เหตุผลที่ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วมันมีเรื่องให้เครียดเยอะสำหรับเรามันก็แค่ข้ออ้างค่า
5.การแซงคิวนี่เกลียดมากค่า ทั้งเข้าห้องน้ำทั้งซื้อของหรืออาหาร ถึงเราจะรีบแค่ไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้ คุณรีบแล้วคนอื่นล่ะ? ทุกคนเขาก็ไม่อยากมาต่อแถวทั้งนั้น แล้วการเอาเปรียบคนอื่นด้วยการแซงคิวนี่น่าเกลียดเกินไป แต่สมมุติว่าคนเข้าห้องน้ำแล้วไปแซงคิวเขาด้วยเหตุที่มันร้ายแรงหรืออีเมอเจนซี่จริงๆ อย่างผู้ชายนี่เราไม่รู้นะคะว่าจะมีเหตุด่วนอะไรถึงต้องแซงกันเข้าห้องน้ำได้ แต่ผู้หญิงบางทีประจำเดือนใหลแล้วมันซึมเพราะของแบบนี้มันอั้นไม่ได้เหตุผลนี้เข้าใจเลยค่า และเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเข้าใจด้วย (แต่บางทีเราก็ไม่รู้อ่ะเนอะว่าปจด.เขากำลังใหล) การเข้าแถวซื้อของหรืออาหารก็แลบเดียวกันไม่มีใครมีสิทธิไปแซงคนอื่นเคยเห็นอาจารย์บางคน(ส่วนน้อยมากๆ)ที่เดินลัดคิวไปซื้อของ รู้บางคนอาจจะอวุโสเกินกว่าจะมาเข้าแถวอะไรแบบนี้นานๆ อันนั้นก็พอจะทราบ แต่บางคนยังหนุ่มยังสาวนี่คือ? เป็นผู้ใหญ่ก็ควรจะทำตัวอย่างให้เด็กเห็นว่าขนาดครูที่มีอำนาจกว่านักเรียนยังต้องต่อแถวหลังคนอื่นซื้อของ แล้วทไมำนักเรียนถึงจะต้องไม่ทำตาม จขกท.ไม่เคยแซงคิวใครค่ะ ถึงเพื่อนจะอยู่หน้า แล้วเรียกเราเราก็ไม่ไป หรือถ้าเราออกจากแถวมาแล้วก็จะมาต่อท้ายแถวใหม่ ค่ะ
อาจจะคิดว่าจขกท.งี่เง่าหรือคิดเล็กคิดน้อย แต่ลองนึกดีๆ การทำแลบนี้มันควรหรอ ?
อย่าบอกว่าจขกท.โลกสวย เพราะนี่เป็นสิ่งที่คนเราควรคิดได้เอง
เบื่อมั้ยกับการเจออะไรแบบนี้
1.ปกติเราก็จะเห็นว่าห้างสรรพสินค้าหลายๆที่มักจะมีช่องด่วนพิเศษที่จะรับของไม่เกิน 10 ชิ้น แถมป้ายหน้าเคาท์เตอร์ก็จะเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เท่าที่ จขกท.เคนเห็น จะมีบางคนที่ไม่ได้ทำตามนั้น ป้ายเขียนอย่างชัดเจนตัวเบ้อเร่อว่าไม่เกิน 10 ชิ้น ถ้าหากว่าเกินมา 3-4 ชิ้นนี่คือจะไม่คิดอะไรเลย แต่นี่คือ ซื้อมาเยอะจริงๆ แบบเกินมาเยอะแน่ๆ (ไม่นับรวมพวกที่ซื้อของแบบซ้ำกันหลายๆชิ้นนะคะ อันนั้นมันน่าจะนับแล้วคีย์ในเคาท์เตอร์ได้เลยว่ามีกี่ชิ้น)
2.ช่องทางด่วนไปรษณีย์ที่หลายๆที่จะมีช่องด่วนเหมือนกันแต่จะรับของไม่เกิน 2-3 ชิ้น เหมือนกันเลยค่า จะมีคนที่ฝากส่งประมาณ 7-8 ชิ้น แล้วมาเข้าช่องนี้ซึ่งไม่ต้องกดบัตรคิว พนักงานบางคนถ้าเห็นเขาก็จะบอกคนนั้นว่าเข้าช่องนี้ไม่ได้ ต้องไปกดคิวแล้วรอ เพราะตรงนี้สำหรับคนส่งของไม่กี่ชิ้น แต่พนักงานบางคนก็ไม่เห็น หรือเห็นแล้วแต่ไม่สนใจอะไรก็แล้วแต่ ก็ปล่อยผ่าน คือถ้าเป็นงี้ไอ้เราที่กะว่าจะมาปณ.แปปเดียว ส่งของชิ้นสองชิ้นแล้วกลับก็รอไปสิ ถึงแม่จะรอเพิ่มมาอีกแค่แปปเดียวแต่มันก็ไม่สมควรป่ะคะ กฎเขามีก็ทำตามสิ
3.ใครที่ขายของออนไลน์หรือเคยลงประกาศขายของลงเว็บไซต์บ่อยๆอาจจะเคยเจอ เราเขียนคำบรรยายหรือรายละเอียดของสินค้าหรือของที่เราลงขาย เป็นมือสองมีตำหนิมากน้อยแค่ไหนและตรงไหน อะไรประมาณนี้ ส่วน จขกท.จะมีพื้นที่ของตัวเองสำหรับขายของที่ตัวเองปล่อย เป็นมือสอง หรือของที่ซื้อมาเก็บแล้วไม่ได้ใช้เลย จขกท.ก็เขียนทุกอย่างไว้ค่า ค่าส่งแบบลทบ.กับอีเอ็มเอสเพิ่มมากี่บาท รับเงินช่องทางไหนบ้าง สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ไหน แล้วของที่ จขกท.จะปล่อยขายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเด็กๆประมาณ ม.ต้น มาซื้อค่า บางทีก็จะมีให้ผ่อนจ่ายบ้าง ผ่อนหมดเมื่อไหร่ก็จะส่งของให้ทันที แต่บางอย่างก็จะเขียนไว้แล้วว่าไม่รับผ่อนหรือลดราคาใดๆทั้งสิ้น (เพื่มอิโมจิเครื่องหมายตกใจสีแดงๆให้ด้วยนะ) ก็ยังมีคนถาม เวลาจะซื้อของอะไรเราก็ต้องอ่านรายละเอียดทุกอย่างให้ดีก่อนรึเปล่า? ไม่ใช่เห็นรูปปุ๊ปก็ถามปั๊ป แต่เดี๋ยวนี้เจอบ่อยจนเริ่มชินแล้ว
4.แม่ค้า/พ่อค้าที่ชอบทำหน้าตาบูดบึ้งเวลาขายของ พูดได้เต็มปากเลยค่าว่ากิริยาแบบนี้มันไม่เหมาะสมและก็ไม่ควรทำเป็นอย่างมาก และจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นมนุษย์มีชีวิตจิตใจที่ทำงานทั้งวันมันเหนื่อย อากาศมันร้อน หิว สารพัดเหตุผลในการเข้าข้างตัวเอง ครอบครัวของ จขกท.ทำการค้าขายค่า ที่ทำงานก็เป็นตึกแถวธรรมดาอยู่ในตลาด ไม่ได้ติดแอร์ ส่วนใหญ่คุณพ่อจะทำงานเป็นเบื้องหลังคอยสั่งของหรือจัดส่งของให้ลูกค้าที่ซื้อของเยอะๆ ส่วน จขกท.กับน้องจะเป็นคนทำงานอยู่หน้าร้าน ขายของเอง คิดตังเอง พ่อไม่จ้างลูกจ้างสำหรับขายของหน้าร้านเพราะไม่ไว้ใจเรื่องเงิน ตั้งแต่ประถมช่วงกลางวันเวลาไปโรงเรียนพ่อจะให้ลูกจ้างเป็นคนทำหลังร้านแทนแล้วตัวเองมาขายของหน้าร้าน หลังเลิกเรียนจขกท.ไม่เคยได้ตรงกลับบ้านทันทีเลย(ยกเว้นวันที่ร้านปิด) เพราะต้องรีบไปช่วยพ่อขายของ กว่าจะปิดร้านเคลียบัญชีเสร็จก็เกือบๆทุ่ม วันเสาร์หรือปิดเทอมที่โรงเรียนก็จะมาช่วยพ่อขายของทั้งวัน และอย่าคิดว่ามันสะบาย แค่ขายของให้ลูกค้าแล้วเก็บตังๆ บ้านจขกท.ขายข้าวสารค่า แบบที่ยังเป็นเม็ด คิดดูแล้วกันว่ามันเหนื่อยแค่ไหนบางคนซื้อ 10-30 โลแล้วพ่อไม่อยู่ ไม่จขกท.ก็น้องจะต้องเป็นคนเอาของตามไปส่งเขา เคยเห็นรถเข็นผักในตลาดที่มีสองล้อมั้ยค้า นั่นแหล่ะสิ่งต้องใช้ จขกท.ต้องเข็นให้เป็นตั้งแต่ ป.4 เด็กประถมที่เข็นข้าว 10 โลเดินในตลาด มันไม่ได้ง่าย และมันก็เหนื่อยมาก ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำหน้าบูดบึ้งใส่ลูกค้า เคยทำค่ะ ก็เด็กอ่ะ เหนื่อยหรืองอนใครก็แสดงออกที่สีหน้าหมด โดนพ่อเทศสิ พ่อบอกว่าถ้าหากเราซื้อของแล้วคนขายทำหน้าบูดใส่เราทำท่าทางเหวี่ยงๆแบบนั้นเราจะอยากซื้อของมั้ย ใครๆก็อยากซื้อของกับคนที่เทคแคร์แล้วก็ยิ้มแย้มทั้งนั้นแหล่ะ ทำให้รู้สึกว่าเราเอาใจใส่ลูกค้าแล้วสนใจเขา ถึงแม้เขาจะมาแค่ถามๆแล้วสุดท้ายก็ไม่ซื้อก็ตาม จขกท.ก็ต้องทำแบบนั้นค่า ยิ้มแย้มแจ่มใส แนะนำลูกค้าว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อีกอย่างคือจขกท.ไม่ใช่คนเฟรนลี่ หรือชอบคุยกับคนแปลกหน้านะคะ แต่เรารู้หน้าที่ว่าตำแหน่งของเรา เราต้องทำอะไร เราไม่รู้เหตุผลอะไรของพ่อค้าแม่ค้าที่ทำหน้าตูดใส่ลูกค้านะคะ พ่อเราไม่เคยทำหน้าบึ้งใส่ลูกค้าถึงแม้ว่าเขาจะว่าว่าอะไรหรือเรื่องมากแค่ไหน ไม่เคยเอาอารมณ์มาใช้กับลูกค้าเลย และก็เคยเห็นหลายๆคนที่ขายของด้วยท่าทางยิ้มแย้มทั้งที่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นการใช้เหตุผลที่ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วมันมีเรื่องให้เครียดเยอะสำหรับเรามันก็แค่ข้ออ้างค่า
5.การแซงคิวนี่เกลียดมากค่า ทั้งเข้าห้องน้ำทั้งซื้อของหรืออาหาร ถึงเราจะรีบแค่ไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้ คุณรีบแล้วคนอื่นล่ะ? ทุกคนเขาก็ไม่อยากมาต่อแถวทั้งนั้น แล้วการเอาเปรียบคนอื่นด้วยการแซงคิวนี่น่าเกลียดเกินไป แต่สมมุติว่าคนเข้าห้องน้ำแล้วไปแซงคิวเขาด้วยเหตุที่มันร้ายแรงหรืออีเมอเจนซี่จริงๆ อย่างผู้ชายนี่เราไม่รู้นะคะว่าจะมีเหตุด่วนอะไรถึงต้องแซงกันเข้าห้องน้ำได้ แต่ผู้หญิงบางทีประจำเดือนใหลแล้วมันซึมเพราะของแบบนี้มันอั้นไม่ได้เหตุผลนี้เข้าใจเลยค่า และเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเข้าใจด้วย (แต่บางทีเราก็ไม่รู้อ่ะเนอะว่าปจด.เขากำลังใหล) การเข้าแถวซื้อของหรืออาหารก็แลบเดียวกันไม่มีใครมีสิทธิไปแซงคนอื่นเคยเห็นอาจารย์บางคน(ส่วนน้อยมากๆ)ที่เดินลัดคิวไปซื้อของ รู้บางคนอาจจะอวุโสเกินกว่าจะมาเข้าแถวอะไรแบบนี้นานๆ อันนั้นก็พอจะทราบ แต่บางคนยังหนุ่มยังสาวนี่คือ? เป็นผู้ใหญ่ก็ควรจะทำตัวอย่างให้เด็กเห็นว่าขนาดครูที่มีอำนาจกว่านักเรียนยังต้องต่อแถวหลังคนอื่นซื้อของ แล้วทไมำนักเรียนถึงจะต้องไม่ทำตาม จขกท.ไม่เคยแซงคิวใครค่ะ ถึงเพื่อนจะอยู่หน้า แล้วเรียกเราเราก็ไม่ไป หรือถ้าเราออกจากแถวมาแล้วก็จะมาต่อท้ายแถวใหม่ ค่ะ
อาจจะคิดว่าจขกท.งี่เง่าหรือคิดเล็กคิดน้อย แต่ลองนึกดีๆ การทำแลบนี้มันควรหรอ ?
อย่าบอกว่าจขกท.โลกสวย เพราะนี่เป็นสิ่งที่คนเราควรคิดได้เอง