“หลวงพระบาง” ดินแดนมรดกโลก เมืองแห่งมนต์เสน่ห์และวัฒนธรรม ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่หลวงพระบางยังคงรักษารากเหง้าของตัวเองไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านสภาพบ้านเมือง สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิต ที่หากใครได้มีโอกาสมาเยือน ก็มักจะหลงเสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ทุกราย
การเดินทางสู่หลวงพระบางของผม เริ่มต้นจากที่ตัวเองอยู่ว่างๆ เพราะเพิ่งลาออกจากงานเดิมที่ทำมากว่า 7 ปี แล้วเหมือนชีวิตมันถึงเวลาที่ตัวเองต้องมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่งหนึ่งในความใฝ่ฝันของผมที่อยากลองทำก็คือ การท่องเที่ยวแบบ Backpacker และหลวงพระบางคือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่อยากเดินทางไปเยือนสักครั้ง ฉะนั้นผมจึงไม่รอช้า จัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และวางแผนการเดินทางคร่าวๆ ก่อนจะเดินทางเพียง 1 วันเท่านั้น!!!
ความสนุกของทริปนี้มันอยู่ตรงที่ผมไปแบบไม่ได้วางแผนอะไรเลย รู้เพียงคร่าวๆ ว่าที่พักอยู่ตรงไหน ราคาเท่าไหร่ และรู้ว่าหลวงพระบางค่าครองชีพ แพง!!! ฉะนั้นผมจะไม่ใช้เงินมั่วซั่ว อะไรประหยัดได้คือประหยัด เลี่ยงจ่ายได้คือเลี่ยง ซึ่งผมไปทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ใช้ค่าใช้จ่ายที่หลวงพระบาง (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน Air Asia ไป/กลับ ดอนเมือง-หลวงพระบาง 3250 บาท) ไม่ถึง 3000 บาท!!! อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่ถึง 3000 บาทจริงๆ เดี๋ยวจะสรุปให้ตอนท้ายว่าผมใช้อะไรไปบ้างเนอะ
**และแล้ววันเดินทางก็มาถึง**
เช้าของวันที่ 19 มีนาคม 60 ผมเดินทางมายังสนามบินดอนเมืองแต่เช้า เพื่อมารอขึ้นเครื่องของ Air Asia ผมเดินชิลลงจาก Shuttle bus สาย A1 ที่มาจอดทิ้งผมลงหน้า Terminal 1 อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ที่ช่วงเช้านี่นรกแตกสุดๆ คนเยอะแยะตะแป๊ะสิ่ง อย่างกับขนส่งหมอชิต แต่ด้วยความเคยชินของผม ก็จะทำการเช็คอินตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ตมาแล้ว เพื่อกันตัวเองมาสาย (เพราะผมมีประวัติตกเครื่องบ่อยมากกกก 5555) ผมเดินมาที่เค้าเตอร์เช็คอินด้วยความมั่นใจ เพราะจำได้ว่า เครื่องบินออกตอน 10:30 น. แน่นอน แต่พอมาถึงปุ๊ป บอกเช็คอินตั๋วไปหลวงพระบาง พนักงานก็ทำหน้างงๆ ใส่ผม แล้วถามย้อนกลัวว่า
“หลวงพระบางเหรอคะ” ผมก็ตอบอย่างมันใจว่า
“ครับ ตอนเที่ยว 10:30 น. ไงครับ”
“คุณผู้โดยสารคะ เที่ยวบินที่จะไปหลวงพระบางวันนี้มีบ่าย 2 นะคะ”
“หืม!! บ่าย2??” งงละซิ
“ค่ะ FD 1030 เวลาบอร์ดดิ้ง 13:30 น. ผู้โดยสารสะดวกรับ Bording Pass ไปเลยมั้ยคะเดี๋ยวจะออกให้ผู้โดยสารให้ก่อนได้ค่ะ แต่รบกวนว่าอาจต้องเช็ค Gate เอาจากหน้าจอเองอีกทีนะคะ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาค่ะ”
“ได้ครับ” ผมก็รับตั๋วมางงๆ แล้วมาเช็คเวลาดูดีๆ อีกครั้งอย่างมีสติ
สรุปคือ ผมบิน 14:00 น. จริงๆ บนเที่ยวบินที่ FD 1030 ซึ่งผมก็ดันเฟอะฟะ ดูเที่ยวบินเป็นเวลาซะงั้นว่าบิน 10:30 น. ดีนะที่เป็นไฟล์ทบ่าย ไม่งั้นผมตกเครื่องแน่ถ้าเป็นไฟล์ทเช้า หุๆ เพราะความไม่มีสติทำให้ผมต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่สนามบินถึง 4 ชั่วโมง!!!
หลังนั่งแก่วอยู่สนามบินถึง 4 ชั่วโมง เพราะความเฟอะฟะของตัวเอง ที่ดันไปถึงก่อนเวลาเครื่องออก จริงๆ คือดูเวลาผิดแหละ ดูยังไงเป็น 10:30 น. ทั้งๆ ที่เครื่องออก 14:00 น. ไปถึงสนามบินตั้งแต่โมง ตลกตัวเอง แต่เอาล่ะสุดท้ายก็ได้ฤกษ์เดินทางเสียที นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาหลวงพระบาง โดยการมาส่งของเจ้าหางแดง Air Asia เที่ยวบินที่ FD 1030 (จำขึ้นใจเลย) บินราวๆ ชั่วโมงครึ่ง ผมก็มาถึงยังอดีตราชธานีเก่าแก่แห่งอาณาจักรล้านช้างแล้ว
หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง มาอย่างรวดเร็ว สะดวกโยธิน ผมก็ต้องหาซิมมือถือของลาวมาประดับเครื่องสักหน่อย ไม่งั้นลงแดงตายแน่ถ้าไม่ได้เล่นโซเชี่ยล อีกอย่างคือเอาไปเปิด Google map เวลาหลงด้วย ผมซื้อซิมแบบ Data only ของ Unitel 2 GB ใช้ได้ 7 วัน ราคา 300 บาท ซึ่งขนาดว่าผมกระหน่ำใช้ทั้งดูยูทูป เข้าเว็บ หรือ Video Call กับแฟน ก็ยังไม่หมด เหลือเฟือบานเบอะ เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เตรียมเดินจากสนามบินเข้าเมืองกันเลย
ทริปนี้ผมเริ่มต้นการเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง เพื่อไปยังเกสเฮ้าส์โดยวิธีการเดินเท้า ย้ำอีกครั้ง!! เดินเท้า อ่านไม่ผิดหรอกครั[ ผมจะเดินไปจริงๆ คือที่พักที่จองไว้มันไม่ไกลจากสนามบินมาก ระยะทางแค่เกือบๆ 5 กิโลเมตรเอง อีกอย่าง ผมว่าค่ารถเข้าเมืองมันแพงตั้ง 200 บาท ถ้าทั้งไปทั้งกลับรวมๆ ก็ 400 ร้อย ราคานี้ผมนั่งรถ ป.1 จากหมอชิต-พิษณุโลกได้เลยนะ ผมว่าไม่คุ้มค่าอ่ะ(เขียมสุดๆ) ทำให้ตัดสินใจเดินไป ท่ามกลางอุณหภูมิ 37 องศา แถมแบกเป้บนหลังอีกเกือบ 10 กิโลกรัม รวมขาตั้งกล้อง ชอบหาเรื่องลำบากให้ตัวเองตลอด 5555
นี่เดินจริงไรจริง ไม่ได้พูดเล่นนะครับ ออกจากสนามบินปุ๊ปก็เลี้ยวขาว เดินล่องมาทางด้านใต้ของสนามบิน ตามถนนสายหลัก ตรงยาวอย่างเดียวครับ เดี๋ยวก็ถึงเองแหละ หุห ดูจากแดดสิ ไม่ร้อนเท่าไหร่หร๊อกกก แค่หลังเปียกเบาๆ เท่านั้นเอง
ร้อนเริ้นอะไร เอาที่ไหนมาพูด ดูหน้าผมสิ ผมดูร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ หึหึ (ตรูจะงกไปไหนเนี่ยกับเงินแค่ 200)
เห็นมั้ยว่าผมเตรียมการมาพร้อมสำหรับการเดินจริงๆ ครับ จัดรองเท้าวิ่งมาโดยเฉพาะเลย จะได้เดินได้แบบสบายๆ ไม่เมื่อยเท้า แต่ตอนนี้จะเกรียมละเหอะ
เดินผ่าน 2 กิโลมา ก็เริ่มเห็นความเป็นเมืองบ้างละ ที่นี่รถจะวิ่งต่างจากบ้านเราตรงที่จะวิ่งเลนขวา พวงมาลัยซ้าย ฉะนั้นต้องระวังครับเวลาจะเดินหรือจะข้ามถนน เพราะเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเอาได้
สำหรับผมนะ ข้อดีของการเดินทำให้ผมเห็นบรรยากาศอะไรหลายๆ อย่างริมทาง อย่างที่เราไม่อาจซึมซับได้ทันหากขึ้นรถ และได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่ได้เต็มที่ แต่เวลาราวๆ บ่าย 3 โมงแบบนี้ คงไม่เหมาะนักจะซึมซับบรรยากาศใดๆ เพราะถ้าตากแดดนานกว่านี้มีแววจะเป็นลมเอาได้ 5555
นี่มันเรานี่ แมวดำ อิอิ หิวน้ำง่ะ ขอกิoน้ำหน่อยน้ำ เหมียวววว เดินชมนก ชมไม้ ชมหมา ชมแมวมาเรื่อยๆ
เหมียวลายสลิดที่ร้านขายน้ำ หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเลย ตาไม่ยำไยเบยง่ะ เล่นด้วยก็ไม่ยอม หวงตัวนะ ดีออก!!
เดินมาไกล ชักกระหาย อยากของเย็น ของหวาน เลยแวะร้านข้างทางถอยชานมเย็น หวานๆ มันๆ ชื่นใจมาดูดแก้กระหาย ในราคา 5,000 กีบ (25 บาทนิดๆ) แล้วก็พร้อมลุยต่อแล้ว
สะพานข้ามแม่น้ำคาน ที่อนุญาตให้แค่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านได้เท่านั้น มาถึงสะพานนี้ GPS ก็ขานว่า 3 กิโลพอดี
บรรยากาศของแม่น้ำคาน แม่น้ำสายนี้จะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขง ถ้ามองดีๆ ตรงสันทรายกลางแม่น้ำจะมีคนมาอาบน้ำเล่นน้ำด้วยแหละ
ระหว่างผมกำลังเดินข้ามแม่น้ำมาได้สักครึ่งสะพาน ผมก็เห็นคนเกาหลีก้มๆ เงยๆ มองๆ อะไรสักอย่างใต้สะพาน พร้อมรีบกวักมือให้เดินไปหาเขาเร็วๆ ผมก็ถามว่ามีอะไรเหรอ เขาก็บอกว่าเขาเห็นงูอยู่ตรงราวสะพานให้ผมรีบเดินมา ห๊ะ!! งู!! ผมนี่วิ่งเลยครับ เพราะไม่รู้งูอะไร ไม่สนว่าจะมีพิษหรือไม่ แต่ตรูวิ่งก่อนละ 555
เดินเก็บบรรยากาศชานเมืองหลวงพระบางยามเย็นไปเรื่อยๆ พระ เณร เริ่มกำลังกวาดลานวัด และเตรียมใกล้เวลาสวดมนต์ทำวัดเย็น
จากตรงนี้ไปอีกนิดเดียวก็จะถึงที่พักแล้วครับ
นี่ไง ทางเข้าที่พักของผม อ่านว่า เรือนพัก ม้าวพาโชค เกสเฮ้าส์ ถ้าใครเดินทางมาจากทางสนามบินแล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยซึ่งจะอยู่ก่อนถึงทางแยกวัดแสนนิดเดียว เป็นซอยเล็กๆ เลี้ยวเข้าไปในซอยโลด
ทางเข้าทีพักที่ผมจองมาจะอยู่สุดซอยทางขวามือ
ถึงแล้วครับ สิริรวม 5 กิโลพอดี กดหยุด GPS ใช้เวลา 1:18 ชั่วโมง เสียเหงื่อไป 2 ลิตรกว่า 555 เอาล่ะขอเข้าไปเชคอินก่อนครับ
เดินเข้ามาปุ๊ปก็มีพนักงานมาทักทาย 2 ตัว ตัวนี้ชื่อน้องเดฟ มาถึงกระโดดเหย๋งๆ เกาะผมเลยจ้าา สมเป็นหมาต้อนรับแขกจริงๆ
ส่วนตัวนี้ชื่อแพนเค้ก นางเดินมาทักทายเบาๆ ประมาณว่า “สวัสดีมนุษย์ มาพักอีกแล้วเหรอ อืมๆ ตามสบายนะ” แล้วก็ไม่สนใจเราเลย 555
ที่นี่เป็นเกสเฮาส์ที่ราคาไม่แพงครับ ผมจองผ่าน Booking.com มาในราคา 2 คืน 941 บาท เตียงใหญ่ มีแอร์และมีระเบียงชมวิวในบางห้องด้วย ส่วนเรื่องความสะอาด ทำเล ผมว่าโอเคเลยนะ เพราะราคาถูกและมีครบแบบนี้หายากในหลวงพระบาง เพราะถ้าราคาประมาณนี้ส่วนใหญ่เป็นห้องพัดลมเท่านั้น ซึ่งหากใครสนใจก็ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์จองโรงแรมต่างๆ แล้วเปรียบเทียบราคาดูก็ได้ครับ
วิวจากระเบียงห้องสามารถมองเห็นแม่น้ำคานได้ ช่วงฤดูหน้าน้ำนี่คงน้ำเยอะและสวยน่าดู แต่ช่วงนี้น้ำแห้งแต่ยังไหลแรงอยู่เหมือนกัน
เอาละ ผมเดินทางมาถึงที่พักแล้ว เดี๋ยวขอเก็บของแล้วจะออกไปเที่ยว ไปถ่ายรูป ชมวิวในเมืองกัน รวมทั้งจะขึ้นยอดเขาพูสีชมพระอาทิตย์ตกดินและวิวเมืองหลวงพระบางที่เขาล่ำลือว่าสวยนักสวยหนา รอชมกันนาจา…
[CR] 2 ขาพาลุย "หลวงพระบาง" ทริปนี้มีแต่ เดิน เดิน เดิน และเดิน
https://www.facebook.com/watcharathit.katsri/
“หลวงพระบาง” ดินแดนมรดกโลก เมืองแห่งมนต์เสน่ห์และวัฒนธรรม ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่หลวงพระบางยังคงรักษารากเหง้าของตัวเองไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านสภาพบ้านเมือง สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิต ที่หากใครได้มีโอกาสมาเยือน ก็มักจะหลงเสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ทุกราย
การเดินทางสู่หลวงพระบางของผม เริ่มต้นจากที่ตัวเองอยู่ว่างๆ เพราะเพิ่งลาออกจากงานเดิมที่ทำมากว่า 7 ปี แล้วเหมือนชีวิตมันถึงเวลาที่ตัวเองต้องมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่งหนึ่งในความใฝ่ฝันของผมที่อยากลองทำก็คือ การท่องเที่ยวแบบ Backpacker และหลวงพระบางคือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่อยากเดินทางไปเยือนสักครั้ง ฉะนั้นผมจึงไม่รอช้า จัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และวางแผนการเดินทางคร่าวๆ ก่อนจะเดินทางเพียง 1 วันเท่านั้น!!!
ความสนุกของทริปนี้มันอยู่ตรงที่ผมไปแบบไม่ได้วางแผนอะไรเลย รู้เพียงคร่าวๆ ว่าที่พักอยู่ตรงไหน ราคาเท่าไหร่ และรู้ว่าหลวงพระบางค่าครองชีพ แพง!!! ฉะนั้นผมจะไม่ใช้เงินมั่วซั่ว อะไรประหยัดได้คือประหยัด เลี่ยงจ่ายได้คือเลี่ยง ซึ่งผมไปทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ใช้ค่าใช้จ่ายที่หลวงพระบาง (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน Air Asia ไป/กลับ ดอนเมือง-หลวงพระบาง 3250 บาท) ไม่ถึง 3000 บาท!!! อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่ถึง 3000 บาทจริงๆ เดี๋ยวจะสรุปให้ตอนท้ายว่าผมใช้อะไรไปบ้างเนอะ
**และแล้ววันเดินทางก็มาถึง**
เช้าของวันที่ 19 มีนาคม 60 ผมเดินทางมายังสนามบินดอนเมืองแต่เช้า เพื่อมารอขึ้นเครื่องของ Air Asia ผมเดินชิลลงจาก Shuttle bus สาย A1 ที่มาจอดทิ้งผมลงหน้า Terminal 1 อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ที่ช่วงเช้านี่นรกแตกสุดๆ คนเยอะแยะตะแป๊ะสิ่ง อย่างกับขนส่งหมอชิต แต่ด้วยความเคยชินของผม ก็จะทำการเช็คอินตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ตมาแล้ว เพื่อกันตัวเองมาสาย (เพราะผมมีประวัติตกเครื่องบ่อยมากกกก 5555) ผมเดินมาที่เค้าเตอร์เช็คอินด้วยความมั่นใจ เพราะจำได้ว่า เครื่องบินออกตอน 10:30 น. แน่นอน แต่พอมาถึงปุ๊ป บอกเช็คอินตั๋วไปหลวงพระบาง พนักงานก็ทำหน้างงๆ ใส่ผม แล้วถามย้อนกลัวว่า
“หลวงพระบางเหรอคะ” ผมก็ตอบอย่างมันใจว่า
“ครับ ตอนเที่ยว 10:30 น. ไงครับ”
“คุณผู้โดยสารคะ เที่ยวบินที่จะไปหลวงพระบางวันนี้มีบ่าย 2 นะคะ”
“หืม!! บ่าย2??” งงละซิ
“ค่ะ FD 1030 เวลาบอร์ดดิ้ง 13:30 น. ผู้โดยสารสะดวกรับ Bording Pass ไปเลยมั้ยคะเดี๋ยวจะออกให้ผู้โดยสารให้ก่อนได้ค่ะ แต่รบกวนว่าอาจต้องเช็ค Gate เอาจากหน้าจอเองอีกทีนะคะ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาค่ะ”
“ได้ครับ” ผมก็รับตั๋วมางงๆ แล้วมาเช็คเวลาดูดีๆ อีกครั้งอย่างมีสติ
สรุปคือ ผมบิน 14:00 น. จริงๆ บนเที่ยวบินที่ FD 1030 ซึ่งผมก็ดันเฟอะฟะ ดูเที่ยวบินเป็นเวลาซะงั้นว่าบิน 10:30 น. ดีนะที่เป็นไฟล์ทบ่าย ไม่งั้นผมตกเครื่องแน่ถ้าเป็นไฟล์ทเช้า หุๆ เพราะความไม่มีสติทำให้ผมต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่สนามบินถึง 4 ชั่วโมง!!!
หลังนั่งแก่วอยู่สนามบินถึง 4 ชั่วโมง เพราะความเฟอะฟะของตัวเอง ที่ดันไปถึงก่อนเวลาเครื่องออก จริงๆ คือดูเวลาผิดแหละ ดูยังไงเป็น 10:30 น. ทั้งๆ ที่เครื่องออก 14:00 น. ไปถึงสนามบินตั้งแต่โมง ตลกตัวเอง แต่เอาล่ะสุดท้ายก็ได้ฤกษ์เดินทางเสียที นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาหลวงพระบาง โดยการมาส่งของเจ้าหางแดง Air Asia เที่ยวบินที่ FD 1030 (จำขึ้นใจเลย) บินราวๆ ชั่วโมงครึ่ง ผมก็มาถึงยังอดีตราชธานีเก่าแก่แห่งอาณาจักรล้านช้างแล้ว
หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง มาอย่างรวดเร็ว สะดวกโยธิน ผมก็ต้องหาซิมมือถือของลาวมาประดับเครื่องสักหน่อย ไม่งั้นลงแดงตายแน่ถ้าไม่ได้เล่นโซเชี่ยล อีกอย่างคือเอาไปเปิด Google map เวลาหลงด้วย ผมซื้อซิมแบบ Data only ของ Unitel 2 GB ใช้ได้ 7 วัน ราคา 300 บาท ซึ่งขนาดว่าผมกระหน่ำใช้ทั้งดูยูทูป เข้าเว็บ หรือ Video Call กับแฟน ก็ยังไม่หมด เหลือเฟือบานเบอะ เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เตรียมเดินจากสนามบินเข้าเมืองกันเลย
ทริปนี้ผมเริ่มต้นการเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง เพื่อไปยังเกสเฮ้าส์โดยวิธีการเดินเท้า ย้ำอีกครั้ง!! เดินเท้า อ่านไม่ผิดหรอกครั[ ผมจะเดินไปจริงๆ คือที่พักที่จองไว้มันไม่ไกลจากสนามบินมาก ระยะทางแค่เกือบๆ 5 กิโลเมตรเอง อีกอย่าง ผมว่าค่ารถเข้าเมืองมันแพงตั้ง 200 บาท ถ้าทั้งไปทั้งกลับรวมๆ ก็ 400 ร้อย ราคานี้ผมนั่งรถ ป.1 จากหมอชิต-พิษณุโลกได้เลยนะ ผมว่าไม่คุ้มค่าอ่ะ(เขียมสุดๆ) ทำให้ตัดสินใจเดินไป ท่ามกลางอุณหภูมิ 37 องศา แถมแบกเป้บนหลังอีกเกือบ 10 กิโลกรัม รวมขาตั้งกล้อง ชอบหาเรื่องลำบากให้ตัวเองตลอด 5555
นี่เดินจริงไรจริง ไม่ได้พูดเล่นนะครับ ออกจากสนามบินปุ๊ปก็เลี้ยวขาว เดินล่องมาทางด้านใต้ของสนามบิน ตามถนนสายหลัก ตรงยาวอย่างเดียวครับ เดี๋ยวก็ถึงเองแหละ หุห ดูจากแดดสิ ไม่ร้อนเท่าไหร่หร๊อกกก แค่หลังเปียกเบาๆ เท่านั้นเอง
ร้อนเริ้นอะไร เอาที่ไหนมาพูด ดูหน้าผมสิ ผมดูร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ หึหึ (ตรูจะงกไปไหนเนี่ยกับเงินแค่ 200)
เห็นมั้ยว่าผมเตรียมการมาพร้อมสำหรับการเดินจริงๆ ครับ จัดรองเท้าวิ่งมาโดยเฉพาะเลย จะได้เดินได้แบบสบายๆ ไม่เมื่อยเท้า แต่ตอนนี้จะเกรียมละเหอะ
เดินผ่าน 2 กิโลมา ก็เริ่มเห็นความเป็นเมืองบ้างละ ที่นี่รถจะวิ่งต่างจากบ้านเราตรงที่จะวิ่งเลนขวา พวงมาลัยซ้าย ฉะนั้นต้องระวังครับเวลาจะเดินหรือจะข้ามถนน เพราะเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเอาได้
สำหรับผมนะ ข้อดีของการเดินทำให้ผมเห็นบรรยากาศอะไรหลายๆ อย่างริมทาง อย่างที่เราไม่อาจซึมซับได้ทันหากขึ้นรถ และได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่ได้เต็มที่ แต่เวลาราวๆ บ่าย 3 โมงแบบนี้ คงไม่เหมาะนักจะซึมซับบรรยากาศใดๆ เพราะถ้าตากแดดนานกว่านี้มีแววจะเป็นลมเอาได้ 5555
นี่มันเรานี่ แมวดำ อิอิ หิวน้ำง่ะ ขอกิoน้ำหน่อยน้ำ เหมียวววว เดินชมนก ชมไม้ ชมหมา ชมแมวมาเรื่อยๆ
เหมียวลายสลิดที่ร้านขายน้ำ หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเลย ตาไม่ยำไยเบยง่ะ เล่นด้วยก็ไม่ยอม หวงตัวนะ ดีออก!!
เดินมาไกล ชักกระหาย อยากของเย็น ของหวาน เลยแวะร้านข้างทางถอยชานมเย็น หวานๆ มันๆ ชื่นใจมาดูดแก้กระหาย ในราคา 5,000 กีบ (25 บาทนิดๆ) แล้วก็พร้อมลุยต่อแล้ว
สะพานข้ามแม่น้ำคาน ที่อนุญาตให้แค่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านได้เท่านั้น มาถึงสะพานนี้ GPS ก็ขานว่า 3 กิโลพอดี
บรรยากาศของแม่น้ำคาน แม่น้ำสายนี้จะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขง ถ้ามองดีๆ ตรงสันทรายกลางแม่น้ำจะมีคนมาอาบน้ำเล่นน้ำด้วยแหละ
ระหว่างผมกำลังเดินข้ามแม่น้ำมาได้สักครึ่งสะพาน ผมก็เห็นคนเกาหลีก้มๆ เงยๆ มองๆ อะไรสักอย่างใต้สะพาน พร้อมรีบกวักมือให้เดินไปหาเขาเร็วๆ ผมก็ถามว่ามีอะไรเหรอ เขาก็บอกว่าเขาเห็นงูอยู่ตรงราวสะพานให้ผมรีบเดินมา ห๊ะ!! งู!! ผมนี่วิ่งเลยครับ เพราะไม่รู้งูอะไร ไม่สนว่าจะมีพิษหรือไม่ แต่ตรูวิ่งก่อนละ 555
เดินเก็บบรรยากาศชานเมืองหลวงพระบางยามเย็นไปเรื่อยๆ พระ เณร เริ่มกำลังกวาดลานวัด และเตรียมใกล้เวลาสวดมนต์ทำวัดเย็น
จากตรงนี้ไปอีกนิดเดียวก็จะถึงที่พักแล้วครับ
นี่ไง ทางเข้าที่พักของผม อ่านว่า เรือนพัก ม้าวพาโชค เกสเฮ้าส์ ถ้าใครเดินทางมาจากทางสนามบินแล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยซึ่งจะอยู่ก่อนถึงทางแยกวัดแสนนิดเดียว เป็นซอยเล็กๆ เลี้ยวเข้าไปในซอยโลด
ทางเข้าทีพักที่ผมจองมาจะอยู่สุดซอยทางขวามือ
ถึงแล้วครับ สิริรวม 5 กิโลพอดี กดหยุด GPS ใช้เวลา 1:18 ชั่วโมง เสียเหงื่อไป 2 ลิตรกว่า 555 เอาล่ะขอเข้าไปเชคอินก่อนครับ
เดินเข้ามาปุ๊ปก็มีพนักงานมาทักทาย 2 ตัว ตัวนี้ชื่อน้องเดฟ มาถึงกระโดดเหย๋งๆ เกาะผมเลยจ้าา สมเป็นหมาต้อนรับแขกจริงๆ
ส่วนตัวนี้ชื่อแพนเค้ก นางเดินมาทักทายเบาๆ ประมาณว่า “สวัสดีมนุษย์ มาพักอีกแล้วเหรอ อืมๆ ตามสบายนะ” แล้วก็ไม่สนใจเราเลย 555
ที่นี่เป็นเกสเฮาส์ที่ราคาไม่แพงครับ ผมจองผ่าน Booking.com มาในราคา 2 คืน 941 บาท เตียงใหญ่ มีแอร์และมีระเบียงชมวิวในบางห้องด้วย ส่วนเรื่องความสะอาด ทำเล ผมว่าโอเคเลยนะ เพราะราคาถูกและมีครบแบบนี้หายากในหลวงพระบาง เพราะถ้าราคาประมาณนี้ส่วนใหญ่เป็นห้องพัดลมเท่านั้น ซึ่งหากใครสนใจก็ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์จองโรงแรมต่างๆ แล้วเปรียบเทียบราคาดูก็ได้ครับ
วิวจากระเบียงห้องสามารถมองเห็นแม่น้ำคานได้ ช่วงฤดูหน้าน้ำนี่คงน้ำเยอะและสวยน่าดู แต่ช่วงนี้น้ำแห้งแต่ยังไหลแรงอยู่เหมือนกัน
เอาละ ผมเดินทางมาถึงที่พักแล้ว เดี๋ยวขอเก็บของแล้วจะออกไปเที่ยว ไปถ่ายรูป ชมวิวในเมืองกัน รวมทั้งจะขึ้นยอดเขาพูสีชมพระอาทิตย์ตกดินและวิวเมืองหลวงพระบางที่เขาล่ำลือว่าสวยนักสวยหนา รอชมกันนาจา…
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น