บรรยากาศการค้าขายในปี2560 เงียบเหงาซบเซาต่อเนื่อง

อยากทราบว่าพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายว่าช่วงนี้การค้าขายเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่เริ่มปี2560 เป็นต้นมา เราว่าสถานการณ์มันแย่งจนเห็นได้ชัด ที่เห็นพอขายได้ก็มีแต่อาหารการกิน แต่คนก็ซื้อกันทีละเล็กละน้อย ส่วนเสื้อผ้าของใช้ไม่ต้องพูดเลยแทบจะแจกฟรียังไม่มีคนซื้อ ขายออนไลน์ไม่รู้ยังขายดีอยู่รึป่าว ???  ฟังจากข่าวเศรษฐกิจต่างๆเค้าก็ว่าผู้คนใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่ทำไมเรากลับเห็นว่าคนยิ่งใช้น้อยลง ตามห้างไม่มีคนเดิน ตลาดนัดมีคนบ้างเฉพาะเสาร์อาทิตย์แต่เน้นของกิน โดยเฉพาะของกินที่กินจริงจัง ไม่ใช่พวกขนมที่ไม่อิ่มท้อง
..คนอื่นเห็นเหมือนเรารึป่าว รบกวนช่วยแสดงความคิดเห็นกันหน่อย อย่างน้อยก็ช่วยระบายกัน ให้พ่อค้าแม่ค้าเราๆได้คลายทุกข์กันบ้าง

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
ถ้าคุณขายสินค้าฟุ่มเฟือย ก็ตามนั้นครับ

ช่วงนี้คนขายเสื้อผ้าอย่างที่บ้านผม ก็บ่น มันขายอะไรแทบจะไม่ได้ เสื้อสี ๆ นี่เลิกพูดไปเลย เสื้อดำบูมแป๊บเดียวก็เงียบ โชคดีที่ไม่มีหนี้สินอะไร และที่สำคัญ กำลังหลักยังทำงานมีเงินเดือน

ส่วนตัวคิดว่าถ้าที่บ้านยังมีหนี้สิน เค้าคงดิ้นรนมากกว่านี้ คงหาอะไรมาขายให้ได้ยอดเท่าเดิม แต่ตอนนี้ไม่ต้องเร่งอะไร มีกินไปวัน ๆ ก็พอแล้ว ยอดยกแล้วยังไง ก็ช่างมัน เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส พักผ่อนมากขึ้น ใช้ชีวิตให้ช้าลง .. สบาย ๆ

ส่วนผมมนุษย์เงินเดือน ไม่รู้สินะ คนไม่มีหนี้สินไม่รู้เค้าใช้เงินยังไง ส่วนผมนี่หนี้เยอะมาก ทำงานใช้หนี้ เดือนนึงใช้เงินไม่ถึงหมื่น นี่คือเช่าห้องอยู่ในกรุงเทพนะครับ ยังใช้ไม่ถึงหมื่น ก็ยังอยู่ได้สบาย ๆ ห้างลดราคาของกินก็ซื้อเข้าไป กินกันตายไปงั้น ๆ เดี๋ยวก็ตายจะไปอะไรหนักหนา เบื่อข้าวสำเร็จก็ทำกินเองบ้าง ซื้อหมูนิดนึง ผัก 5 บาท 10 บาท ข้าวก้อนละ 3-4 บาท จบ ~ เงินเดือนออกก็กินดี ๆ ซักทีสองที ก็นั่งกินในห้าง ร้านในห้างที่ราคามิตรภาพที่สุดก็ KFC กับ Mc แค่นั้น ไม่เกิน 200 กินไปเหอะมีจุก ตัวคนเดียว กินคนเดียว จะอะไรนักหนา

อ่านแล้วเข้าใจหรือยังว่าทำไมพวกคุณถึงขายของกันไม่ได้ เพราะคุณจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชนชั้นล่าง - กลาง ซึ่งต้องกอดเงินแน่นมาก ๆ มันไม่ใช่เพราะอะไรทั้งนั้น แต่เพราะช่วงนี้ มันอาจจะเป็นช่วงที่เวรกรรม คือ หนี้สินมันบรรจบมาตามทัน ก็แค่นั้นเอง ..
ความคิดเห็นที่ 52
ผมว่าคำตอบที่แท้จริงสำหรับทุกวงการก็คือว่ามีคนขายเยอะขึ้นครับ ซึ่งอันนี้อันเดียวก็หนักกว่ากำลังซื้อถดถอยเสียอีก

โลกเราทุกวันนี้กำลังประสบกับปัญหา "ใครๆ ก็ขายของได้" โลกเรามีจำนวนร้านค้ามากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งผลกระทบนั้นมากมายมหาศาล

สมมติเริ่มแรกมีคนทั้งหมด 100 คน มีคนขายของ 1 คน เท่ากับว่าเจ้าของร้านมีลูกค้าถึง 99 คน ลองคิดต่อว่าถ้ามีคนนึงอยากเปิดร้านบ้าง แบบเดียวกันราคาเดียวกันนี่แหละ ก็จะกลายเป็นมี 2 ร้าน และมีคนซื้อเหลือ 98 คน และใน 98 คนนี้ก็ต้องหารไปซื้อทั้งสองร้าน ร้านนึงก็เหลือลูกค้าแค่ 49 คน จะเห็นว่าการเปิดร้านเพิ่มขึ้นแค่ร้านเดียวนั้นมีผลกระทบมหาศาลขนาดไหน

ทั้งโลกออนไลน์และโลกจริงนั้นมีร้านค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างที่เคยมีมาก่อน ร้านแบบเดียวกับคุณก็มีคนเปิดมาหาส่วนแบ่งมากมาย เปิดเว็บก็มีให้เลือกเปรียบเทียบราคานับไม่ถ้วน ไปมุมไหนของเมืองก็มีตลาดนัดเต็มไปหมด เมื่อก่อนผมอยากได้เสื้อยืดสวยๆ ผมต้องไปจตุจักร เดี๋ยวนี้ซื้อที่ไหนก็ได้ แล้วร้านที่จตุจักรจะหวังว่ามีลูกค้าเท่าเดิมได้อย่างไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่