เหตุเกิดเมื่อความหวังดีของเภสัชกรกลายเป็นความ เ-ือก

จริงๆแล้วเราก็สมัครพันทิปมานาน ตั้งกระทู้ไม่บ่อยและไม่ค่อยเป็น ส่วนมากจะอ่านกระทู้ของชาวบ้านอย่างเดียวอ่า
แต่ด้วยความที่ก็เข้าสู่วัยทำงานอะเนอะ ทำงานไปเรื่อยๆทุกวันดีบ้างแย่บ้าง จนมาถึงวันที่เจอเรื่องพีค
จริงๆมันก็มีเรื่องพีคหลายเรื่องแหละ มีแทบทุกวัน แค่ไม่ได้เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย แต่ครั้งนี้มันโคตรพีค
คือเราเพิ่งจบเภสัชมา เพิ่งทำงานมาได้ 10 เดือน เราเป็นเภสัชกรร้านยาแห่งหนึ่ง
(10 เดือนยังขนาดนี้ ถ้าทำงานครบ 10 ปี 10 ชาติ จะขนาดไหน)
เรื่องมันก็เกี่ยวกับ “ยาแก้อักเสบ และ ยาปฏิชีวนะ” ปัญหาเดิมๆของวงการยาเรานี่แหละ
ใครที่เข้ามาอ่าน กรุณาอ่านจนจบนะคะ เราไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นใคร พ่อแม่พี่น้องเราก็ไม่ใช่ ทำไมเราต้องมาคอยเป็นห่วงเป็นใยคุณ
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานมา ยอมโดนคนไข้ด่าสารพัด ทั้งที่ถ้าเราไม่จู้จี้ขี้บ่นกับคุณ เราก็จะไม่โดนคุณด่าเหมือนเรื่องนี้ TT

หากใครยังไม่ทราบว่า ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช่ ยาแก้อักเสบ ลองอ่านดูก่อนนะคะ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส และไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ แก้ปวด ลดไข้
ใช้รักษาเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่น ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง
ยาแก้อักเสบ หรือ ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory drugs) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาปวด ลดบวมแดง เช่น แอสไพริน  ไอบูโพรเฟน  ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ลักษณะการอักเสบ
- การอักเสบมี 2 แบบ คือ 1.อักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย  2.อักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การอักเสบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่การอักเสบเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น โรคภูมิแพ้  คออักเสบจากเชื้อไวรัส  ผิวหนังอักเสบจากการแพ้แดดหรือสารเคมี กล้ามเนื้ออักเสบจากการยกของหนัก
อันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ
แพ้ยา : หากแพ้ไม่มากอาจมีแค่ผื่นคัน ถ้ารุนแรงขึ้นผิวหนังจะเป็นรอยไหม้ หลุดลอก หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต
เกิดเชื้อดื้อยา : การกินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยา ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะที่ใหม่ขึ้น แพงขึ้น ซึ่งเหลือให้ใช้อยู่ไม่กี่ชนิด สุดท้ายก็จะไม่มียารักษา และเสียชีวิตในที่สุด
เกิดโรคแทรกซ้อน : ยาปฏิชีวนะจะฆ่าทั้งแบคทีเรียก่อโรคและแบคทีเรียชนิดดีมีประโยชน์ในลำไส้ของเรา เมื่อแบคทีเรียชนิดดีตายไป เชื้ออื่นๆ ในตัวเราจึงฉวยโอกาสเติบโตมากขึ้น ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง โดยผนังลำไส้ที่ถูกทำลายหลุดลอกมากับอุจจาระ อันตรายถึงชีวิต
(ขอบคุณข้อมูลจาก โครงการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในร้านยา)

หากใครยังไม่ทราบว่ามีกลุ่มโรค 3 กลุ่ม ที่ไม่จำเป็นและไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ แต่มีอัตราการใช้ยาปฏิชีวนะสูงมาก ลองอ่านดูนะคะ
1. ไข้หวัด เจ็บคอ
การรักษาโรคหวัด ควรรักษาตามอาการ เช่น
- ถ้าเป็นไข้ ก็กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล หรือเช็ดตัวให้ลดไข้
- ถ้ามีน้ำมูกมาก อาจล้างรูจมูกด้วยน้ำสะอาด เพื่อให้จมูกรู้สึกโล่งขึ้น
- ถ้าคัดจมูก อาจกินยาเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
- ถ้ามีอาการเจ็บคอ เสียงแหบหรือไอ ควรลดการใช้เสียง ดื่มน้ำอุ่น อาจกินยาฟ้าทะลายโจร เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
หรืออมยามะแว้ง ให้ชุ่มคอได้
- หากไอมาก อาจใช้ยาแก้ไอช่วยบรรเทาอาการ
- วิธีการรักษาโรคหวัด เจ็บคอที่ดีที่สุดคือ ดื่มน้ำอุ่นและพักผ่อน เพราะจะช่วยให้หวัดหายได้เร็วขึ้น
- ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ จาม ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว
อาการเจ็บคอแบบไหนที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ?
- เจ็บคอมากและมีไข้สูง โดยไม่มีอาการหวัดหรือไอ
- มีจุดสีขาวที่ต่อมทอนซิล
- คลำบริเวณขาไกรกรรพบต่อมน้ำเหลืองโตกดเจ็บ

2. ท้องเสีย
วิธีการรักษาท้องเสีย
- จิบๆน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป (ห้ามดื่มรวดเดียวหมดนะคะ)
- ควรกินอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือ ข้าวต้ม
- งดอาหารรสจัด หรือ อาหารย่อยยาก
- หลีกเลี่ยงการกินนมทุกชนิด
- หากท้องเสียไม่ติดเชื้อแบคทีเรียอาจใช้ผงถ่านคาร์บอน (Activated charcoal) ดูดซับสารพิษ ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและทำให้อุจจาระเหลวน้อยลง
อาการท้องเสียแบบไหนที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ?
- ถ้าท้องเสียร่วมกับมีไข้สูง และถ่ายเป็นมูกเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ หรือ ปรึกษาเภสัชกรแล้วนะคะ

3. แผลเลือดออก
วิธีดูแลบาดแผลสะอาด
- ล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ หรือ น้ำสะอาด ชะล้างบาดแผลให้ทั่วถึง
- ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำยาฆ่าเชื้อใดๆ ลงในบาดแผล เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้หายช้าลง
- ดูแลบาดแผลอย่าให้โดนน้ำเป็นเวลา 3-7 วัน
- ล้างแผลในอีก 24-48 ชั่วโมงถัดไป โดยการเช็ดเบาๆ ด้วยสำลีชุบน้ำเกลือหมาดๆ อย่าให้แผลชุ่มหรือเปียก แต่ถ้าแผลบวมอักเสบ ต้องรีบไปหาหมอทันที
แผลแบบไหนที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ?
- แผลถูกวัตถุทิ่มเป็นรู ถูกบดอัด มีเนื้อตาย ขอบไม่เรียบ ปนเปื้อนสิ่งที่มีแบคทีเรียมาก เช่น น้ำคร่ำ น้ำสกปรก
(ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย)

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่ายาปฏิชีวนะ ไม่ใช่ ยาแก้อักเสบ ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆแล้วนะคะ
อยากรู้มากกว่านี้ลองเปิดอ่านในกูเกิลได้เลยค่ะ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเยอะมากๆ เพราะมันเป็นปัญหาระดับโลก
โดยส่วนตัวเราเรียนเภสัชมา 6 ปี ดูแลสุขภาพตัวเองทุกอย่าง
หมอแทบไม่เคยหา (แต่ส่องหมอก็มีบ้าง อิอิ) ยาแทบไม่เคยกิน (ยาที่กินมากสุดก็พารา คาร์บอน ไรงี้)
เวลาเราเกิดไม่สบายขึ้นมา ไข้ ไอ มีเสมหะ เจ็บคอ เราไม่เคยจ่ายยาให้ตัวเองและไม่เคยซื้อยากินเองเลย
ทุกครั้งเราก็จะต้องหายจากโรคด้วยการไม่ใช้ยา ฟังดูตลกเนอะที่เรียนเภสัชแต่กลับวิ่งหนีการใช้ยา
เราเชื่อว่าชีวิตเภสัชกรทุกคนไม่มีใครแน่ๆที่ไม่เคยเจอเคส ยาปฏิชีวนะ และ ยาแก้อักเสบ
โดยเฉพาะเภสัชกรร้านยาซึ่งเจอเคสยาปฏิชีวนะ และ ยาแก้อักเสบวันนึงนับไม่ถ้วน
วันๆอธิบายคนไข้จนปากเปียกปากแฉะ แต่พูดวันละหลายสิบรอบมันไม่เหนื่อยกายเท่าเหนื่อยใจหรอกค่ะ
เหนื่อยใจกับการที่พูดแล้วคนไข้ไม่ฟัง คนไข้เหวี่ยง คนไข้ด่า คนไข้คอมเพลน
เราเคยอ่านกระทู้พันทิปมาหลายกระทู้ที่เภสัชมาระบายอารมณ์เรื่องยาปฏิชีวนะ และ ยาแก้อักเสบนี้
คนไข้บางคนแค่เจ็บคอก็มาถามหายาปฏิชีวนะแล้ว แถมดันเรียกผิดเป็นยาแก้อักเสบอีก
ตั้งแต่เราทำงานมาเรารู้สึกได้ว่าคนไทยเนี่ยเอะอะอะไรก็ใช้ยา และมักเรียกหายาที่แรงที่สุด แพงที่สุด ดีที่สุด
แต่ฝรั่งส่วนใหญ่จะปฏิเสธการใช้ยาปฏิชีวนะ และต่างประเทศยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ไม่ได้จ่ายกันง่ายๆนะ
คนไข้ฝรั่งส่วนมากเค้าบอกว่าเค้าแปลกใจ ทำไมในไทยซื้อได้เลย ประเทศเค้าต้องมีใบสั่งแพทย์เป็นเรื่องเป็นราว
ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ควรจะเลือกยาตัวที่แรงที่สุด แพงที่สุด ดีที่สุด ถ้าใครเคยซื้อยากับเราเรามักพูดเสมอว่า
“เราไม่ควรจะเลือกยาตัวที่แรงที่สุด แพงที่สุด ดีที่สุด แต่ควรเลือกยาตัวที่อ่อนที่สุดที่สามารถทำให้เราหายจากอาการนั้นได้”
นั่นแปลว่าเราสามารถหายจากโรคได้โดยได้รับผลข้างเคียงจากยาน้อยที่สุด แน่นอนเภสัชทุกคนรู้ว่ายาทุกตัวมีผลข้างเคียง
ลองคิดดูสิว่าถ้าเกิดคุณเลือกตัวที่แรงสุดๆไปแล้ว แถมยังใช้ไม่ถูกต้อง กินตามอารมณ์เหมือนกินขนม
แล้วถ้าไม่หายขึ้นมา จะมียาอะไรในโลกรักษาให้คุณหายได้อีกไหมล่ะ
เวลาจ่ายยาด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพแล้ว เภสัชทุกคนจะแนะนำการใช้ยาให้คุณแน่นอน
แต่ถ้าคุณไม่ได้รับคำแนะนำ คุณอาจจะกำลังซื้อยาจากคนที่ไม่ใช่เภสัชอยู่ก็เป็นได้
และถ้าผู้ป่วยไม่เข้าใจควรซักถามทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะที่ต้องใช้
ต้องรู้ว่ายาปฏิชีวนะที่ตัวเองกำลังจะกินต้องกินยานานเท่าไร กินอย่างไร ก่อนหรือหลังอาหาร
มีข้อห้ามอย่างไรระหว่างใช้ยานี้ เช่น ห้ามใช้ยาใดร่วม ห้ามรับประทานนมหรืออาหารชนิดใด เป็นต้น
ยาที่จะได้รับมีผลข้างเคียงอย่างไร หากเกิดอาการใดขึ้นที่ควรต้องรีบมาพบแพทย์
เมื่อผู้ป่วยเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะแล้ว ต้องใช้ต่อเนื่องจนครบตามที่แพทย์หรือเภสัชแนะนำ
เราเน้นย้ำมากๆกับการบอกให้ผู้ป่วยกินติดต่อกันจนยาหมด ต่อให้ดีขึ้นแล้วก็ต้องกินจนยาหมด
บ่อยมากๆที่ผู้ป่วยอาการดีแล้วหยุดใช้ยาทันที ซึ่งผลเสียคือทำให้โรคกลับเป็นซ้ำหรือเกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรง
จากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ยังรักษาไม่หายดีหรือไม่ก็ดื้อยา พอเป็นครั้งต่อไปยาเดิมก็รักษาไม่หาย
คราวนี้ก็ต้องอัพเวลมาเป็นยาที่แรงขึ้น แพงขึ้น ผลข้างเคียงมากขึ้น

มาถึงเรื่องพีคของเราดีกว่า เมื่อความหวังดีของเภสัชกรกลายเป็นความ เ-ือก อ่าวนี่อ่านมาตั้งนานยังไม่เข้าเรื่องเลยหรอ ฮ่าๆ
เรื่องมีอยู่ว่าเราโดนลูกค้าคอมเพลนในเฟสบุคของบริษัทค่ะ เนื้อความมีอยู่ว่า
“เภสัชไม่เต็มใจให้บริการแก่ลูกค้า ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะเพราะคุณเรียนจบมาสูง
ควรที่จะรู้จักคำว่า Service mind นะคะ ลูกค้าเขาซื้อ ไม่ได้มาขอฟรีๆ
เนื่องจากไปซื้อยา แล้วก็เอารูปให้ดู แล้วก็พูดว่ายาตัวนี้ไม่ได้ช่วยในอาการไอ
และในเมื่อลูกค้าบอกความต้องการแล้ว แต่ยังนำให้ใช้ยาตัวอื่นอีก แล้วทำหน้าไม่พอใจ
พอเวลาจะคิดตังก็บอกให้เพื่อนมาคิดตัง และก็พูดกับเพื่อนขึ้นว่า ไม่อยากคิดตัง สุดท้ายก็ต้องมาคิดตังแบบไม่พอใจ
เสียความรู้สึกตรงพูด ไม่อยากคิดตัง ถ้าเภสัชไม่พูดคำนี้ออกมาก็จะไม่ใส่ใจอะไรหรอกค่ะ”

คือเราซักประวัติแล้วเค้าไม่ได้ติดเชื้อแบคทีเรียเลยค่ะ แค่ไอเจ็บคอ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่จะใช้ยาปฏิชีวนะให้ได้
แถมประเด็นคือเค้ายังเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบอีก
พอเราหยิบยาแก้อักเสบ ibuprofen ให้แล้วบอกว่านี่เรียกยาแก้อักเสบนะคะ
และก็อธิบายว่าคุณไม่ได้ติดเชื้อแบคทีเรีย แค่ไอเจ็บคอ ใช้แค่ยาแก้อักเสบตัวนี้พอค่ะ
นางมาคอมเพลนว่า “เมื่อลูกค้าบอกความต้องการแล้ว แต่ยังนำให้ใช้ยาตัวอื่นอีก”
ทั้งที่นางพูดเองว่ายาแก้อักเสบ ซึ่ง ibuprofen คือยาแก้อักเสบ เภสัชไม่ได้หยิบผิดนะคะ
(แต่เภสัชรู้แหละว่าจริงๆคือนางอยากได้ยาปฏิชีวนะ แต่นางเรียกผิดเป็นยาแก้อักเสบเอง)
คราวนี้นางบอกเดี๋ยวเปิดรูปให้ดู ยาแคปซูลสีฟ้าๆ เภสัชเลยถามว่ายาปฏิชีวนะ amoxicillin สีฟ้าเขียวใช่ไหม
นางบอกไม่ใช่ มันคือยาแก้อักเสบเดี๋ยวเปิดรูปให้ดู ทำท่าไม่พอใจและปัดของอย่างอื่นที่ตัวเองซื้อด้วย
หลังจากนางก้มหน้าหารูปอยู่นาน ปรากฎว่ารูปที่นางโชว์ให้ดูมันคือ amoxicillin แคปซูลเขียวฟ้า (เภสัชรู้อยู่แล้วแหละว่าต้องเป็นยานี้)
โอเคค่ะ นางอยากได้ เพราะเชื่อตามรูปในอินเตอร์เนต เชื่อตามที่อินเตอร์เน็ตบอก แต่ไม่เชื่อคนที่นางคอมเพลนว่าเรียนจบมาสูง
เอาเถอะนางอยากได้ เราให้ก็ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วเภสัชมีสิทธิ์ปฏิเสธการขายยาได้ถ้าหากเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่คือยังไงนางก็จะเอา
คราวนี้เราบอกนางว่ายานี้ต้องกินครบ 2 แผงนะคะ ถึงจะครบโดสการรักษา แต่นางบอกว่า เอามาแผงเดียว
เราก็บอกนางว่าต้องกิน 2 แผงนะคะ ไม่งั้นจะไม่หายและดื้อยา นางไม่พอใจค่ะและย้ำ บอกว่าจะเอาแผงเดียว
เราเลยถามนางว่า หรือว่าลูกค้ามีอยู่แล้วที่บ้านแผงนึงคะ นางก็ไม่ตอบค่ะ
ณ จุดนั้นยอมรับค่ะว่าเราโมโห ไม่อยากคิดตัง โดสมันผิด ใช้ไปก็ดื้อยา ถ้าเราขายให้เค้าไป เราจะเพิ่มจำนวนคนดื้อยาอีก 1 คนบนโลกใบนี้
เราจึงบอกให้น้องพนักงานอีกคนช่วยคิดตังให้หน่อย เราไม่อยากคิดตัง
เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละค่ะ โอเคเราผิดเพราะเรื่อง Service mind อย่างที่เค้าว่ากันแหละค่ะว่าลูกค้าคือพระเจ้า
แต่เราอยากจะบอกนะคะว่าการเรียนต่ำหรือเรียนสูงมันไม่เกี่ยวกับ Service mind หรอกค่ะ
ถ้าเราเรียนต่ำ เราเชื่อว่ายังไงลูกค้าคนนี้ก็คอมเพลนเราอยู่ดี เพราะเราขัดใจนาง ไม่ได้เอาสิ่งที่นางต้องการให้นาง
และในเมื่อเราพูดแล้ว อธิบายก็แล้ว แต่เค้าไม่เชื่อ จะให้เราทำยังไง
เรายอม Service mind แย่ค่ะ หรือว่าเราเห็นว่าผู้ป่วยใช้ยาในทางที่ผิด เราต้องแสร้งทำเป็นยิ้มมีความสุข บริการทุกระดับประทับใจหรือคะ
เราทำไม่ได้ค่ะ สมแล้วที่เราโดนคอมเพลน สมน้ำหน้าตัวเองเนอะ
ปล.ใครที่มีคนรู้จักที่บ่นเรื่องเภสัชไม่อยากคิดตังให้ฟัง ฝากบอกเค้าด้วยนะคะว่าให้ไปซื้อยาอีกแผงนึง แล้วกินให้ครบ 2 แผงนะคะ
ปล.เอาน่าอย่างน้อยๆที่ผ่านมาคนไข้ก็ชมเรามากกว่าด่า ยิ้ม
ปล.ยังบ่นไม่จบเลย จริงๆรายละเอียดเรื่องนี้มันเยอะกว่านี้ เล่าไม่ไหว มีอะไรระบายต่อในคอมเม้นแล้วกันนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 49
อ่านแบบเป็นกลางนะ คุณไม่มีวุฒิภาวะในการสื่อสารกับลูกค้าเองตั้งแต่แรก คุณรู้ตั้งแต่คุยกันแต่แรกแล้วว่าลูกค้าคนนี้ต้องการอะไร กลับหยิบยาอีกตัวนึงให้แล้วก็บอกซ้ำๆว่าเนี่ยยาแก้อักเสบ แทนที่จะหยิบอะม็อกซี่มาซักแผงแล้วบอกลูกค้าว่าหมายถึงยาตัวนี้ใช่มั้ยคะ จริงๆมันเรียกว่ายาปฏิชีวนะคะ ถ้ายาแก้อักเสบมันจะเป็นอีกตัวนึง คนไทยชอบเรียกกันผิด แล้วก็มาเข้าเรื่องว่าอาการลูกค้าไม่มีความจำเป็นต้องกินยาตัวนี้ อะไรก็ว่าไป สุดท้ายแล้วถ้าเค้ายังดื้อดึงจะเอาจนคุณต้องยอมขาย ก็ขายๆๆไปเหอะ นี่เลือกที่จะจบเรื่องด้วยการไม่คิดเงินให้ the end ค่ะ เราอ่านเรายังเสียความรู้สึกแทนลูกค้าคนนั้น

คือการวางตัวของคุณน่ะ มันเหมือนคนที่รู้อะไรมากกว่าแล้วก็มองต่ำรอดูลูกค้าโชว์โง่ตลอดเวลา ถ้าคุณหวังดีกับเค้าจริงๆ ไม่ใช่แค่อวดฉลาด การที่จะอธิบายให้ใครซักคนเข้าใจ มันสามารถทำได้มากกว่านี้ค่ะ ส่วนถ้าอธิบายดีแล้วมากพอแล้ว แต่เค้าไม่เชื่อมันก็เป็นอีกเรื่องนึง ถ้าเราเป็นลูกค้าแล้วเรียกชื่อยาผิด ไปเจอคนขายยาทำหน้าตึงหยิบยาอีกตัวนึงมาแล้วบอกเนี่ยคืออันนี้ๆๆๆ โดยไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิดให้เราอย่างสุภาพ เราก็ไม่พอใจอ่ะ ยกตัวอย่าง (เห็นมากับตา) คล้ายๆกับกรณีที่มีคนไปสั่งกาแฟร้านดังแล้วสั่งเอสเพรสโซ่เย็น ซึ่งคนที่รู้เรื่องกาแฟนิดหน่อยก็จะรู้ว่าร้านแบรนด์ฝรั่งมันไม่มีหรอก เพราะสากลโลกมันไม่มีเอสเพรสโซ่เย็น แต่ในเมื่อเมืองไทยมีขายเมนูนี้มันก็เข้าใจไม่ยากนิ่ว่าลูกค้าอยากได้อะไร แทนที่พนักงานขายจะอธิบายให้คนที่ "ไม่รุ้" ว่าเอสเพรสโซ่คือน้ำกาแฟเป็นชอตที่กดออกมาจากเครื่อง เพราะฉะนั้นเมนูเอสเพรสโซ่เย็นจะไม่มี ที่ร้านอื่นๆมีขายคือเค้าปรับสูตรเอา แต่ลูกค้าอยากได้กาแฟเข้มๆใช่มั้ยครับ งั้นแนะนำตัวนี้ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป แต่คนขายกลับทำหน้าตึงๆแล้วตอบแค่ว่า "กาแฟทุกเมนูมีส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ครับ" คุณคิดว่าคำตอบแบบนี้มันทำให้ลูกค้าเข้าใจอะไรขึ้นรึเปล่า??? เรารุ้สึกว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย นอกจากเสี้ยววินาทีเล็กๆที่พนักงานคนนั้นได้โชว์พาวใส่คนที่ไม่รู้ในสิ่งที่เค้ารู้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย

เราว่าจะทำงานที่ไหนไม่สำคัญหรอก สิ่งที่คุณควรเปลี่ยนอย่างแรกคือทัศนคติและการวางตัวต่อลูกค้า เราว่าลูกค้าสัมผัสได้ว่าคุณกำลังอธิบายด้วยความหวังดีหรืออธิบายแบบยกตนข่มท่าน แล้วนี่คงไม่ใช่คนแรกที่เจอ เพียงแต่เป็นคนแรกที่คอมเพลน
ความคิดเห็นที่ 1
อย่างที่บอกค่ะว่าลูกค้าทุกคนที่มาซื้อยากับเรา เราไม่ได้รู้จัก ไม่ได้เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ญาติ แต่อย่างใด
ต่อให้เค้าจะกินยาผิด ใช้ยาผิด จริงๆมันก็ไม่ได้เดือนร้อนกับชีวิตเรา มันก็สุขภาพเขา ร่างกายเขา
แต่เรากลับต้องมาเป็นเดือนเป็นร้อน ทำไมหรือคะ เพราะเราเชื่อว่าเภสัชทุกคนมีจรรยาบรรณวิชาชีพมากพอค่ะ
จริงๆเรื่องนี้คงไม่เกิดหรอกค่ะ ถ้าเราหยิบยาแคปซูลเขียวฟ้าให้ลูกค้า 1 แผง จ่ายเงิน จบ
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าบางทีเราก็ควรจะปล่อยวาง เราคงไปห้ามใครหรือให้ใครทำอะไรตามใจเราไม่ได้
ถ้าผู้ป่วยคนไหนพูดแล้วเขาเข้าใจเราก็จะพูดต่อไป แต่ถ้าใครที่ยังเป็นเหมือนบัวใต้น้ำ
เราคงไม่พยายามดึงเค้าขึ้นมาให้เหนื่อย เสียแรง เสียเวลา แล้วสิ่งนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองแบบนี้หรอกค่ะ

จริงๆมันมีเรื่องการใช้ยาผิดๆที่พีคอีกเยอะนะคะ ถ้าให้พิมพ์คงพิมพ์ไม่ไหวแน่ๆค่ะ ยกตัวอย่างเช่น
เราไม่ขายยาปฏิชีวนะให้ลูกค้าแผงเดียว เราอธิบายแล้ว เพราะมันไม่ครบโดส ถ้า 2 แผง เราจะขายให้ ลูกค้าตะโกนด่า
“ไปเหอะหว่ะ เภสัชร้านนี้ยิ้มไม่ขายยาให้กู ไปร้านอื่นก็ได้”
แล้วอย่างยาบางตัวเป็นยาควบคุมที่ต้องขอชื่อลูกค้าเพื่อทำส่ง อย. เพราะอาจจะมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด แต่กลับโดนลูกค้าด่า
“กูมาซื้อยากิน กูไม่ได้ไปฆ่าใครตาย กูไม่เซ็น จบนะ”
พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ พิมพ์จนเหนื่อย สลบแปปปปปปป
ความคิดเห็นที่ 133
ดิฉันก็เป็นเภสัชกรค่ะ ทำงานโรงพยาบาลเอกชนมา 12 ปี หลังจากได้อ่านก็รู้สึกว่า
ในเมื่อคุณ รู้อยู่แล้วว่าลูกค้าเค้าเข้าใจผิด เกี่ยวกับเรื่องยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบ แล้วทำไมคุณไม่อธิบายให้เค้าเข้าใจคะ คุณจะหยิบยา ibuprofen เพื่อกวนลูกค้าทำไม
และอีกอย่างคุณอาศัยแค่การซักประวัติอย่างเดียว แล้วก็ฟันธง ทันทีว่าลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ทั้งที่จริงๆเค้าอาจจะมีจุดหนองที่คอก็ได้

ดิฉันคิดว่าคุณมีปัญหาในการสื่อสาร และวุฒิภาวะทางอารมณ์นะคะ
ถ้าคุณรักอาชีพเภสัชกรจริง และยึดมั่นในการทำหน้าที่ตามจรรยาบรรณวิชาชีพ และมีความหวังดีกับลูกค้าจริงๆ คุณก็ควรอธิบายให้คนไข้เกิดความรู้ความเข้าใจ โดยใช้คำอธิบายที่เข้าใจได้ง่ายและสุภาพ  เพราะพฤติกรรมที่คุณทำมันไม่ได้เกิดประโยชน์สิ่งใดให้กับคนไข้เลยค่ะ

และเมื่อคุณอธิบายคนไข้อย่างเต็มที่แล้ว ถ้าลูกค้าไม่เข้าใจและยังดึงดันคุณก็ไม่ควรจะแสดงความไม่พอใจออกมา
ก็สมกับที่ลูกค้าบอกว่า คุณไม่มี service mind  คุณเป็นเภสัชกรในร้านยา ซึ่งก็คืองานบริการอย่างหนึ่ง คุณจะถือตัวว่าเป็นเภสัชกรแล้วยิ่งใหญ่ในร้าน  จะแสดงมารยาทอย่างไรก็ได้คงไม่ใช่  

ดิฉันอยากแนะนำให้คุณลองไปทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ดูนะคะ   ซึ่งมันเป็นการฝึกตัวเองได้เป็นอย่างดีเลย   บางที่เน้นการบริการเป็นสิ่งสำคัญที่สุด   คุณไปทำได้สัก 1-2 ปี คุณจะซึมซับมารยาทที่ดีเกินไปโดยไม่รู้ตัว  คุณจะเรียนรู้การอธิบายยาที่ดี   เรียนรู้ที่จะกล่าวขอโทษทั้งที่คุณไม่ได้ผิด   เรียนรู้ในการตอบข้อซักถามคนไข้ที่ขี้กังวลผิดปกติโดยปราศจากการใช้อารมณ์
แต่จริงๆ มันก็มีข้อดีนะคะ มันฝึกความอดทนและการระงับความโกรธได้ดีมากๆ
ความคิดเห็นที่ 9
สิ่งที่เราได้รับจากลูกค้าคนนี้คือ
ตารางงานของเดือนหน้าที่ลงสาขานี้ ถูกยกเลิกทั้งหมด
และห้ามไปทำงานสาขานี้ตลอดชีวิต
บ.คงกลัวว่าถ้าลูกค้าคนนี้มาแล้วเจอเราอีก
ลูกค้าจะไม่พอใจและคิดว่าบ.ไม่จัดการอะไร
ทั้งที่ใจจริงเราไปสาขานี้เราแฮปปี้กับ พนง.ทุกคนมาก
ตอนนี้เราลาหัวหน้าสาขาเรียบร้อย
ถ้าผ่านแถวนั้นเราคงจะแวะไปหาทุกคนที่ร้านที่ยังไม่ได้ลา
ถือว่ายังโชคดีนะคะ ที่ไม่โดนไล่ออก
ยังไงก็ยังไปทำสาขาอื่นได้ตามปกติ
ร้านยาที่เราทำเป็นร้านยา chain ขนาดใหญ่
เราจะรับงานร้านยาตามเส้น bts และ mrt
แต่เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง
ต่อไปนี้ทุกครั้งที่จ่ายยาเราคงต้องระลึกไว้ค่ะ
ว่าลูกค้าคือพระเจ้า
ความคิดเห็นที่ 17
เห้ย บริษัทคุณห่วยว่ะ

อยากดันกระทู้นี้ให้มันดังๆ หน่อย
หวังดีแต่ซวยเองแบบนี้ แย่ชะมัด
คนดีๆ ท้อใจกันหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่