เสน่ห์ของยุค 90 ช่างแตกต่างกับยุคนี้ ยุคสมัยที่ไม่รู้ตัวว่า “ตัวเองกำลังใช้เงินเกินตัว”

เสน่ห์ของยุค 90 ช่างแตกต่างกับยุคนี้ ยุคสมัยที่ไม่รู้ตัวว่า “ตัวเองกำลังใช้เงินเกินตัว”

เพราะอิทธิพลของโลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันคนไทยเรา ตั้งแต่ตื่นยันหลับตานอน
ลุกจากเตียงนอนในตอนเช้าด้วยเสียนาฬิกาปลุกที่ดังมาจากมือถือ ไม่ใช่เสียงที่ดังจากเสียงกริ๊งงงงงงงงงงงงก้องกังกวาลจากนาฬิกาปลุกรูปวงกลมและมีค้อนเล็ก ๆเคาะระฆังสลับกันซ้ายขวา
พอลุกจากที่นอนได้ ไมได้หยิบผ้าขนหนูเป็นสิ่งแรก แต่เรากลับหยิบมือถือเดินเข้าห้องน้ำ นั่งลงชักโครกแล้วเลื่อนอ่านข่าวจากหน้าจอมือถือหรือติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆในโลกออนไลน์ผ่านหน้าฟีตข่าว
กินข้าวไม่ได้พูดคุยกับคนรอบข้างและตั้งหน้าตั้งตาอ่านความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ผ่านหน้าจอมือถือ
ก่อนนอนไม่ได้อ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้เป็นเรื่อง ๆแต่อ่านความเคลื่อนไหวของข่าวตามกระแสผ่านจอมือถือ
ก็เพราะเราเสพข่าว เสพกระแกสังคมผ่านหน้าจอมือถือ ฝั่งตัวเองอยูอยู่ในโลกออนไลน์ตลอดราวกับว่าข่าวและเรื่องราวหน้าฟีตเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 6 7 8 ที่เราขาดมันไม่ได้
ข่าว กระแสโลกโซเซียล และการโอ้อวดความรวยต่าง ๆนานา ทำให้ยุคยี้แตกต่างจากสมัยก่อนชัดเจน ชัดเจนจนตอนนี้หาเสน่ห์ของยุคนี้ไม่ได้ หรือเสน่ห์ยุคดิจิตอลนี้อยู่ที่การก้มมองหน้าจอมือถือ

ยุคดิจิตอลที่ทำให้โลกแคบลงจริงอย่างที่หลายคนเคยกล่าว แต่โลกก็มายา
คนจน อวดรวยเยอะแยะ ถมเถ อวดอ้างมีนู้นมีนั่นมีนี่ สร้างกิเลสตัณหาให้คนที่ก้มอ่านมือถือ อยากได้อยากมี ในสิ่งที่ตนเองกำลังทรัพย์ไม่ถึง  เป็นวัฎจักรความจนไม่รู้จักจบจักสิ้น วนเวียนคนจนอวดคนจนว่าตัวเองเป็นคนรวยไปเรื่อย วนไป
ทั้งมือถือราคาแพง
รถยนต์หรู
บ้านหลังใหญ่ราคาแพง
อาหารไฮโซ มีระดับ
กาแฟแก้วละสองร้อย
ขนมหวาน ไอติม ถ้วยละเกือบห้าร้อย
ชาบู เนื้อย่าง กริลต่าง ๆนาๆ หัวละสี่ห้าร้อย
แต่คนเราหลงลืมไปว่า ค่าแรงของตนเองต่อวันคิดแล้วตกวันละเท่าไหร่

“ใช้เงินเกินตัวไปหรือเปล่า”
คนเราลืมคิดถึงสิ่งนี้ไปหรือเปล่า หรือคิดแต่ต้องมีเหมือนเขา มีเท่าเขา แบบนี้คือมีเท่าไหร่ก็คงไม่พอ พอกพูดหนี้สินล้นพ้นตัวจนหาทางออกไม่ได้เมื่อจนมุม

บทความนี้เขียนเพื่อเตือนใจตัวเอง และตั้งคำถามให้กับตัวเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่