สำหรับใครที่อยากไปอ่านในเว็บเด็กดีน่ะค่ะ
https://writer.dek-d.com/aomnipada/story/view.php?id=1608919
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน CHAPTER1
https://pantip.com/topic/36252453
(ยังตั้งกระทู้สนทนาไม่ได้ เอากระทู้คำถามไปก่อนเนาะ)
CHAPTER2
แม้ต้องแลกกับความเป็นฆาตกรฉันก็จะทำ
หลังจากที่พักที่ห้องพิเศษที่อังกฤษฉันก็ได้บินกลับประเทศไทยอย่างปลอดภัยในวันรุ่งขึ้นโดยได้รับการดูแลอย่างดีของสนามบิน ซึ่งมันเหมือนฟ้าหลังฝนอย่างไงอย่างงั้น
ตึ่ด ตึ่ด ด ด ด ! ตึ่ด ตึ่ด ด ด ด !
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังหลับตาพักผ่อนต้องตกใจซึ่งตอนนี้ฉันอยู่ในรถของบ้านที่ฉันเรียกให้มารับที่สนามบินโดยไม่บอกคนในบ้าน
“ฮาโหล นั่นใครค่ะ” ฉันรับสายที่ไม่โชว์ชื่อของผู้โทรมา มีแค่เบอร์โทรศัพท์เท่านั้น
(…….) เสียงอีกฝั่งกลับเงียบไม่ตอบโต้อะไรเลย
“ได้ยินรึป่าวค่ะ นั่นใครเอ๋ย” ฉันถามไปอีกทีโดยครั้งนี้เริ่มขึ้นเสียงเพราะต้นสายรบกวนการพักผ่อนสายตาของฉัน
(ฮาๆๆๆๆ)
อีกฝั่งกลับตอบมาด้วยเสียงหัวเราะของชายวัยกลางคนที่มีท่าทางอารมณ์ขัน ฉันอมยิ้มออกมาเพราะรู้แล้วว่าในสายคือคนที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี
“ฉันปลอดภัยค่ะคาร์เตอร์ ไม่ต้องห่วง”
ฉันตอบกลับพร้อมเผยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแบบดีใจออกมา ซึ่งฉันก็รู้ว่าชายในสายก็ออกอาการยิ้มดีใจอย่างออกนอกหน้าเช่นกัน
(เฮ้! รู้ได้ไงยัยแสบ ฮาๆๆ ฉันเห็นข่าวเธอแล้วน่ะ ไม่เบาเลย”
เสียงคาร์เตอร์คนที่เปรียบเสมือนพ่อของฉันพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะไปด้วยจนทำให้ฉันนึกถึงใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยหนวดของเขาที่เวลายิ้มแต่ล่ะครั้งหนวดนั้นก็จะงอนไปตามปากของเขาด้วยจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาคือแซนต้าครอส อาจจะเป็นเพราะความใจดีและรักเด็กของเขามาเพิ่มด้วยมันจึงทำให้บทนิยามของฉันเป็นจริงขึ้นมา
“โถ่ คาร์เตอร์ ไอ้เราก็นึกว่าจะเป็นห่วง ที่ไหนได้โทรมาหัวเราะกัน”
ฉันตอบโดยทำเสียงเล็กและต่ำลงให้เหมือนคนงอนมากที่สุดพร้อมกับทำแก้มพองๆเหมือนกับว่าชายที่คุยด้วยจะเห็นสีหน้าท่าทางของฉันด้วย
(ฮ่าๆๆๆ ก็เพราะเป็นห่วงไงถึงรีบโทรหา)
ยิ่งคาร์เตอร์พูดว่าห่วงฉันมากเท่าไรฉันก็ยิ่งอยากได้พ่อแบบเขามากเท่านั้น
“ถ้าพ่อวีซ่าได้ครึ่งคาร์เตอร์ก็คงจะดี” ฉันพูดพร้อมทำหน้าเศร้าอีกครั้ง
(วีซ่า?)
“ค่ะ”
(รู้มั้ยพ่อของหนูรักหนูมากเลยน่ะ ถึงพ่อของเธอจะไม่ค่อยเอาใจใส่เธอ แต่ก็ยังดีน่ะที่เขาได้ส่งเธอเรียนได้เห็นหน้าเธอ ต่างจากฉัน…ที่ไม่ได้แม้แต่จะเจอ จะเลี้ยงดูเลยด้วยซ้ำ) คาร์เตอร์เริ่มทำเสียงเศร้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาจะทุกข์ใจทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ บางครั้งถึงขนาดแอบร้องไห้เลยก็มี
“เอาอีกแล้วน่ะค่ะคาร์เตอร์ ไม่พูดเรื่องนี้ซิ งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนน่ะค่ะ ใกล้ถึงบ้านแล้วถ้าทักทายคนในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วเดี๋ยววีซ่าโทรหาน่ะค่ะคาร์เตอร์”
ฉันพูดตัดคาร์เตอร์เพราะฉันไม่อยากให้เขาพูดเรื่องนี้ให้ฉันฟังอีก เพราะเขาพูดให้ฉันฟังเมื่อไหร่ เขาจะร้องไห้เมื่อนั้น
(อ่อจ้ะ เที่ยวเมืองไทยให้สนุกน่ะจ้ะหนูน้อย)
“ค่ะ คาร์เตอร์ บาย”
(บาย)
ทำไมวีซ่าน้อยแบบฉันต้องมารับอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ทั้งจะเรื่องครอบครัวเรื่องความรัก เรื่องเรียน อ้อ ฉันลืมอะไรไปใช่มั้ย? ฉันลืมแนะนำตัวใช่มั้ย ไฮ!! ฉันชื่อ วีซ่า(ชื่อที่ฉันชอบคาร์เตอร์เป็นคิดให้) หรืออีกชื่อคือ จันทร์(ช่างเป็นชื่อที่ลาวมาก)ซึ่งชื่อจันทร์เป็นชื่อที่พ่อกับแม่ของฉันตั้งให้ ส่วนคาร์เตอร์คือพี่ชายต่างพ่อแม่ของแม่ฉันเองแหละ เป็นคนเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็ก เพราะฉันดูเหมือนจะกำพร้าพ่อ!
“คุณหนูจันทร์ครับ ถึงบ้านแล้วครับ”
คนขับรถของฉันมาเปิดประตูรถให้ฉันพร้อมส่งเสียงบอกว่าถึงบ้านแล้ว ฉันพยักหน้าก่อนจะก้าวลงจากรถ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกลับบ้านมาแบบเต็มใจ ซึ่งมันทำให้ในสายตาของฉันมองว่าบ้านหลังนี้ดูสวยขึ้นมา ทั้งที่ฉันไม่เคยชอบมัน แม้เพื่อนๆของฉันจะว่ามันสวยขนาดไหนก็ตาม ฉันก็เห็นว่ามันเป็นเพียงบ้าน
“เดือนนี่เธอคิดบ้าอะไรแต่งตัวแบบนี้เนี่ย? ฮั่นแน่..คิดชอบการแต่งตัวแบบนั้นแล้วใช่มั้ยล่ะ” เสียงผู้ชายร่างสูงใบหน้าคมที่ฉันคุ้นเคยทักทายฉันโดยสวมเสื้อยืดคอกลม กางเกงขาสั้น มีผ้าขนหนูผืนเล็กๆพาดคอ แถมยังมีเหงื่อเต็มตัวเพราะออกกำลังกายมาอีกด้วย
“พี่ค่ะ พี่คุยกับใครหรอค่ะ” เสียงผู้หญิงอีกคนพูดขึ้นพร้อมกับเดินลงบรรไดมาในขณะที่ฉันยังไม่ขยับไปไหน ยังคงยืนค้างอยู่ที่เดิม
“ก็คุยกับแกง่ะ…ไง ….ยัยจันทร์!!!”
“ห่ะ! จันทร์มาหรอค่ะพี่” สองพี่น้องวิ่งกระโดดโลดเต้นดีใจเข้ามากอดฉันใหญ่ ทั้งกอดทั้งอุ้ม จนฉันเผลอที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“คิกๆ พี่ก้อง เดือน นี่จะดีใจอะไรขนาดนั้น” ฉันถามพร้อมกับยิ้มไปหัวเราะไป
“ดีใจซิ นี่เธอไปหาพ่อกับแม่รึยัง รีบไปไหว้ท่านเร็ว”
เดือนพี่สาวฝาแฝดฉันพูดขึ้นในขณะที่ยังยิ้มไม่หุบ ใช่ซิ ฉันลืมบอกอีกแล้วว่าฉันมีพี่สาวฝาแฝดของฉันกับพี่ชายอีกคนด้วยซึ่งพี่ชายคนโตคือพี่เมฆ ส่วนพี่ฝาแฝดฉันคือ เดือน เราออกจากท้องก่อนกันแค่ 3 นาทีเอง ส่วนเรื่องหน้าตาของเราหรอ เหมือนกันอย่างกับแกะ!
“แม่อยู่ไหน?” ฉันถามเดือนทันทีที่เธอพูดจบ
“แม่อยู่ในห้องใหญ่จ้ะ งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนน่ะ พี่ต้องไปมหาลัยอีก”
พี่เมฆพูดพลางเดินไปบรรไดเพื่อขึ้นห้องของตน
“แล้วนี่ไม่ได้เรียนหรอถึงหนีกลับมาได้น่ะจันทร์ ลุงคาร์เตอร์ไม่ว่าเอาหรอ”
เดือนถามฉันพร้อมกับยื่นมือมารับของที่เต็มไม้เต็มมือของฉันเพื่อช่วยถือ
“ฉันแค่อยากมาเที่ยวน่ะ ฉันเหนื่อยกับอะไรหลายๆอย่างที่นั่น บางทีถ้าฉันรักที่นี่ขึ้นมาอาจทำให้ฉันย้ายกลับมาเรียนที่ไทยก็ได้น่ะ อ้อ นี่ของฝากเธอ ส่วนนี่ของพี่เมฆ ฝากเธอให้พี่เมฆด้วยน่ะ”
ฉันบอกเดือนพร้อมหยิบถุงมา4ใบ อีก2ใบให้พี่ทั้งสองส่วนอีก2ใบสำหรับพ่อและแม่
“เธอมีเรื่องเศร้าใจหรือทุกข์ใจอะไรรึป่าวจันทร์ พี่เห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย”
เดือนถามฉันพลางมารับถุงสองใบที่ฉันยื่นให้ ฉันทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่เดือนสังเกตุสีหน้าฉันออกเพราะเรื่องนี้มีเพียงแค่ฉันกับปีเตอร์เท่านั้นที่รู้ ฉันกับปีเตอร์เราคบหาดูใจกับมาได้เกือบ2ปี เรามีความสุขกันดีจนกระทั่งฉันจับได้ว่าปีเตอร์แอบไปมีความสัมพันธ์กับสาวประเภทสองคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันรับไม่ได้เป็นที่สุด ฉันเกลียดสาวประเภทสอง และในวันเดียวกันนั้นฉันก็บอกเลิกปีเตอร์โดยที่ปีเตอร์ไม่รั้งฉันสักนิด ฉันสับสนว่า2ปีที่ผ่านมาของฉันกับปีเตอร์มีความหมายอยู่หรือไม่ ทำไมเขาถึงไม่มาง้อฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ไปโรงเรียนอยู่สามวันเพื่อหลบหน้าเขาแต่เมื่อถึงวันที่สี่ฉันไปที่โรงเรียนกลับต้องเจอหน้าเขาตลอดเวลาเพราะอยู่ห้องเรียนเดียวกัน ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็เจอหน้ากันตลอดถ้าเป็นทุกครั้งฉันคงดีใจที่ได้อยู่ด้วยกันแต่หากครั้งนี้ต่างไป เพราะสีหน้าของปีเตอร์เปลี่ยนไปมากเมื่อมองฉัน ปีเตอร์เฉยชาและเย็นชากับฉันมาก และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันกลับมาที่ประเทศไทย
“นิดหน่อยอ่ะ แต่สักพักคงดีขึ้น ถ้าฉันไม่ห่วงคาร์เตอร์ป่านนี้ฉันกลับมาที่นี่แบบไม่หวนคืนแล้วแหละ” ฉันตอบเดือนอย่างเนือยๆก่อนที่จะเดินหนีออกมาด้วยอาการตาร้อนผ่าว ฉันพยายามฝืนไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอของฉัน ฉันชอบความแข็งแกร่ง ความเก่งในตัวฉันและเช่นกัน ฉันเกลียดความอ่อนแอ หวั่นไหวในตัวฉันเป็นที่สุด
ฉันเดินมาถึงห้องใหญ่ตอนไหนไม่รู้เพราะสติที่หลุดลอยคิดไปไกลของฉันแต่หากไม่ได้เห็นหญิงวัยกลางคนในห้องใหญ่ที่กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันอย่างบันจงสติของฉันก็คงหลุดลอยไปถึงห้วงอวกาศในที่ใดสักแห่งของกาแลคซี่แล้ว ฉันหลงรักผู้หญิงตรงหน้าอย่างสุดหัวใจเพราะเธอไม่เคยทำให้ฉันต้องเสียใจ เธอไม่เคยที่จะทิ้งฉันไปไหนในยามที่ฉันท้อ
“แม่น้ำค่ะ” ฉันเอ๋ยชื่อที่คุ้นหูฉันมาตั้งแต่เด็กออกมาพร้อมกับเดินไปคุกเข้ากราบเท้าผู้หญิงตรงหน้าอย่างเคารพก่อนที่จะเงยหน้ามองดูสีหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน หญิงสาวตรงหน้าใช้มือของเธอลูบมาที่หัวของฉันอย่างใจเย็น
“กลับมาตอนไหนทำไมไม่บอกแม่ล่ะหนูจันทร์ แม่จะได้ทำของชอบไว้รอหนู”
หญิงสาวตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงเรียบที่วัยอย่างเธอควรพูด แม่ยังคงยิ้มให้ฉันเหมือนอย่างวันแรกที่ฉันจำความได้ เหตุการณ์ได้ผ่านมานานเหลือเกิน ฉันวิ่งหนีหายออกจากบ้านเพราะน้อยใจพ่อ ฉันวิ่งไปเรื่อยๆโดยที่สนใจว่าอยู่ที่ไหนแล้วจนกระทั่งมืด ฉันทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ฉันจึงพยายามวิ่งกลับที่เดิม แต่หากวิ่งไปไกลแค่ไหนก็ไม่ใช่ทางที่ฉันวิ่งออกมา ฉันเริ่มรู้ตัวว่าฉันหลงทาง ฉันร้องไห้ ที่นั่นไม่มีคน ไม่แสงสว่าง มีเพียงม้านั่งตัวเดียว กับรถที่วิ่งกลับไปกลับมา ฉันร้องไห้พร้อมกับหลับไปบนม้านั่งตัวนั้น จนกระทั่งฉันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง มันคือเสียงที่ฉันคุ้นเคย ฉันรักและหลงไหลในเสียงนี้
PRETTY VILLAIN พลิกเหตุร้ายคว้าหัวใจยัยหน้าใสตัวแสบ CHAPTER2
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน CHAPTER1 https://pantip.com/topic/36252453
(ยังตั้งกระทู้สนทนาไม่ได้ เอากระทู้คำถามไปก่อนเนาะ)
CHAPTER2
แม้ต้องแลกกับความเป็นฆาตกรฉันก็จะทำ
หลังจากที่พักที่ห้องพิเศษที่อังกฤษฉันก็ได้บินกลับประเทศไทยอย่างปลอดภัยในวันรุ่งขึ้นโดยได้รับการดูแลอย่างดีของสนามบิน ซึ่งมันเหมือนฟ้าหลังฝนอย่างไงอย่างงั้น
ตึ่ด ตึ่ด ด ด ด ! ตึ่ด ตึ่ด ด ด ด !
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังหลับตาพักผ่อนต้องตกใจซึ่งตอนนี้ฉันอยู่ในรถของบ้านที่ฉันเรียกให้มารับที่สนามบินโดยไม่บอกคนในบ้าน
“ฮาโหล นั่นใครค่ะ” ฉันรับสายที่ไม่โชว์ชื่อของผู้โทรมา มีแค่เบอร์โทรศัพท์เท่านั้น
(…….) เสียงอีกฝั่งกลับเงียบไม่ตอบโต้อะไรเลย
“ได้ยินรึป่าวค่ะ นั่นใครเอ๋ย” ฉันถามไปอีกทีโดยครั้งนี้เริ่มขึ้นเสียงเพราะต้นสายรบกวนการพักผ่อนสายตาของฉัน
(ฮาๆๆๆๆ)
อีกฝั่งกลับตอบมาด้วยเสียงหัวเราะของชายวัยกลางคนที่มีท่าทางอารมณ์ขัน ฉันอมยิ้มออกมาเพราะรู้แล้วว่าในสายคือคนที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี
“ฉันปลอดภัยค่ะคาร์เตอร์ ไม่ต้องห่วง”
ฉันตอบกลับพร้อมเผยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแบบดีใจออกมา ซึ่งฉันก็รู้ว่าชายในสายก็ออกอาการยิ้มดีใจอย่างออกนอกหน้าเช่นกัน
(เฮ้! รู้ได้ไงยัยแสบ ฮาๆๆ ฉันเห็นข่าวเธอแล้วน่ะ ไม่เบาเลย”
เสียงคาร์เตอร์คนที่เปรียบเสมือนพ่อของฉันพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะไปด้วยจนทำให้ฉันนึกถึงใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยหนวดของเขาที่เวลายิ้มแต่ล่ะครั้งหนวดนั้นก็จะงอนไปตามปากของเขาด้วยจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาคือแซนต้าครอส อาจจะเป็นเพราะความใจดีและรักเด็กของเขามาเพิ่มด้วยมันจึงทำให้บทนิยามของฉันเป็นจริงขึ้นมา
“โถ่ คาร์เตอร์ ไอ้เราก็นึกว่าจะเป็นห่วง ที่ไหนได้โทรมาหัวเราะกัน”
ฉันตอบโดยทำเสียงเล็กและต่ำลงให้เหมือนคนงอนมากที่สุดพร้อมกับทำแก้มพองๆเหมือนกับว่าชายที่คุยด้วยจะเห็นสีหน้าท่าทางของฉันด้วย
(ฮ่าๆๆๆ ก็เพราะเป็นห่วงไงถึงรีบโทรหา)
ยิ่งคาร์เตอร์พูดว่าห่วงฉันมากเท่าไรฉันก็ยิ่งอยากได้พ่อแบบเขามากเท่านั้น
“ถ้าพ่อวีซ่าได้ครึ่งคาร์เตอร์ก็คงจะดี” ฉันพูดพร้อมทำหน้าเศร้าอีกครั้ง
(วีซ่า?)
“ค่ะ”
(รู้มั้ยพ่อของหนูรักหนูมากเลยน่ะ ถึงพ่อของเธอจะไม่ค่อยเอาใจใส่เธอ แต่ก็ยังดีน่ะที่เขาได้ส่งเธอเรียนได้เห็นหน้าเธอ ต่างจากฉัน…ที่ไม่ได้แม้แต่จะเจอ จะเลี้ยงดูเลยด้วยซ้ำ) คาร์เตอร์เริ่มทำเสียงเศร้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาจะทุกข์ใจทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ บางครั้งถึงขนาดแอบร้องไห้เลยก็มี
“เอาอีกแล้วน่ะค่ะคาร์เตอร์ ไม่พูดเรื่องนี้ซิ งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนน่ะค่ะ ใกล้ถึงบ้านแล้วถ้าทักทายคนในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วเดี๋ยววีซ่าโทรหาน่ะค่ะคาร์เตอร์”
ฉันพูดตัดคาร์เตอร์เพราะฉันไม่อยากให้เขาพูดเรื่องนี้ให้ฉันฟังอีก เพราะเขาพูดให้ฉันฟังเมื่อไหร่ เขาจะร้องไห้เมื่อนั้น
(อ่อจ้ะ เที่ยวเมืองไทยให้สนุกน่ะจ้ะหนูน้อย)
“ค่ะ คาร์เตอร์ บาย”
(บาย)
ทำไมวีซ่าน้อยแบบฉันต้องมารับอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ทั้งจะเรื่องครอบครัวเรื่องความรัก เรื่องเรียน อ้อ ฉันลืมอะไรไปใช่มั้ย? ฉันลืมแนะนำตัวใช่มั้ย ไฮ!! ฉันชื่อ วีซ่า(ชื่อที่ฉันชอบคาร์เตอร์เป็นคิดให้) หรืออีกชื่อคือ จันทร์(ช่างเป็นชื่อที่ลาวมาก)ซึ่งชื่อจันทร์เป็นชื่อที่พ่อกับแม่ของฉันตั้งให้ ส่วนคาร์เตอร์คือพี่ชายต่างพ่อแม่ของแม่ฉันเองแหละ เป็นคนเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็ก เพราะฉันดูเหมือนจะกำพร้าพ่อ!
“คุณหนูจันทร์ครับ ถึงบ้านแล้วครับ”
คนขับรถของฉันมาเปิดประตูรถให้ฉันพร้อมส่งเสียงบอกว่าถึงบ้านแล้ว ฉันพยักหน้าก่อนจะก้าวลงจากรถ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกลับบ้านมาแบบเต็มใจ ซึ่งมันทำให้ในสายตาของฉันมองว่าบ้านหลังนี้ดูสวยขึ้นมา ทั้งที่ฉันไม่เคยชอบมัน แม้เพื่อนๆของฉันจะว่ามันสวยขนาดไหนก็ตาม ฉันก็เห็นว่ามันเป็นเพียงบ้าน
“เดือนนี่เธอคิดบ้าอะไรแต่งตัวแบบนี้เนี่ย? ฮั่นแน่..คิดชอบการแต่งตัวแบบนั้นแล้วใช่มั้ยล่ะ” เสียงผู้ชายร่างสูงใบหน้าคมที่ฉันคุ้นเคยทักทายฉันโดยสวมเสื้อยืดคอกลม กางเกงขาสั้น มีผ้าขนหนูผืนเล็กๆพาดคอ แถมยังมีเหงื่อเต็มตัวเพราะออกกำลังกายมาอีกด้วย
“พี่ค่ะ พี่คุยกับใครหรอค่ะ” เสียงผู้หญิงอีกคนพูดขึ้นพร้อมกับเดินลงบรรไดมาในขณะที่ฉันยังไม่ขยับไปไหน ยังคงยืนค้างอยู่ที่เดิม
“ก็คุยกับแกง่ะ…ไง ….ยัยจันทร์!!!”
“ห่ะ! จันทร์มาหรอค่ะพี่” สองพี่น้องวิ่งกระโดดโลดเต้นดีใจเข้ามากอดฉันใหญ่ ทั้งกอดทั้งอุ้ม จนฉันเผลอที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“คิกๆ พี่ก้อง เดือน นี่จะดีใจอะไรขนาดนั้น” ฉันถามพร้อมกับยิ้มไปหัวเราะไป
“ดีใจซิ นี่เธอไปหาพ่อกับแม่รึยัง รีบไปไหว้ท่านเร็ว”
เดือนพี่สาวฝาแฝดฉันพูดขึ้นในขณะที่ยังยิ้มไม่หุบ ใช่ซิ ฉันลืมบอกอีกแล้วว่าฉันมีพี่สาวฝาแฝดของฉันกับพี่ชายอีกคนด้วยซึ่งพี่ชายคนโตคือพี่เมฆ ส่วนพี่ฝาแฝดฉันคือ เดือน เราออกจากท้องก่อนกันแค่ 3 นาทีเอง ส่วนเรื่องหน้าตาของเราหรอ เหมือนกันอย่างกับแกะ!
“แม่อยู่ไหน?” ฉันถามเดือนทันทีที่เธอพูดจบ
“แม่อยู่ในห้องใหญ่จ้ะ งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนน่ะ พี่ต้องไปมหาลัยอีก”
พี่เมฆพูดพลางเดินไปบรรไดเพื่อขึ้นห้องของตน
“แล้วนี่ไม่ได้เรียนหรอถึงหนีกลับมาได้น่ะจันทร์ ลุงคาร์เตอร์ไม่ว่าเอาหรอ”
เดือนถามฉันพร้อมกับยื่นมือมารับของที่เต็มไม้เต็มมือของฉันเพื่อช่วยถือ
“ฉันแค่อยากมาเที่ยวน่ะ ฉันเหนื่อยกับอะไรหลายๆอย่างที่นั่น บางทีถ้าฉันรักที่นี่ขึ้นมาอาจทำให้ฉันย้ายกลับมาเรียนที่ไทยก็ได้น่ะ อ้อ นี่ของฝากเธอ ส่วนนี่ของพี่เมฆ ฝากเธอให้พี่เมฆด้วยน่ะ”
ฉันบอกเดือนพร้อมหยิบถุงมา4ใบ อีก2ใบให้พี่ทั้งสองส่วนอีก2ใบสำหรับพ่อและแม่
“เธอมีเรื่องเศร้าใจหรือทุกข์ใจอะไรรึป่าวจันทร์ พี่เห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย”
เดือนถามฉันพลางมารับถุงสองใบที่ฉันยื่นให้ ฉันทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่เดือนสังเกตุสีหน้าฉันออกเพราะเรื่องนี้มีเพียงแค่ฉันกับปีเตอร์เท่านั้นที่รู้ ฉันกับปีเตอร์เราคบหาดูใจกับมาได้เกือบ2ปี เรามีความสุขกันดีจนกระทั่งฉันจับได้ว่าปีเตอร์แอบไปมีความสัมพันธ์กับสาวประเภทสองคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันรับไม่ได้เป็นที่สุด ฉันเกลียดสาวประเภทสอง และในวันเดียวกันนั้นฉันก็บอกเลิกปีเตอร์โดยที่ปีเตอร์ไม่รั้งฉันสักนิด ฉันสับสนว่า2ปีที่ผ่านมาของฉันกับปีเตอร์มีความหมายอยู่หรือไม่ ทำไมเขาถึงไม่มาง้อฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ไปโรงเรียนอยู่สามวันเพื่อหลบหน้าเขาแต่เมื่อถึงวันที่สี่ฉันไปที่โรงเรียนกลับต้องเจอหน้าเขาตลอดเวลาเพราะอยู่ห้องเรียนเดียวกัน ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็เจอหน้ากันตลอดถ้าเป็นทุกครั้งฉันคงดีใจที่ได้อยู่ด้วยกันแต่หากครั้งนี้ต่างไป เพราะสีหน้าของปีเตอร์เปลี่ยนไปมากเมื่อมองฉัน ปีเตอร์เฉยชาและเย็นชากับฉันมาก และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันกลับมาที่ประเทศไทย
“นิดหน่อยอ่ะ แต่สักพักคงดีขึ้น ถ้าฉันไม่ห่วงคาร์เตอร์ป่านนี้ฉันกลับมาที่นี่แบบไม่หวนคืนแล้วแหละ” ฉันตอบเดือนอย่างเนือยๆก่อนที่จะเดินหนีออกมาด้วยอาการตาร้อนผ่าว ฉันพยายามฝืนไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอของฉัน ฉันชอบความแข็งแกร่ง ความเก่งในตัวฉันและเช่นกัน ฉันเกลียดความอ่อนแอ หวั่นไหวในตัวฉันเป็นที่สุด
ฉันเดินมาถึงห้องใหญ่ตอนไหนไม่รู้เพราะสติที่หลุดลอยคิดไปไกลของฉันแต่หากไม่ได้เห็นหญิงวัยกลางคนในห้องใหญ่ที่กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันอย่างบันจงสติของฉันก็คงหลุดลอยไปถึงห้วงอวกาศในที่ใดสักแห่งของกาแลคซี่แล้ว ฉันหลงรักผู้หญิงตรงหน้าอย่างสุดหัวใจเพราะเธอไม่เคยทำให้ฉันต้องเสียใจ เธอไม่เคยที่จะทิ้งฉันไปไหนในยามที่ฉันท้อ
“แม่น้ำค่ะ” ฉันเอ๋ยชื่อที่คุ้นหูฉันมาตั้งแต่เด็กออกมาพร้อมกับเดินไปคุกเข้ากราบเท้าผู้หญิงตรงหน้าอย่างเคารพก่อนที่จะเงยหน้ามองดูสีหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน หญิงสาวตรงหน้าใช้มือของเธอลูบมาที่หัวของฉันอย่างใจเย็น
“กลับมาตอนไหนทำไมไม่บอกแม่ล่ะหนูจันทร์ แม่จะได้ทำของชอบไว้รอหนู”
หญิงสาวตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงเรียบที่วัยอย่างเธอควรพูด แม่ยังคงยิ้มให้ฉันเหมือนอย่างวันแรกที่ฉันจำความได้ เหตุการณ์ได้ผ่านมานานเหลือเกิน ฉันวิ่งหนีหายออกจากบ้านเพราะน้อยใจพ่อ ฉันวิ่งไปเรื่อยๆโดยที่สนใจว่าอยู่ที่ไหนแล้วจนกระทั่งมืด ฉันทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ฉันจึงพยายามวิ่งกลับที่เดิม แต่หากวิ่งไปไกลแค่ไหนก็ไม่ใช่ทางที่ฉันวิ่งออกมา ฉันเริ่มรู้ตัวว่าฉันหลงทาง ฉันร้องไห้ ที่นั่นไม่มีคน ไม่แสงสว่าง มีเพียงม้านั่งตัวเดียว กับรถที่วิ่งกลับไปกลับมา ฉันร้องไห้พร้อมกับหลับไปบนม้านั่งตัวนั้น จนกระทั่งฉันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง มันคือเสียงที่ฉันคุ้นเคย ฉันรักและหลงไหลในเสียงนี้