**แชร์ ปสก.รับมือจากการถูกฝรั่งรังแก.. ** ภาคผนวก : เมื่อลูกผมโดนเพื่อนรังแก

วันนี้จะมาคุยต่อเนื่องจากที่เคยคุยกันไว้เมื่อเดือนที่แล้ว กระทู้นี้นะครับ https://pantip.com/topic/36121443
หลังจากที่มีเพื่อนๆสมาชิก ทั้งหลังไมค์มา และ ทั้งในกระทู้ อยากให้ผมลองแชร์ ประสบการณ์ ตอนที่ลูกผมมีเหตุ
โดนเพื่อนรังแกที่โรงเรียนบ้าง ว่ารับมือกันอย่างไร พอดีช่วงนี้ลูกๆ ปิดเทอมกันแล้วเลยพอมีเวลามาเล่าต่อจากที่ค้างไว้นะครับ

เกริ่นนำนิดหน่อยนะครับ...
ผมให้ลูกๆผมทั้งคู่เรียนโรงเรียนมัธยมของ รัฐฯ ที่อยู่ใกล้บ้านผม
สังคมในโรงเรียนใหม่จึงต่างจาก โรงเรียนเก่าที่เด็กๆเคยเรียนมาในช่วง อนุบาล - ประถม
ช่วงอนุบาล - ประถม 6 ลูกๆผมเรียนในโรงเรียนเอกชน ขนาดกลาง (เน้นแถวๆบ้านเหมือนกันครับ 55) มีเด็กๆไม่เกิน 500 คน
ห้องเรียน เป็นห้องเรียนติดแอร์ ทุกห้อง เด็กๆ 1 ห้อง มีไม่เกิน 25 คน คุณครู ดูแลดีมากครับ มี ครูประจำชั้น 2 ท่าน คนไทย 1 ครูต่างชาติ 1
ช่วงที่อยู่ประถม ก็ไม่เคยเจอปัญหาเรื่องนี้ที่โรงเรียนเท่าไหร่นะครับ อาจจะด้วยเด็กยังเล็ก (ประถม) และมีคุณครูดูแลค่อนข้างทั่วถึง

พอเข้าโรงเรียนใหม่ ลูกๆผมต้องปรับตัวค่อนข้างมาก เริ่มจากขนาดของโรงเรียน เป็นโรงเรียนใหญ่ขนาดนักเรียน ม.1-ม.6 รวม 4,500 คน
ห้องเรียนทุกห้อง ไม่มีแอร์ฯ อาศัยพัดลม ห้องเรียน สภาพเป็นไปตามอายุของอาคารไม่สวยงามเหมือนโรงเรียนเก่า
ซึ่งเรื่องนี้ ลูกๆผมก็ปรับตัวได้ดีเลยครับ ไม่มีปัญหาอะไร

ลูกสาวคนโตผม ตอนที่เข้าไปเรียน ม.1 อาทิตย์แรก ก็มีเหตุการณ์รับน้องใหม่เลย เด็กผู้ชาย ม.3 เข้ามารุมต่อยเพื่อนร่วมห้องของลูกผมถึงในห้อง
โต๊ะ เก้าอี้ ล้มกระจายไปหมด บอกตรงๆ เรื่องนี้ลูกผมค่อนข้างตกใจมากๆ เพราะไม่เคยเห็นคนชกกันในระยะประชิดขนาดนั้น ....
ผมเลยได้จังหวะ สอนลูกผมเรื่องการคบเพื่อน เนื่องจากว่าน้องผู้ชายคนนี้ไปคบรุ่นพี่ที่ค่อนข้างเกเร เลยทำให้มีเหตุกระทบกระทั่งกัน
พวกรุ่นพี่ๆ จึงถือโอกาสมาสั่งสอนและรับน้องถึงในห้อง
หลังจากเหตุการณ์นั้น ลูกคนโตของผมก็เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยง พื้นที่เสี่ยงต่างๆในโรงเรียน
เช่น ห้องน้ำไหน จะมีรุ่นพี่ไปสูบบุหรี่ หรือ จุดไหนที่เด็กๆมักนัดจะไปชกต่อยกัน หรือ รุ่นพี่/เพื่อน คนไหนเกเรก็จะหลีกเลี่ยง ฯลฯ
ลูกคนโตก็เรียนอยู่ 2 ปี จนขึ้น ม.3 ก็ดูจะไม่มีปัญกาอะไรมาก .....คราวนี้ถึง คิวน้องสาวเข้า ม.1 บ้าง

ลูกคนเล็กผมเป็นเด็กใส่แว่น ผิวขาวๆ หน้าหมวยๆ สอบเข้าโรงเรียนรัฐที่เดียวกับคนพี่
ในวันแรกเลยที่เข้าเรียน ม.1 คุณครูก็จะมีการให้เลือกหัวหน้าห้อง ซึ่งเด็กๆต่างก็เพิ่งมารวมห้องกันไม่นาน อาจจะยังไม่รู้จักกันดีพอ
เพื่อนๆในห้องเลยเลือก ลูกสาวผมให้เป็นหัวหน้าห้อง เนื่องจากบุคลิคเป็นคนเฟรนด์ลี่ของนาง ประกอบกับที่ใส่แว่น คงดูแล้วเหมือนเด็กเรียนดี 55

แรกๆ ลูกสาวคนเล็กผมก็ดูจะมีความสุข ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าห้อง และ ปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่ได้ดีมาก
พอเริ่มเข้าเดือนที่ 2 ลูกผมก็จะเริ่มบ่นเรื่องเพื่อนที่โรงเรียนแล้ว และบอกว่าไม่ค่อยอยากไปโรงเรียน เรียนไม่สนุก ฯลฯ
จากการที่ผมขับรถไป รับ ส่ง ลูกๆ ทุกวัน ผมจะมีการคุยกับลูกๆ ระหว่างทางไป และ กลับ
ทำให้ผมพอจะสังเกตุได้ว่ามีเหตุไม่ปรกติที่ลูกผมไม่อยากเล่า ผมจึงตะล่อมๆถามลูกประมาณว่า
ทำไมเหรอลูก ? ที่โรงเรียนไม่สนุกแล้วเหรอ ? โดนครูดุไหม ? เพื่อนๆเป็นอย่างไรบ้าง ?
แถมผมยังให้เจ้าพี่สาวแอบๆไปสังเกตุการณ์น้องสาวให้ด้วย เท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตุมากนัก
แต่ผมก็ยังพูดคุยๆ ถามไถ่ลูกผมอยู่ทุกวัน โดยบอกตลอดว่ามีอะไรให้มาบอก พ่อแม่ ได้ทุกเรื่อง
ผู้ใหญ่จะสามารถช่วงแก้ปัญหานี้ให้ลูกได้ ทุกอย่างย่อมมีทางออก ฯลฯ

จนมาวันหนึ่ง ลูกสาวผมหลุดมาคำหนึ่งที่บอกว่า หนูไม่อยากเป็นหัวหน้าห้องแล้ว ....
คำนี้เป็นคำที่ช่วยผมพอได้รับรู้ปัญหาที่ลูกผมอาจจะเผชิญอยู่ได้
ผมลองให้ลูกเล่าว่า เพราะอะไรถึงไม่อยากเป็นหัวหน้าห้อง ทั้งๆที่ลูกเคยมีความสุขที่ได้รับหน้าที่นี้นี่ ?
ลูกผมก็บอกประมาณว่า ความรับผิดชอบเยอะ เช้าต้องไปประชุมหัวหน้าห้องเพื่อแจ้งงานต่างๆให้กับเพื่อนในห้อง
ต้องคอยเก็บงาน การบ้านของเพื่อนๆ ไปส่งคุณครู และ ที่ไม่ชอบเลยคือ ต้องคอยจดชื่อเพื่อนๆที่ขาดเรียน รวมถึง โดดเรียน ไปส่งคุณครูด้วย .....
ผมพอจับใจความได้ จึงถามลูกสาวว่า มีเพื่อนโดดเรียนในห้องเยอะไหม
ลูกผมตอบว่าไม่เยอะ ส่วนมากจะเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง (คนนี้ปรกติไม่ได้เข้าเรียนอยู่แล้ว) และ เด็กผู้หญิงอีก 1 คน ที่มักจะโดดเรียน
เด็กผู้หญิงคนที่โดดเรียน ก็มาชวนลูกผมไปเข้าห้องน้ำช่วงก่อนเข้าเรียนคาบต่อไป เพื่อจะโดดเรียนด้วย แต่ลูกผมไม่ได้ตามไป
ผมถามว่าพอรู้ไหมว่าเขาโดนเรียนไปไหน ลูกสาวผมบอกว่าไม่เห็นไปไหน ก็เห็นไปหลบอยู่ตามห้องน้ำ
คาดว่าคงไปรวมกลุ่ม คุยเล่นกับเพื่อนๆห้องอื่นที่โดดมาด้วยกัน...
ผมเลยถามต่อไปว่า แล้วคนที่เราจดชื่อไปให้คุณครู มีคนไหนที่มาหาเรื่องเราบ้างไหม ? ...
ลูกผมเงียบไปสักพัก แล้วก็เล่าว่า เพื่อนผู้หญิงคนที่ลูกผมจดชื่อไปมาคาดคั้นไม่ให้ลูกผมส่งชื่อน้องเขาไปให้คุณครู
เนื่องจากว่าเธอกลัวคุณแม่เธอดุ แต่ลูกผมก็ส่งชื่อเธอไปทุกครั้ง หลังๆเธอจึงมาคอยด่าลูกผมทุกวัน

ตอนแรกเลย ผมค่อนข้างเป็นห่วงลูกผมว่าจะโดนทำร้าย แต่พอถามๆไป ส่วนมากจะโดนด่า บางครั้งเดินผ่านก็จะแกล้งมาเดินชนแรงๆ
และ เด็กคนนี้ก็จะคอยปั่นให้เพื่อนๆให้มาคอนแอนตี้ลูกผม ซึ่งลูกผมจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกรงใจเพื่อนๆ
เธอจึงรู้สึกแย่มากๆ ที่โดนน้องคนนี้และเพื่อนๆมารุมด่า ในแบบที่น้องไม่เคยโดนมาก่อน
ตอนแรกเลย ลูกสาวผมคนพี่โมโหมาก บอกว่าเดี๋ยวตอนเช้าไปด้วยกัน แจ้จะเข้าไปด่าถึงในห้องเลย .... 555

แต่น้องบอกไว้ว่าไม่อยากให้พี่เข้าไปยุ่ง ไม่เอา เพราะน้องกลัวไม่มีใครคบด้วย กลัวไปต่างๆ นาๆ
ผมก็เห็นด้วยที่ว่า น้องควรจะแก้ปัญหาครั้งนี้ด้วยตัวเอง เพราะในอนาคต ยังต้องมีอะไรที่น้องต้องยืนหยัดด้วยตัวเองอีก
ผมบอกน้องไปว่า เด็กพวกนี้ไม่น่าถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เพราะพ่อรู้จักแม่ของน้องคนนี้ เคยเจอตอนประชุม ผปค.
เขาไม่ได้เกเรมากถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ผมบอกลูกผมไปว่า ถ้าโดนมาด่าอีกก็ให้ ตะโกนด่ากลับไปแรงๆเลยว่า
เมิงเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย...เลิกยุ่งกะ...ได้แล้ว รำคาญนะ บลาๆๆ ...

ตอนแรกลูกผมก็บอกว่า ไม่เอาอ่ะ  ผมเลยให้ลูกผมฝึกซ้อม โดยจำลองเหตุการณ์กับพี่สาว
พี่สาว: อีแว่น เมิงนี่ขี้ฟ้องนะ พอเป็นหัวหน้าหน่อยทำหยิ่งเหรอ บลาๆๆๆ
น้องสาว: หัวเราะ ..... หนูทำไม่ได้อ่ะ
พี่สาว: ทำตัวอย่างให้ดู (ตะคอกแบบเสียงดังเลย) .... เมิงเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย บลาๆๆ.....
น้องสาว: พูด ตาม แต่เสียงไม่ดังมากนัก ...
ผมเลยให้พูดฝึกซ้ำอีก 2-3 รอบ เป็นอันจบการจำลอง

วันรุ่งขึ้น ตอนส่งลูกไปโรงเรียน ก็มีการเตรียมซักซ้อมให้น้องอีกครั้ง สุดท้ายผมก็บอกไปว่า ถ้ามีอะไรจริงๆก็เรียกพี่เขาได้นะ
แต่จริงๆแล้วผมเชื่อว่าไม่น่ามีการใช้กำลังกันเพราะถ้าจะทำคงทำไปนานแล้ว อีกทั้งผมคอยให้พี่สาวเขาคอยดูให้อยู่ห่างๆ
จึงพอวางใจได้บ้าง

พอตกตอนเย็น ผมไปรับลูกๆ ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลูกสาวคนเล็กก็รีบเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น...
น้องเล่าว่า ตอนเช้าพอเข้าห้องเก็บกระเป๋าก็โดนเพื่อนว่าเหมือนทุกวัน แต่วันนี้น้องก็เงียบๆทำหน้านิ่งๆ
เพื่อนพอเห็นไม่พูดอะไรก็เข้ามาต่อว่าอีกว่า วันนี้จะฟ้องอะไรอีกล่ะ ไอ่แว่น ... ฯลฯ
พอได้ที่ ลูกผมจึงพูดตะคอกกลับไปด้วยเสียงดังๆว่า
"เป็นอะไรมากหรือเปล่านี่ ที่ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนนะ แต่นี่ไม่ไหวแล้วนะ รำคาญว่ะ !!! ...."
น้องเล่าต่อว่า ทั้งห้องเงียบกันไปพักหนึ่ง แล้วเพื่อนคนนั้นก็เงียบ และ ทำหน้าเจื่อนๆ เดินกลับไปนั่งที่เดิม
วันนั้นทั้งวัน และ วันหลังจากวันนั้น น้องก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้อีกต่อไป หรืออาจจะมีบ้างแต่น้องก็เรียนรู้ที่จะจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้น

เอาจริงๆตอนแรก ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร แต่ลึกๆแล้วยังไม่อยากไปก้าวก่ายเรื่องของเด็กๆโดยไม่จำเป็น
ปัญหาบางอย่าง เราอาจจะไม่ได้เผชิญกับมันทุกวันเหมือนที่เด็กๆเจอ ต้องลองให้ลูกๆเขาแก้ปัญหาโดยมีเราเป็นคนคอยแนะนำ
ในอนาคตเด็กๆจะต้องเจออีกหลายสิ่ง หลายอย่างที่เขาต้องตัดสินใจที่จะปกป้องตัวเอง
เราในฐานะพ่อแม่ ควรเตรียมความพร้อมให้ลูกๆของเราให้เหมาะกับวุฒิภาวะของลูกๆเราในวัยนั้นๆ
สำคัญ ลูกๆต้องมีความเชื่อมั่น และ มั่นใจว่าเราจะปกป้องเขาได้เมื่อเขามีปัญหาขึ้นมาจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้ลูกๆ กล้าที่จะปรึกษากับพ่อแม่เมื่อลูกเจอกับปัญหา เพราะเรามีความไว้ใจซึ่งกันและกันนี่เอง....

จบแล้วครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบ เพื่อนๆ มีอะไรจะเสริมก้มาเล่าแบ่งปัน ประสบการณ์กันได้นะครับ ^^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่