เมื่อสมัยราวๆ 25 ปีก่อน ผมโชคดีได้มีโอกาสไปเรียนโรงเรียนมัธยม (Highschool) ที่ต่างประเทศ
การได้ไปครั้งนั้น เหมือนจับพลัดจับผลู ได้ไปเรียนโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน
คือพอดีคุณน้าผมไปเรียนต่อ ปริญญาโท ที่รัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ อาจารย์ท่านหนึ่ง
ขณะนั้น อาจารย์ท่านนี้มีความคิดอยากจะรับนักเรียนต่างประเทศ มาพักที่บ้านท่านดู เนื่องจากลูกๆของท่านโตกันหมดแล้ว
คุณน้าผมท่านเลยหาโรงเรียน เอกชน ที่อยู่แถวๆบ้านของอาจารย์ท่านนั้น ให้ผมไปเรียนโดยให้ อ.เป็น Host family ให้ผม
หลังจากสรุปเรื่องที่พักได้ คุณน้าก็เดินเรื่องสมัครให้ผมย้ายไปเรียนต่อ ม.5 - ม.6 (เกรด 11-12) ที่โน่น
และนั่นคือเหตุให้ผมตอนนั้นในวัย 16 ปี หมาดๆ ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง แทบไม่เคยห่าง พ่อ แม่ เลยในชีวิตถามว่ากลัวไหม ก็กลัวนะครับ แต่ความอยากเผชิญโลกกว้างมันมากกว่าความกลัว
จำได้วันที่เดินทางออกจากสนามบินวันแรก พ่อ แม่ น้องๆ รวมถึงเพื่อนๆร่วมโรงเรียน มาส่งกัน มีพวงมาลัยคล้องคอด้วยนะครับ 555
ตอนเดินออกเพื่อเข้าไปตรวจพาสปอร์ทขาออก ผมมองเห็นคุณแม่ผมโบกมือและเห็นท่านตาแดงๆ ผมไม่กล้าร้องไห้ กลัวท่านจะเป็นห่วง
ผมรีบโบกมือแล้วหันกลับไป แต่ตอนหลังจากนั้นผมเดินไปแอบร้องไห้ที่ห้องน้ำ เป็นอะไรที่เคว้งมากๆครับ ขอบอก
ดูๆไปทุกๆอย่างเหมือนจะราบรื่นใช่ไหมครับ แต่จริงๆแล้วการไปอยู่ต่างแดนเนี่ยไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ
จริงๆแล้วรายละเอียดปลีกย่อยมันมีอีกเยอะพอสมควร ...
เพื่อเข้าเรื่อง ผมขอตัดข้ามมาถึงตอนช่วงที่เป็นเหตุให้โดนรังแกเป็นครั้งแรกเลยแล้วกันนะครับ
...ขอเท้าความอีกนิดหน่อยก่อนนะครับ เพื่อให้เข้าใจรายละเอียดประกอบได้ดีขึ้น
โรงเรียนที่ผมไปเรียนจะอยู่ในรัฐที่ค่อนข้างห่างไกลค่อนไปทางฝั่ง ต.ต.เฉียงเหนือ
นึกตามก่อนนะครับสมัยนั้นไม่มี อินเตอร์เน็ตไม่มีมือถือ คนแถวๆนี้ แทบไม่เคยเจอคนเอเซียมาก่อนเลย
ผมเป็นเด็กเอเซียคนเดียวในโรงเรียนนี้ นอกนั้นเป็นเด็กฝรั่งหมดเลยครับ 555
ส่วนคุณน้าผม ท่านเรียน U ในเมืองที่ห่างจากบ้านของอาจารย์ไปประมาณ 10 ไมล์เศษๆ และท่านก็ไม่มีรถยนต์
ผมเจอท่านวันแรกที่ไปรับที่สนามบิน พร้อมกับ Host Family คุยกัน พาไปที่บ้าน host แล้วหลังจากวันนั้น
ผมไม่ได้พูดภาษาไทย หรือ เจอคนไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน !!!!
ย้อนกลับมาที่โรงเรียน ....ช่วงซัมเมอร์ host ก็พาผมมาดูโรงเรียน ตอนนั้นท่านถามผมว่าชอบเล่นกีฬาอะไรไหม
ผมบอกไปว่า ฟุตบอล ท่านบอกดีเลย เดี๋ยวจะพาไปหา โค๊ช ให้เขารับเข้าซ้อมกับทีม ฟุตบอล ของโรงเรียน
ตอนนั้น ผมรู้จัก อเมริกันฟุตบอล นะครับ แต่ผมไม่นึกไงครับ ว่า ฟุตบอล ที่ผมเรียก มันหมายถึง อเมริกันฟุตบอล
ผมอยากเล่น ฟุตบอล หรือ บอลฯ แบบที่เราเล่นกัน ลูก กลมๆ เตะเข้าโกล์ อะไรแบบนั้น ....
จริงๆแล้ว ถ้าอยากเล่น บอลฯ ผมต้องบอกไปว่า I play Soccer นี่บอกว่า Football เลยเป็นคนละกีฬากัน !!! พลาดแล้วไงตรู....
เนื่องจากโรงเรียนนี้ไม่มีโปรแกรม Soccer สำหรับชาย มีแต่ทีม หญิง
โปรแกรมกีฬาอื่นๆใน Fall ก็จะเหลือแต่ กอล์ฟ กับ ทีมวิ่งระยะไกล Cross Country Running ซึ่งผมไม่อยากเล่นทั้ง 2 อย่าง
ตอนนั้นผมนึกว่ากีฬานี้แหละ เป็นกีฬาทีม เราจะได้รู้จักกับเพื่อนๆในทีมด้วย ดีออก หวยจึงมาออกที่ทีม Football
และที่ทีมฟุตบอลนี่เองที่ โชคชะตา พามาให้ผมได้มาเจอกับ โทนี่...
นึกสภาพ โทนี่ เป็นเด็กไอ้กัน ตัวโตๆ ไว้ผมหัวเกรียนๆ ผมสีน้ำตาล ตาสีน้ำตาล เป็นเด็กอเมริกันเชื้อสายทาง อิตาเลี่ยน
โทนี่เป็นรุ่นพี่ผม อยู่ชั้นเกรด 12 และเป็นหัวโจกในโรงเรียน
ตั้งแต่เข้ามาซ้อมกับทีม ผมโดน โทนี่ แกล้งมาหลายครั้ง มีตั้งแต่เอาของไปซ่อน แกล้งพูดจาถากถาง ดูถูก
เวลาซ้อม มันจะจงใจสลับคู่เพื่อเข้ามาชนกับผม และ มันจะชนแรงมากๆ จนผมกระเด็นกลิ้งไป
ทุกครั้งที่ผมโดนชน ผมจะรีบลุกกลับมาเพื่อเล่นต่อ มันก็จะเข้ามาผลักๆต่อ
จุดเดือดมันมาตรงที่ตอนเย็นหลักเลิกเรียน ระหว่างที่เปลี่ยนชุดจะไปซ้อมกันในห้องล๊อกเกอร์
ไอ้โทนี่ ก็พูดจาด่าผมเหมือนเดิมโดยมันบอกว่าผมเล่น Soccer ควรไปเล่นกับทีมหญิงน่าจะดีกว่า ไม่เหมาะกับเล่นทีมนี้หรอก
ความที่ผมเก็บกดมานาน ผมรู้อยู่ว่ามันตัวใหญ่กว่าเยอะ ถ้าชกกับมันตัวๆผมก็แพ้ จึงยอมอดทนกับมันมาเรื่อย
ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งล้อเยอะขึ้นเมื่อเห็นผมเฉยๆ ไม่ตอบโต้อะไรมาก
ผมคิดอยู่ตลอดในช่วงที่ผมโดนแกล้งว่าสักวันหนึ่ง ผมคงต้องตอบโต้มันไปบ้าง ให้มันรู้ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมมันหรอก เผื่อจะหยุดมันได้บ้าง
บังเอิญ วันนี้ตอนตอนระหว่างที่มันกำลังพูดจาถากถางผมนั้น ผมเหลือบไปเห็นโค้ชหลายคนยังอยู่ในออฟฟิศ
และตอนนั้นก็มีเพื่อนๆอยู่กันหลายคน ผมประเมินสถานการณ์แล้ว คงต้องมีคนมาช่วยห้าม และ โค้ชก็อยู่ ถ้าพลาดก็คงไม่โดนมันอัดเยอะ
ผมรีบใส่อุปกรณ์ จะมี Shoulder Pads หมวก เพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะเข้าไปอัดมัน
นึกถึงช๊อตนี้ ผมยังจำได้ดี ผมพุ่งเข้าแทคมันเลย ผมตะโกนไปดังๆว่า I can't stand it anymore this is it... Fu_K You !!!
ตอนนั้นทุกอย่างชุลมุน เพื่อนๆเข้ามาห้ามกัน กลิ้งกันไปมา ม้านั่งล้ม อุปกรณ์หล่นกันกระจาย
ผมโดนมันจับตรงหน้ากากหมวก แล้วทุ่มตัวลงที่พื้นแล้วมันก็นั่งทับผมไว้ ตอนนั้นผมใส่หมวกอยู่ จึงป้องกันหน้าผมไว้ได้
มันเลยต่อยลงที่ท้องของผม 2-3 ที แต่เอาเข้าจริงๆ มันเป็นการต่อยที่เบามากๆ เบาจนผมแปลกใจ
ถึงตอนนั้น โค้ช มาห้ามผมและโทนี่ออกจากกันแล้วนะครับ
โค้ชเรียกผม กับ โทนี่ ไปแยกกันคุย ผมจำรายละเอียดที่คุยไม่ค่อยได้ แต่จำได้ว่าเล่าไปประมาณว่าทนมันมานานแล้ว
จำได้ว่าสุดท้าย โค้ชให้ผมไปจับมือกับ โทนี่ ผมก็ sorry กับมันไปที่ผมสติหลุดจนพุ่งไปหามัน
ตอนผมจะเดินออกจากห้อง ผมจำคำที่โค้ชบอกผมไว้ได้ โค้ชบอกว่า You're small but you have big heart. แล้วโค้ชก็ยิ้มให้ผม
ผมจำได้ว่าหลังจากออกมาซ้อมกันต่อ เพื่อนๆหลายคนเข้ามาถามผมว่า Are you crazy ? แล้วบอกประมาณว่ามันตัวใหญ่กว่าเยอะ ทำไมไปสู้ ฯลฯ
หลังจากซ้อมเสร็จวันนั้น โทนี่ก็เข้ามาคุยกับผมปรกติ จนสุดท้ายมันมาบอกผมว่า ขอโทษที่มันล้อผมมากไปหน่อย
มันไม่คิดว่าผมจะโกรธขนาดนั้น ผมเลยโล่งใจที่มันไม่เข้ามาอัดผมต่ออีก ถือว่าผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี
ผมมานึกถึงเหตุการณ์อีกที โทนี่ จริงๆแล้วไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะมันสามารถชกผมแรงๆให้เจ็บก็ได้
ผมเลยเชื่อว่ามันคงไม่ได้อยากมีปัญหาที่มาอัดผมหรอก ผมโชคดีอีกอย่างที่เพื่อนๆคนอื่นในทีมไม่ได้เป็นแบบนั้น
ก็จะมีแต่โทนี่ ที่จะปากมากหน่อย แต่มันก็เป็นแบบนี้กับทุกคนเลย ผมเลยถึงบางอ้อว่ามันเป้นคนกวนๆแบบนี้เอง
ประสบการณ์ ครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ที่จะหลบหลีก และ ประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง พยายามตัดสินใจโดยไม่ได้ใช้อารมณ์ตัดสิน
ผมได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้ลูกๆฟัง และ ยังมีโอกาสได้สอนลูกคนเล็กผมในการแก้ปัญหา ตอนที่น้องถูกเพื่อนคนหนึ่งแกล้งตอน ม.1 ด้วย
ซึ่งปัญหานั้นก็ผ่านมาด้วยดี และ ทำให้ลูกผมได้เรียนรู้ทักษะที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้มาอีกอย่าง
ไว้เรื่องลูกถ้ามีเพื่อนๆสนใจ ผมจะมาแชร์เรื่องราวให้ฟังอีกนะครับ วันนี้ผมขอจบตามที่จั่วหัวไว้เท่านี้ก่อน
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ .... ^^
แชร์ประสบการณ์ รับมือจากการถูกฝรั่งรังแกตอนไปเรียนตปท....
การได้ไปครั้งนั้น เหมือนจับพลัดจับผลู ได้ไปเรียนโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน
คือพอดีคุณน้าผมไปเรียนต่อ ปริญญาโท ที่รัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ อาจารย์ท่านหนึ่ง
ขณะนั้น อาจารย์ท่านนี้มีความคิดอยากจะรับนักเรียนต่างประเทศ มาพักที่บ้านท่านดู เนื่องจากลูกๆของท่านโตกันหมดแล้ว
คุณน้าผมท่านเลยหาโรงเรียน เอกชน ที่อยู่แถวๆบ้านของอาจารย์ท่านนั้น ให้ผมไปเรียนโดยให้ อ.เป็น Host family ให้ผม
หลังจากสรุปเรื่องที่พักได้ คุณน้าก็เดินเรื่องสมัครให้ผมย้ายไปเรียนต่อ ม.5 - ม.6 (เกรด 11-12) ที่โน่น
และนั่นคือเหตุให้ผมตอนนั้นในวัย 16 ปี หมาดๆ ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง แทบไม่เคยห่าง พ่อ แม่ เลยในชีวิตถามว่ากลัวไหม ก็กลัวนะครับ แต่ความอยากเผชิญโลกกว้างมันมากกว่าความกลัว
จำได้วันที่เดินทางออกจากสนามบินวันแรก พ่อ แม่ น้องๆ รวมถึงเพื่อนๆร่วมโรงเรียน มาส่งกัน มีพวงมาลัยคล้องคอด้วยนะครับ 555
ตอนเดินออกเพื่อเข้าไปตรวจพาสปอร์ทขาออก ผมมองเห็นคุณแม่ผมโบกมือและเห็นท่านตาแดงๆ ผมไม่กล้าร้องไห้ กลัวท่านจะเป็นห่วง
ผมรีบโบกมือแล้วหันกลับไป แต่ตอนหลังจากนั้นผมเดินไปแอบร้องไห้ที่ห้องน้ำ เป็นอะไรที่เคว้งมากๆครับ ขอบอก
ดูๆไปทุกๆอย่างเหมือนจะราบรื่นใช่ไหมครับ แต่จริงๆแล้วการไปอยู่ต่างแดนเนี่ยไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ
จริงๆแล้วรายละเอียดปลีกย่อยมันมีอีกเยอะพอสมควร ...
เพื่อเข้าเรื่อง ผมขอตัดข้ามมาถึงตอนช่วงที่เป็นเหตุให้โดนรังแกเป็นครั้งแรกเลยแล้วกันนะครับ
...ขอเท้าความอีกนิดหน่อยก่อนนะครับ เพื่อให้เข้าใจรายละเอียดประกอบได้ดีขึ้น
โรงเรียนที่ผมไปเรียนจะอยู่ในรัฐที่ค่อนข้างห่างไกลค่อนไปทางฝั่ง ต.ต.เฉียงเหนือ
นึกตามก่อนนะครับสมัยนั้นไม่มี อินเตอร์เน็ตไม่มีมือถือ คนแถวๆนี้ แทบไม่เคยเจอคนเอเซียมาก่อนเลย
ผมเป็นเด็กเอเซียคนเดียวในโรงเรียนนี้ นอกนั้นเป็นเด็กฝรั่งหมดเลยครับ 555
ส่วนคุณน้าผม ท่านเรียน U ในเมืองที่ห่างจากบ้านของอาจารย์ไปประมาณ 10 ไมล์เศษๆ และท่านก็ไม่มีรถยนต์
ผมเจอท่านวันแรกที่ไปรับที่สนามบิน พร้อมกับ Host Family คุยกัน พาไปที่บ้าน host แล้วหลังจากวันนั้น
ผมไม่ได้พูดภาษาไทย หรือ เจอคนไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน !!!!
ย้อนกลับมาที่โรงเรียน ....ช่วงซัมเมอร์ host ก็พาผมมาดูโรงเรียน ตอนนั้นท่านถามผมว่าชอบเล่นกีฬาอะไรไหม
ผมบอกไปว่า ฟุตบอล ท่านบอกดีเลย เดี๋ยวจะพาไปหา โค๊ช ให้เขารับเข้าซ้อมกับทีม ฟุตบอล ของโรงเรียน
ตอนนั้น ผมรู้จัก อเมริกันฟุตบอล นะครับ แต่ผมไม่นึกไงครับ ว่า ฟุตบอล ที่ผมเรียก มันหมายถึง อเมริกันฟุตบอล
ผมอยากเล่น ฟุตบอล หรือ บอลฯ แบบที่เราเล่นกัน ลูก กลมๆ เตะเข้าโกล์ อะไรแบบนั้น ....
จริงๆแล้ว ถ้าอยากเล่น บอลฯ ผมต้องบอกไปว่า I play Soccer นี่บอกว่า Football เลยเป็นคนละกีฬากัน !!! พลาดแล้วไงตรู....
เนื่องจากโรงเรียนนี้ไม่มีโปรแกรม Soccer สำหรับชาย มีแต่ทีม หญิง
โปรแกรมกีฬาอื่นๆใน Fall ก็จะเหลือแต่ กอล์ฟ กับ ทีมวิ่งระยะไกล Cross Country Running ซึ่งผมไม่อยากเล่นทั้ง 2 อย่าง
ตอนนั้นผมนึกว่ากีฬานี้แหละ เป็นกีฬาทีม เราจะได้รู้จักกับเพื่อนๆในทีมด้วย ดีออก หวยจึงมาออกที่ทีม Football
และที่ทีมฟุตบอลนี่เองที่ โชคชะตา พามาให้ผมได้มาเจอกับ โทนี่...
นึกสภาพ โทนี่ เป็นเด็กไอ้กัน ตัวโตๆ ไว้ผมหัวเกรียนๆ ผมสีน้ำตาล ตาสีน้ำตาล เป็นเด็กอเมริกันเชื้อสายทาง อิตาเลี่ยน
โทนี่เป็นรุ่นพี่ผม อยู่ชั้นเกรด 12 และเป็นหัวโจกในโรงเรียน
ตั้งแต่เข้ามาซ้อมกับทีม ผมโดน โทนี่ แกล้งมาหลายครั้ง มีตั้งแต่เอาของไปซ่อน แกล้งพูดจาถากถาง ดูถูก
เวลาซ้อม มันจะจงใจสลับคู่เพื่อเข้ามาชนกับผม และ มันจะชนแรงมากๆ จนผมกระเด็นกลิ้งไป
ทุกครั้งที่ผมโดนชน ผมจะรีบลุกกลับมาเพื่อเล่นต่อ มันก็จะเข้ามาผลักๆต่อ
จุดเดือดมันมาตรงที่ตอนเย็นหลักเลิกเรียน ระหว่างที่เปลี่ยนชุดจะไปซ้อมกันในห้องล๊อกเกอร์
ไอ้โทนี่ ก็พูดจาด่าผมเหมือนเดิมโดยมันบอกว่าผมเล่น Soccer ควรไปเล่นกับทีมหญิงน่าจะดีกว่า ไม่เหมาะกับเล่นทีมนี้หรอก
ความที่ผมเก็บกดมานาน ผมรู้อยู่ว่ามันตัวใหญ่กว่าเยอะ ถ้าชกกับมันตัวๆผมก็แพ้ จึงยอมอดทนกับมันมาเรื่อย
ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งล้อเยอะขึ้นเมื่อเห็นผมเฉยๆ ไม่ตอบโต้อะไรมาก
ผมคิดอยู่ตลอดในช่วงที่ผมโดนแกล้งว่าสักวันหนึ่ง ผมคงต้องตอบโต้มันไปบ้าง ให้มันรู้ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมมันหรอก เผื่อจะหยุดมันได้บ้าง
บังเอิญ วันนี้ตอนตอนระหว่างที่มันกำลังพูดจาถากถางผมนั้น ผมเหลือบไปเห็นโค้ชหลายคนยังอยู่ในออฟฟิศ
และตอนนั้นก็มีเพื่อนๆอยู่กันหลายคน ผมประเมินสถานการณ์แล้ว คงต้องมีคนมาช่วยห้าม และ โค้ชก็อยู่ ถ้าพลาดก็คงไม่โดนมันอัดเยอะ
ผมรีบใส่อุปกรณ์ จะมี Shoulder Pads หมวก เพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะเข้าไปอัดมัน
นึกถึงช๊อตนี้ ผมยังจำได้ดี ผมพุ่งเข้าแทคมันเลย ผมตะโกนไปดังๆว่า I can't stand it anymore this is it... Fu_K You !!!
ตอนนั้นทุกอย่างชุลมุน เพื่อนๆเข้ามาห้ามกัน กลิ้งกันไปมา ม้านั่งล้ม อุปกรณ์หล่นกันกระจาย
ผมโดนมันจับตรงหน้ากากหมวก แล้วทุ่มตัวลงที่พื้นแล้วมันก็นั่งทับผมไว้ ตอนนั้นผมใส่หมวกอยู่ จึงป้องกันหน้าผมไว้ได้
มันเลยต่อยลงที่ท้องของผม 2-3 ที แต่เอาเข้าจริงๆ มันเป็นการต่อยที่เบามากๆ เบาจนผมแปลกใจ
ถึงตอนนั้น โค้ช มาห้ามผมและโทนี่ออกจากกันแล้วนะครับ
โค้ชเรียกผม กับ โทนี่ ไปแยกกันคุย ผมจำรายละเอียดที่คุยไม่ค่อยได้ แต่จำได้ว่าเล่าไปประมาณว่าทนมันมานานแล้ว
จำได้ว่าสุดท้าย โค้ชให้ผมไปจับมือกับ โทนี่ ผมก็ sorry กับมันไปที่ผมสติหลุดจนพุ่งไปหามัน
ตอนผมจะเดินออกจากห้อง ผมจำคำที่โค้ชบอกผมไว้ได้ โค้ชบอกว่า You're small but you have big heart. แล้วโค้ชก็ยิ้มให้ผม
ผมจำได้ว่าหลังจากออกมาซ้อมกันต่อ เพื่อนๆหลายคนเข้ามาถามผมว่า Are you crazy ? แล้วบอกประมาณว่ามันตัวใหญ่กว่าเยอะ ทำไมไปสู้ ฯลฯ
หลังจากซ้อมเสร็จวันนั้น โทนี่ก็เข้ามาคุยกับผมปรกติ จนสุดท้ายมันมาบอกผมว่า ขอโทษที่มันล้อผมมากไปหน่อย
มันไม่คิดว่าผมจะโกรธขนาดนั้น ผมเลยโล่งใจที่มันไม่เข้ามาอัดผมต่ออีก ถือว่าผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี
ผมมานึกถึงเหตุการณ์อีกที โทนี่ จริงๆแล้วไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะมันสามารถชกผมแรงๆให้เจ็บก็ได้
ผมเลยเชื่อว่ามันคงไม่ได้อยากมีปัญหาที่มาอัดผมหรอก ผมโชคดีอีกอย่างที่เพื่อนๆคนอื่นในทีมไม่ได้เป็นแบบนั้น
ก็จะมีแต่โทนี่ ที่จะปากมากหน่อย แต่มันก็เป็นแบบนี้กับทุกคนเลย ผมเลยถึงบางอ้อว่ามันเป้นคนกวนๆแบบนี้เอง
ประสบการณ์ ครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ที่จะหลบหลีก และ ประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง พยายามตัดสินใจโดยไม่ได้ใช้อารมณ์ตัดสิน
ผมได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้ลูกๆฟัง และ ยังมีโอกาสได้สอนลูกคนเล็กผมในการแก้ปัญหา ตอนที่น้องถูกเพื่อนคนหนึ่งแกล้งตอน ม.1 ด้วย
ซึ่งปัญหานั้นก็ผ่านมาด้วยดี และ ทำให้ลูกผมได้เรียนรู้ทักษะที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้มาอีกอย่าง
ไว้เรื่องลูกถ้ามีเพื่อนๆสนใจ ผมจะมาแชร์เรื่องราวให้ฟังอีกนะครับ วันนี้ผมขอจบตามที่จั่วหัวไว้เท่านี้ก่อน
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ .... ^^