มีเรื่องผีอยากเล่าให้ฟัง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเจอกับตัวเอง เรื่องอาจจะฟังดูงงๆนิดนึงเพราะผมเล่าไม่ค่อยเก่ง ผมเป็นคนเหนือ บางคำอาจฟังแปลกๆก็ขอโทษด้วยนะครับ เรื่องนี้ทีแรกผมก็ลืมๆไปบ้างแล้ว จนมีเรื่องเล่าแปลกๆที่คล้ายๆกันเกิดขึ้น ผมกับเพื่อนเลยต้องโทรปรึกษากันและรื้อฟื้นมันขึ้นมาใหม่ บางตอนอาจเพิ่มความอรรถรส แต่ก็มาจากเรื่องจริงที่ผมและเพื่อนๆเจอครับ เรื่องอาจไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่สำหรับผมตอนนั้นกลัวแทบตาย

          เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีก่อนที่จังหวัดของผม ตอนนั้นผมอายุประมาณ 17 ปี บอกก่อนเลยว่าผมเรียนค่อนข้างดีและชอบสังสรรกับเพื่อนๆ แต่เหล้าบุหรี่ไม่เคยแตะเลย(อยากลองอยู่นะ แต่ทางบ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องอบายมุก กลัวจะเสียการเรียนด้วยแหละมั้ง) ผมมีเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 6คน ซึ่งสนิทกันมาก มีผู้ชายรวมผมแล้วก็เป็น 2คน นอกนั้นเป็นผู้หญิง 4คน เราสนิทกันถึงขั้นที่ทุกวันจะต้องรวมตัวกันที่บ้านใครสักคนจนดึกดื่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม นอนด้วยกัน นอนทับกันก็มี บ้านเพื่อนก็เหมือนบ้านเรา ถึงในกลุ่มจะมีสองคนที่เป็นรุ่นพี่ซึ่งแก่กว่าประมาณ 2-3 ปี แต่พวกผมก็ยังถือกันเป็นเพื่อน พูดกันหยาบคายจนเป็นเรื่องปกติ
          
          วันหนึ่งพวกผม 6คน ก็กินเลี้ยงวันสงกรานณ์กัน จำได้ว่าเป็นวันที่ 14 เมษา 57(ที่จำได้แม่นคือหลังจากวันนั้นเป็นวันรดน้ำดำหัวที่ 15) พวกผมนัดกันที่บ้านเพื่อนผู้หญิงคนนึง ผมขอแทนว่า เอ บ้านเอเป็นบ้านหลังใหญ่ มีพ่อแม่ คุณปู่แล้วก็คุณย่าของเอ ตัวบ้านเป็นบ้าน 2ชั้น ชั้นล่างจะมีส่วนที่เป็นห้องกับส่วนที่เป็นลานจอดรถ เรานัดกันประมาณ 6โมง เพื่อเตรียมของทำหมูกระทะกินกัน วันนี้พ่อของเอไม่อยู่บ้าน เอเลยชวนกินเหล้าที่ลานจอดรถ
          ในกลุ่มนี้ผมกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน(แทนว่าบี เป็นรุ่นพี่) ผมกับบีเราสนิทกันมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งเราชอบโดนล้อว่า เป็นแฟนกัน แต่ผมก็ไม่ว่าอะไร เห็นว่ามันขำดี คืนนั้นพวกเราตกลงซื้อเหล้ามากินกัน ซึ่งผมก็โดนบังคับให้กินตามระเบียบ เป็นครั้งแรกที่ดื่มสุรา ก็รู้สึกมึนๆ แต่รู้ตัวดี ไม่เมามาก เราก็นั่งกินกันไป เม้ากันไปจนถึงห้าทุ่มกว่าๆ แม่ของซี(แทนเพื่อนผู้หญิงที่เป็นรุ่นพี่อีกคน)ก็โทรเรียกให้ซีกลับบ้าน เพราะพรุ่งนี้ซีต้องไปรดน้ำดำหัวญาติที่ต่างจังหวัด ต้องเดินทางแต่เช้า พวกผมก็โอเคจะพากันไปส่งซีที่บ้าน ตอนนั้น ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ มีฟ้าร้องและลมไม่แรงมาก
          ด้วยความที่รักเพื่อนก็อยากจะไปส่งกันให้ครบแก๊งค์ ถึงบางคนเมาจนคุยแทบไม่รู้เรื่องก็ยังยืนยันจะไปส่ง เรามีกัน 6คน มอไซค์ 3คัน ซึ่งผมก็ต้องไปกับบีอยู่แล้ว บ้านเอกับซีไม่ไกลกันมาก ราวๆ 3 กิโลเมตร แต่ทางเป็นถนนมืดๆและไม่ค่อยมีบ้านคนเท่าไหร่ ทีแรกผมอยากให้ซีอยู่ด้วยกันก่อน เพราะฝนเหมือนจะเริ่มหนักขึ้น แต่ซีก็ยืนยันจะกลับเพราะไม่อยากให้แม่ดุ เดี๋ยววันรดน้ำดำหัวจะไม่ได้ตัง พวกผมจึงขับรถออกจากบ้านเอ ผมไปคันสุดท้าย อยู่หลังสุด เพื่อไปส่งซี ระหว่างทางฝนก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมที่มึนๆอยู่ก็เริ่มจะหายบ้างแล้ว ตอนนั้น มีรถยนต์ขับตามหลังพวกเรามา แสงไฟจากรถยนต์สว่างมากพอที่จะส่องเงาของพวกผมให้เห็นชัดขึ้น ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอผมขับผ่านป้ายข้างทาง เงาของผมที่กระทบป้ายมีอยู่สามคน ผมเห็นผมก็ตกใจนิดๆ ก่อนจะคิดได้ว่าคงเป็นเพราะยังมึนๆอยู่บวกกับฝนที่เริ่มจะหนักขึ้นทุกที แต่แล้วบีก็ถามผมว่า เมื่อกี้เห็นมั้ย ผมก็บอกว่า เห็น แต่ห้ามทัก รอถึงบ้านก่อนแล้วค่อยพูด บีก็เงียบไป ตอนนั้นใจผมเริ่มไม่ดีแล้ว คิดไปต่างๆนาๆ แต่ไม่กล้าพูดตามความเชื่อว่า ถ้าเห็นอะไรแปลกๆข้างทางตอนกลางคืนห้ามทัก ผมก็ใจแข็งขับต่อไป บีก็ขยับออกไปเพื่อนั่งให้เต็มเบาะ กลัวมีอะไรมาซ้อน เบาะรถตรงไหนว่างๆ บีก็เอามือไปวาง แล้วพูดว่า รถเต็มแล้วนะ... ผมยิ่งหลอนเข้าไปใหญ่
          
          ขณะที่ขับไปเรื่อยๆ ฝนเริ่มตกขึ้นหนัก ฟ้าร้องฟ้าแลบ มองไม่ค่อยเห็นทาง แต่โชคดีที่ลมไม่แรงมาก เอ็ม(แทนเพื่อนผู้ชายอีกคนซึ่งไปกับอาร์แทนเพื่อนผู้หญิงที่ซ้อน) เอ็มขับรถไปจอดที่ศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมหน้าซอยทางเข้าบ้านซี เป็นศาสาเดี่ยว โดยรอบเป็นหญ้าและทุ่งนา ซึ่งเป็นศาลาที่ค่อนข้างเก่า หลังคาเป็นสังกะสี มืดๆไม่มีไฟ เอ็มบอกว่าจอดพักรถตรงนี้ก่อน ขับไปมันอันตรายมากเพราะเข้าซอยไป 1 กิโลเมตรกว่าจะถึงหมู่บ้านซีและข้างทางเป็นทุ่งนา ถนนเป็นหลุมเยอะ มืดก็มืด แถมรั้วกั้นข้างทางก็ไม่แข็งแรง บวกกับฝนตกหนักและเมากันอยู่ด้วย เราตัดสินใจหลบฝนกันที่ศาลานั้น เนื่องจากไม่มีไฟ เราจึงเปิดไฟจากมอเตอร์ไซค์ส่องเข้ามา และศาลาที่เป็นช่องลมก็จะมีเสียงลมเป่าเบาๆ เสียงฝนกระทบสังกะสี
          ผมกับบีก็มองหน้ากันและรู้กันเป็นนัยว่าจะไม่เข้าไปนั่งเนื่องจากมีเรื่องเงาเมื่อกี้เป็นทุนเดิม เราสองคนจึงขอยืนตรงส่วนที่มีหลังคายืนออกมาดีกว่า เอ็มก็ถามว่าเป็นอะไร? ผมสองคนไม่กล้าพูดเลยบอกไปว่าเจออะไรแปลกๆ "กูว่า เรารีบขับไปให้ถึงบ้านซีกันเถอะ กูรู้ว่ามันอันตราย แต่เราขับไปกันช้าๆก็ได้" ผมเสนอไปแบบนั้น แต่เอ็มก็บอกว่าอยากจะโดนฟ้าผ่ารึไง รอก่อนดีกว่า ผมกับบีเริ่มขนลุก ไม่รู้ว่าหนาวหรืออะไร ไม่นานอาร์ก็บอกว่า ไม่อยากนั่ง เพราะเห็นขนมเทียนกับขวดน้ำแดงวางอยู่ที่ม้านั่งในศาลา ซึ่งทุกคนก็เริ่มใจไม่ดี เอ็มก็บอกว่า อย่าคิดมาก แล้วมันก็เดินไปนั่งที่ม้านั่งอีกตัว เอกับซีก็ไปนั่งด้วย อาจเพราะความเมาเลยยืนไม่ค่อยไหว แล้วเอก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเกาแขนเกาขาดังมาก จนเอถึงกับพูดออกมาว่าจะเกาอะไรนักหนา ผมกับบีเริ่มสั่น เพราะเท่าที่ดูก็ไม่มีใครเกาอะไรเลยสักคน สงสัยจะเมาล่ะมั้ง เราก็คิดกันแบบนั้น
          ไม่นานก็มีเสียงไอ พวกผมก็มองหน้ากัน เสียงไอมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินชัด เอมันก็โวยวาย โอ้ยยยย รำคาญ! ผมกับบีถึงกับสะดุ้ง บีมันบอกว่าจะกลับแล้ว ใครไม่กลับก็นอนอยู่ที่นี่ละกัน ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย ซีก็บอกว่า ถ้าจะกลับ ก็กลับไปบ้านเอเลย ไม่ต้องไปส่งซีแล้ว ซีก็ไม่กลับบ้านแล้วเหมือนกัน ผมก็เห็นด้วยอีก เพราะถ้าดูจากทางแล้ว ถ้าจะขับเร็ว กลับไปบ้านเอ น่าจะปลอดภัยกว่า
          ขณะที่คุยกัน เอก็โวยวายอีกว่า "จะมาเบียดกูทำไมวะ ที่นั่งตั้งเยอะแยะ ขยับไป!" ผมกับบีเลยถามย้ำว่า "จะกลับไม่กลับ ถ้าไม่กลับกูกลับละนะ" เอ็มก็พยักหน้าบอกว่า กลับก็ได้ เพราะถ้าอยู่ ไม่รู้เอมันจะทำอะไรอีก ยิ่งเมาๆอยู่ด้วย พวกผมจึงตัดสินใจขับรถกลับบ้านเอ เอาวะ! ฟ้าผ่าก็ผ่ามาเถอะ
          เนื่องจากรถมันต้องสตาร์ทไว้อยู่แล้วเพราะต้องเปิดไฟส่องศาลา ผมจึงพร้อมที่จะขับกลับทันที หลังจากที่เอมันขึ้นรถ มันก็คันแล้วมันก็เกา เกาไม่หยุด เกาจนแขนและคอแดงไปหมด บีก็บอกว่ารีบกลับเถอะ กูกลัว! ผมก็เห็นด้วยเลยขับรถออกไปนิดหน่อยเพื่อให้เห็นว่า รีบๆสิ กูกลัว หลังจากที่ทุกคนขึ้นรถเราก็รีบขับกลับทันที่
          จนถึงบ้านเอ เราก็จอดรถและกำลังจะเข้าบ้าน คุณปู่ของเอที่ออกมายืนรอหน้าบ้านก็บอกว่าให้ถอดรองเท้าด้วย ถอดตั้งแต่หน้าลานจอดรถเลย ผมก็งงว่าทำไมต้องถอด แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรมากแล้วตอนนี้ ถ้าปู่สั่ง เราก็ถอด พวกผมช่วยกันถอดรองเท้าให้เอแล้วพามันขึ้นไปนอน ปู่ของเอก็พูดขึ้นมาว่า "ให้เข้าบ้านแค่ 6คนนี้นะ" บีมันก็งงแล้วก็มองหน้าปู่ ปู่ก็บอกว่า ไม่มีอะไรหรอก ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นอนเถอะ ตอนที่กำลังพาเอเข้าบ้าน เอมันก็บ่นว่า เมื่อกี้ตอนขับรถกลับ มีผู้ชายวัยรุ่นวิ่งตามรถมา แกว่งแขนสบัดไปมาเหมือนคนแขนจะหลุด แต่ไม่พูดไม่จาสักคำ แถมเอมันยังพูดติดตลกว่า "หล่อด้วยนะ" ทุกคนขนลุกซู่ แล้วรีบพาเอไปนอน ส่วนซีก็โทรให้พ่อมารับพรุ่งนี้เช้าที่บ้านเอ ซีมันโดนด่านิดหน่อยแต่ก็ไม่ยอมกลับไปนอนคนเดียวที่บ้าน
          คืนนั้นเป็นคืนที่พวกผมนอนไม่หลับ บีมันเล่าทุกอย่างตั้งแต่ที่มันรู้สึกแปลกๆ เห็นเงาสะท้อน แล้วก็เสียงเกา จนถึงรู้สึกเหมือนมีคนวิ่งตามรถมา บีมันบอกว่าจนตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนว่าคนที่วิ่งตามรถเขายืนตากฝนอยู่หน้าบ้าน เอ็มก็บอกว่าอย่าคิดมาก นอนกันเถอะ ซึ่งผมกลับรู้สึกว่าใครจะไปหลับลงวะ แต่พวกผมกลับหลับไปกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็สิบโมงแล้ว บีมันก็ไปถามปู่ว่า "เมื่อคืนทำไมต้องถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน" คุณปู่ก็งง ปู่บอกว่าเมื่อคืนปู่กับย่าหลับกันตั้งแต่ 4 ทุ่มแล้ว ปู่ได้ยินเสียงขับรถออกไป แล้วก็กลับมาแค่นั้นแต่ปู่ไม่ได้ออกมาดูเลย บีถึงกลับอึ้งแล้วเล่าทุกอย่างให้ปู่ฟัง ปู่บอกว่าให้ไปไหว้ศาลพระภูมิที่อยู่หน้าบ้านแล้วขอบคุณท่านด้วยนะ บีก็มาบอกให้พวกเราเตรียมของไหว้ศาลตามที่ปู่บอกว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
           ตอนตื่น เอมันบ่นว่ารองเท้ามันหาย สงสัยเป็นเพราะผู้ชายเมื่อคืนเอาไปแน่ๆ พวกเราก็เล่าให้มันฟัง มันก็ตกใจแล้วก็บอกว่า มันรู้สึกคันมาตลอดทางจนถึงบ้านก็หายคัน แล้วก็เลยช่วยเตรียมของไปไหว้ศาลด้วย ตอนทำพิธีไหว้ ปู่แกก็พูดเป็นภาษาเหนือท้องถิ่นเดิม ผมก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง รู้สึกขนลุกซู๋ไปด้วย

           ผมแทบไม่เชื่อว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น พวกผมสงสัยก็เลยพากันไปถามปู่ว่ามันมีอะไรที่ศาลา ปู่บอกว่า จำเรื่องที่...ชื่อผู้ชายคนนั้น....โดนรถชนตายได้มั้ย เราก็พยักหน้าจำได้ๆ ปู่บอกว่า เขาโดนรถชนแล้วกระเด็นไปที่โพรงหญ้าคาข้างศาลา(หญ้าคา หญ้าที่มันคันๆอ่ะ ไม่รู้ภาษากลางเรียกว่าอะไร) เขาตายตรงนั้น เมื่อสงกรานต์ปี 2555 จำไม่ได้ว่าวันอะไร
          ผมได้ยินถึงกับขนลุก เพราะปกติเคยเห็นแต่เส้นขาวๆที่ถนนเวลาเกิดอุบัติเหตุแค่นั้น ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ จากวันนั้น ซีมันก็ไม่ใช้เส้นทางนั้นพักใหญ่ มันจะอ้อมไปอีกทางซึ่งไกลหน่อยแต่ก็ยอม หลังจากวันนั้นพวกผมก็พากันไปนอนด้วยกันเป็น 2-3สัปดาห์ บ้านผมบ้าง บ้านบีบ้าง สลับกันไป ไม่กล้านอนคนเดียว พากันไปทำบุญเยอะขึ้น ทำอะไรได้ก็ทำ ปล่อยนกปล่อยปลาปล่อยเต่า ใส่บาตร ไหว้พระ ขนทรายเข้าวัด ถวายสังฆทาน ทำหมดทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ก็รู้สึกสงบขึ้นเยอะ
         
          เรื่องมันก็ผ่านไป ผมก็มาเรียนมหาลัย จนถึงเมื่อวานที่ผมกลับบ้านก็มีเรื่องราวคล้ายๆกันจากนักท่องเที่ยวที่พักทานอาหารกลางวันแถวนั้นบ้าง จากคนในพื้นที่บ้าง ว่าเวลาไปนั่งที่ศาลา บ้างก็คันแปลกๆ บ้างก็ไอไม่หยุด บ้างก็รองเท้าหาย ไม่รู้หายไปไหน คนแถวนั้นเขาเล่ากันไปต่างนาๆว่าทำไมรองเท้าถึงหาย บ้างก็ว่าไปเหยียบที่เขาก็ต้องเอารองเท้าให้เขา บ้างก็บอกตอนตายรองเท้าหายเลยอยากหาใหม่ ผมก็ฟังๆไป แต่ก็ไม่เคยไปจอดรถแถวนั้นอีกเลย
ผมโชคดีที่บ้านอยู่ไกลจากแถวนั้นเกือบ 10กิโลเมตร นี่ก็ใกล้สงกรานต์อีกแล้วด้วย  เลยมาเล่าให้ฟัง ขับรถระมัดระวัง ดื่มสุราหรือของมึนเมาไม่ควรขับรถนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่