เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 6 ความลับระหว่างเราสองคน

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ 6 ความลับระหว่างเราสองคน

              “ผมบอกพวกคุณแล้วใช่ไหมว่าเจ้ารักมันทำได้”

              เสียงวินัยเต็มไปด้วยความชื่นชมหลังจากที่ทุกคนพูดคุยกันถึงเรื่องการติดต่อกับลูกค้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรักตปักษ์ สินธุพยักหน้าหงึกหงักแต่ไม่พูดอะไรเพราะเทมากิชิ้นใหญ่ยังคาอยู่ในปาก ส่วนนำชัยซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อมือพนักงานรุ่นน้องในตอนแรก ผงกศีรษะช้าๆ

          “ต้องยอมรับว่าคุณเป็นคนมีฝีมือ แต่แค่นี้ยังไม่นับว่าเก่งหรอกนะ”

          เขาเตือนด้วยความหวังดีเพราะกลัวว่าคำชมจากเพื่อนจะทำให้เด็กเหลิงจนเสียคน วินัยเลยตบหลังนำชัยดังอั้ก ก่อนพูดเสียงดัง

          “พูดแบบนั้นได้ไงวะชัย เด็กเก่งเราก็ต้องชม มันจะได้มีกำลังใจ”

          “ผมรู้ครับ แต่มากไปมันก็ไม่ดี ใช่ไหม” คำสุดท้ายหันไปถามรักตปักษ์ เขาส่งยิ้มให้และพยักหน้ารับพร้อมกับรับคำเบาๆ

          “ครับ”

          “แต่รุ้งว่าคุณรักตปักษ์เนี่ยเก่งจริงๆนะคะ บริษัทญี่ปุ่นเจ้านี้ลือกันให้แซ่ดว่าทั้งเขี้ยวทั้งเค็ม รุ้งเองยังไม่กล้ารับมือเลย”      

          รุ้งมณีรีบสอดขึ้นมาและชม้ายตาไปทางชายหนุ่ม ซึ่งพอวินัยเห็นแล้วอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้ ครั้นจะเบรกก็ใช่ที่เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการส่งเสียงกระแอมออกมาดังๆ  

          “อะแฮ่ม มีใครอยากสั่งอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถามเพราะซาชิมิเรือเซ็ตใหญ่ที่สั่งมาเมื่อครู่พร่องไปจนเกือบหมดจาน สินธุจึงยกมือ

          “ผมขอกุ้งโบตั๋น”

          “ผมเอาซูชิท้องปลาแซลมอนสองชุด” นำชัยพูดพลางใช้ตะเกียบคีบซาบะดองยัดใส่ปาก วินัยทวนรายการของทุกคนซ้ำอีกครั้งขณะที่พนักงานกำลังจด

          “คนอื่นล่ะ” เขาถามพลางหันไปทางรักตปักษ์ ชายหนุ่มชำเลืองตาไปทางหัตถ์เทพและเม้มปากน้อยๆ ก่อนบอก

          “ผมขอซูชิไข่ปลาแซลมอน” คำพูดหยุดค้างเมื่อหวนนึกถึงตอนเชฟไอระหยิบไข่ปลาที่ติดอยู่ตรงลำคอ ถึงจะไม่โดนตรงๆหากสัมผัสละมุนจากปลายนิ้วทำให้นึกถึงทีไรเป็นต้องใจเต้น รักตปักษ์เองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเหตุใดถึงเป็นแบบนั้น แต่การถูกผู้ชายด้วยกันมาแตะเนื้อต้องตัวมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

          หรือหมอนั่นกำลังคิดอะไรกับเขา

          คำถามผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อไล่มันออกไป

          ไร้สาระน่ารักตปักษ์ ที่ทำแบบนั้นเพราะไอ้เชฟบ้านั่นต้องการยั่วประสาทแกต่างหาก

          ชายหนุ่มบอกตัวเองก่อนหันกลับไปให้ความสนใจเพื่อนร่วมงานที่กำลังนั่งสรวลเสเฮฮากันอย่างครื้นเครง แว่วเสียงรุ้งมณีกระซิบเบาๆ อยู่ข้างใบหู

          “รุ้งไม่รู้จะสั่งอะไรดี ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมคะ”

          รักตปักษ์มองหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังถือเมนูนั่งเอียงหน้ามาทางเขา ไม่ต้องมีประสบการณ์ช่ำชองอย่างรุ่นพี่ทั้งสาม ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังทอดสะพานให้แบบไม่มีการมิดเม้ม แน่นอนว่าเขาไม่สนใจที่จะรับ ครั้นจะบอกปัดไปตามตรงคงไม่สุภาพ รักตปักษ์จึงขยับถอยตัวให้ห่างออกมาหน่อยก่อนหยิบเมนูของตัวเองขึ้นมา

          “คนรักษาสุขภาพอย่างคุณรุ้งคงต้องระวังเรื่องไขมันกับแคลอรี่ งั้นก็ต้องเป็นพวกซูชิที่มีส่วนประกอบของผัก อย่างแตงกวาหรืออะโวคาโดก็เข้าท่าดีนะครับ”

          เรียวปากสีแดงฉ่ำของรุ้งมณีโค้งเป็นรอยยิ้มก่อนเจ้าตัวจะยื่นหน้าเข้าไปดูเมนูในมือของรักตปักษ์

          “งั้นรุ้งคงต้องรบกวนขอให้คุณช่วยสั่งให้หน่อย ได้ไหมคะ” สาวเจ้าทิ้งคำพูดขอร้องเชิงบังคับกลายๆ เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับแอบถอนใจ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากสั่ง วินัยซึ่งเปรียบเสมือนพระเอกขี่ม้าขาวก็โดดเข้ามาช่วย

          “มัวยืดยาดอะไรอยู่ มานี่ผมสั่งให้เอง” ไม่พูดเปล่ารุ่นพี่ตัวแสบยังดึงเมนูไปจากมือ หันไปทางพนักงานร้านและจิ้มนิ้วลงไปลวกๆ “พี่ขอนี่ นี่กับนี่อีกอย่างละชุด อ้อ ขอเบียร์เพิ่มด้วยนะ”

          สั่งเสร็จก็ส่งเมนูคืนให้พนักงานก่อนจะหันไปยักคิ้วให้รักตปักษ์ โดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจรุ้งมณีที่กำลังค้อนปะหลับปะเหลือก

          “วันนี้เบียร์เย็นกำลังดีแถมปลาก็สดใช้ได้ ผมชอบไข่หอยเม่นจัง ถึงจะคาวนิดๆแต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกลิ่นของทะเลเลย ว่ามั้ย”

          วินัยหาเรื่องชวนคุยระหว่างรออาหาร สินธุพยักหน้าจนแก้มกระเพื่อมแต่ไม่ได้พูดอะไร นำชัยคีบปลาดิบชิ้นสุดท้ายใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ และไม่พูดอะไรเช่นเดียวกัน รักตปักษ์จึงต้องทำหน้าที่นั้นแทน

          “วันก่อนเชฟแนะนำให้ผมกินสึจิโกะ ขอบอกเลยครับว่าอร่อยมาก”

          ชื่อของมันคงแปลกพอควร เพราะสินธุหูผึ่งทำตาโต “มันคืออะไรเหรอ”

          “ไข่ปลาแซลมอนครับ แต่เป็นไข่ปลาสดที่ยังไม่ได้ดองโชยุแบบอิคุระ” ชายหนุ่มอธิบาย และยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าสนอกสนใจ “แต่มันไม่ใช่ของที่จะมีทุกวันหรอกครับ ดูเหมือนวันนี้ก็ไม่มี”

          “คุณรู้ได้ยังไง” สินธุถามด้วยความสงสัย เพราะเขาเองก็อ่านป้ายเมนูพิเศษเกือบทุกอัน แต่ไม่เห็นเมนูที่รักตปักษ์พูดถึงเลย ชายหนุ่มจึงชี้ไปยังกระดานซึ่งมีตัวอักษรญี่ปุ่นยุ่บยั่บไปหมด

          “ทางร้านบอกเอาไว้น่ะครับ”

          รุ่นพี่ทั้งสามรวมถึงรุ้งมณีต่างมองรักตปักษ์เป็นตาเดียว “คุณอ่านภาษาญี่ปุ่นออกด้วยหรือ”

          เสียงของวินัยเต็มไปด้วยความทึ่งขณะถาม อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนตอบสั้นๆ

          “ครับ”

          ทุกคนต่างอึ้งในคำตอบ ยกเว้นรุ้งมณีที่ส่งเสียงกรี๊ดออกมาเบาๆ เธอฉวยโอกาสวางมือลงบนแขนของรักตปักษ์ กระแซะตัวเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนเอียงคอฉอเลาะ

          “คุณรักตปักษ์เนี่ยเก่งไปหมดทุกอย่างเลยนะคะ รุ้งเองก็อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น วันไหนว่างๆช่วยสอนให้หน่อยได้ไหมคะ”

          รักตปักษ์ยิ้มเหยค่อยๆ ดึงแขนออกจากมือของหญิงสาว กระเถิบตัวถอยห่างออกมาอีกหน่อยก่อนตอบทีเล่นทีจริง

          “มันก็ต้องดูด้วยครับว่าคุณมีเวลาว่างตอนไหนบ้าง”

          “คงไม่ได้หรอกมั้ง ก็เจ้ารักน่ะมันต้องวิ่งตะลอนส่งของทั้งวัน ไม่มีเวลามาสอนอะไรใครหรอก” วินัยซึ่งนั่งดูอยู่นานโพล่งขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ เขารู้จักนิสัยรุ้งมณีดีว่ามีนิสัยหลงตัวเอง ชอบหว่านอ้อยไปทั่ว เจอใครน่าสนใจเป็นต้องเข้าไปทอดสะพานแต่พออีกฝ่ายตกหลุมพรางก็หันหลังให้ทิ้งเขาไปเสียอย่างนั้น หากเป็นคนอื่นเขาคงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่กับรุ่นน้องที่มีอนาคตไกลอย่างรักตปักษ์ เขายอมรับว่าทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเด็กคนนี้โดนแม่เสือสาวหลอกกินไข่แดง

          “แหม หวงกันจังเลยนะคะ เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย” รุ้งมณีค้อนขวับกระแทกเสียงประชด ความที่คุ้นนิสัยกันดีวินัยจึงไม่ถือโกรธแต่กลับแกล้งทำเป็นกรีดนิ้วสะบัดสะบิ้ง

          “อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้อีกหรือครับ” เขาดัดเสียงแถมทำท่าดีดดิ้นจนเพื่อนที่มาด้วยกันแทบจะถีบออกจากร้าน

          “หยุดเลยไอ้นัย กูคลื่นไส้ว่ะ” สินธุพูดกลั้วหัวเราะ ส่วนนำชัยขำจนน้ำตาเล็ด รักตปักษ์มองรุ่นพี่ทั้งสามโดยไม่พูดหรือแสดงกริยาอะไร แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้น

          “ผมขอไปห้องน้ำนะครับ”

          พูดจบก็เดินออกจากกลุ่มไปดื้อๆ แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มกลับเลี้ยวไปทางประตูหน้าแล้วเดินเรื่อยเปื่อยเหมือนคนใจลอยเข้าไปในลานจอดรถจักรยานยนต์ แต่ยังไม่ทันไปถึงคามุยอิพาหนะคู่ใจ หางตาของเขาก็เห็นเงาคนกำลังเคลื่อนไหว พอหันไปมองรักตปักษ์ต้องเลิกคิ้วด้วยความสนเท่ห์ เมื่อเห็นเชฟคู่กัดกำลังยืนเป่าฟองสบู่เล่นอย่างเพลิดเพลิน

          เฮอะ ! โตเป็นควายแล้วยังเล่นเป็นเด็กอยู่อีก

          รักตปักษ์ค่อนแคะในใจก่อนค่อยๆ จรดปลายเท้าย่องเข้าไปใกล้อย่างเงียบกริบ มือล้วงกระเป๋าดึงสมาร์ตโฟนออกมาบันทึกภาพหัตถ์เทพในอิริยาบถต่างๆ ทั้งแบบภาพนิ่งและวีดิโอ กดชัตเตอร์จนจุใจแล้วเขาก็เก็บโทรศัพท์ ยืดตัวขึ้นพร้อมกับแกล้งไอออกมาดังๆ

          “อะแฮ่ม!”

          ได้ผลเพราะเชฟใหญ่สะดุ้งเฮือกหันหน้ามามอง พอเห็นว่าเป็นใครเขาก็หน้าเจื่อนไปเล็กน้อยก่อนรีบปรับให้เป็นปกติพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์

          “คุณรักตปักษ์ มาทำอะไรแถวนี้ครับ” หัตถ์เทพเอ่ยทักขณะซ่อนกระบอกเป่าฟองไว้ด้านหลัง หมุนฝาปิดยัดใส่กระเป๋ากางเกง แต่การกระทำของเขาไม่รอดพ้นสายตาคมดุจเหยี่ยวของอีกฝ่าย รักตปักษ์อมยิ้มมุมปากเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนย้อนคำถามเดียวกันกลับ

          “แล้วคุณหัตถ์เทพล่ะครับ มายืนทำอะไรตรงนี้”

          “ได้เวลาพักน่ะครับเลยออกมาสูดอากาศข้างนอกหน่อย แต่เดี๋ยวก็ต้องกลับทำงานต่อแล้วละครับ” หัตถ์เทพตอบเสียงนุ่มเหมือนอย่างเคย “แล้วคุณล่ะครับออกมาทำไม งานเลี้ยงเลิกแล้วหรือ”

          รักตปักษ์ยังไม่ตอบในทันที เขายืนกอดอกกวาดตามองไปรอบๆก่อนเงยขึ้นมองฟ้า

          “ข้างในมันร้อนผมเลยออกมารับลมชมดาวเล่น” เขาลดตาลงมองเชฟตรงหน้าและคลี่ยิ้มอย่างเกเร “แถมยังได้เห็นอะไรดีๆ ด้วย”

          ประโยคสุดท้ายทำให้หัตถ์เทพรู้เลยว่า อีกฝ่ายเห็นความลับของเขาเข้าแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไร ฟองสบู่ที่เป่าเมื่อครู่ก็ถูกลมพัดมาลอยกั้นกลางระหว่างเขาสองคน เชฟหนุ่มถึงกับนิ่งเพราะคาดไม่ถึง ส่วนรักตปักษ์กลับมองเขาด้วยสายตาของนักสืบชื่อดังที่รู้ว่าคนร้ายคือใคร

          “ดึกป่านนี้แล้วยังมีคนเป่าสบู่เล่นอีกหรือเนี่ย” พูดพลางหมุนศีรษะมองไปรอบๆ “แถวนี้ไม่มีเด็กสักหน่อย แล้วฟองนี่มาจากไหนกันนะ”

          “อาจจะลอยมาจากที่อื่น” หัตถ์เทพตั้งข้อสังเกตทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เชื่อ ซึ่งก็จริงเพราะรักตปักษ์เลิกคิ้ว ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง

          “แต่ผมว่ามันน่าจะมาจากแถวนี้แหละ” พูดพร้อมกับดึงสมาร์ตโฟนออกมา สไลด์หน้าจอไปที่วีดิโอจ้องภาพที่กำลังเคลื่อนไหวก่อนชายตาไปทางหัตถ์เทพ “เจอแล้ว”

          ปากรูปกระจับเผยอรอยยิ้มร้ายที่สุดนับตั้งแต่ได้เจอกัน แต่หัตถ์เทพกลับมองว่ามันดูน่ารักจนเขายอมตกเป็นเบี้ยล่างปล่อยให้อีกฝ่ายข่มตามสบาย

          “งั้นหรือครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่ใส่ใจ “แล้วคุณจะทำยังไง จับส่งตำรวจ?”

          “ผมอยากลงโทษเองมากกว่า” รักตปักษ์พูดด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มของผู้มีชัย “แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะใช้วิธีอะไรดี จริงสิ! คุณพอจะช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม ไอระซัง”

          เน้นเสียงตรงชื่ออย่างเจาะจงก่อนหันหน้าจอไปทางหัตถ์เทพ และยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายกำลังเต้นระริก รู้ตัวตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วไอ้เชฟบ้าคราวนี้กูจะแกล้งแกให้สนุกไปเลย รักตปักษ์คิดอย่างลำพองก่อนหมุนสมาร์ตโฟนมาเปลี่ยนให้เข้าหน้าแกลลอรี่ เปิดไฟล์กล้องขึ้นมาแล้วใช้นิ้วปัดไล่ไปทีละภาพ

          “คุณตอนกำลังเป่าฟองสบู่ก็ดูดีนะครับ” ชายหนุ่มพูดเหมือนชมก่อนเหลือบตามองหัตถ์เทพที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติง “แต่ถ้าลดอายุลงไปสักสิบห้า ไม่สิ ยี่สิบปีมันคงจะน่ารักกว่านี้มาก”

          เห็นหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนตรงหน้าแล้วรักตปักษ์รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก พนันได้เลยว่าหมอนั่นจะต้องเก็บเรื่องการเป่าฟองสบู่ไว้เป็นความลับ ไม่มีวันบอกให้ใครรู้ และเขาจะเอาจุดอ่อนอันนี้แหละมาเป็นเครื่องชำระแค้นให้หนำใจ

          “ถ้าโพสต์ลงเฟซบุ๊คคงมีคนมากดไลค์กันเพียบ ก็แหม เชฟร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังย่านอโศกเล่นอะไรเหมือนเด็กปัญญาอ่อนแบบนี้มันน่าสนใจออกจะตายไป ว่างั้นมั้ยคุณหัตถ์เทพ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่