เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 9 สิ่งที่ไม่ควรทำในวันหยุด

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ 9 สิ่งที่ไม่ควรทำในวันหยุด

          ฝนตก

          มันคือคำแรกที่ผุดในหัวของรักตปักษ์เมื่อลืมตาและได้ยินเสียงซ่าดังจากหน้าต่าง โชคดีตรงวันนี้เขาหยุด เลยไม่ต้องขี่เจ้าคามุยอิ มอเตอร์ไซค์แสนรักฝ่าถนนเฉอะแฉะไปทำงาน แต่ฝนตกตอนเช้าแบบนี้ร้านปาท่องโก๋กับโจ๊กปากซอยคงปิด งั้นขอนอนต่ออีกหน่อยพอฝนซาค่อยออกไปหาอะไรกินดีกว่า

          คิดพลางปิดเปลือกตาลงเพื่อให้ชัตดาวน์สมอง แต่ตะกอนความทรงจำของเมื่อวานตอนอยู่ในร้านฮิราเมะดันฟุ้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไอ้บรรยากาศกับความกวนตีนของเชฟไอระน่ะไม่เท่าไหร่ สายตาหวานเชื่อมของหมอนั่นต่างหากที่ทำให้รักตปักษ์ข่มตาไม่ลง

          ทำไมต้องมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นด้วยวะ ทั้งที่ตัวเขาเองก็แสดงให้เห็นกันจะจะเลยว่า ไม่ชอบขี้หน้ามันอย่างแรงและพยายามหาเรื่องแกล้งทุกวัน จะบอกว่าเป็นการตอบโต้ทางจิตวิทยาจำพวกใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนมองศัตรูด้วยดวงตากับคำพูดชวนให้คิดมากแบบนั้นแน่

             ‘ผมทำมันเป็นพิเศษเพื่อคุณโดยเฉพาะ’

          ประโยคชวนเลี่ยนดังขึ้นในหัวฉุดรักตปักษ์ให้กระเด้งตัวลุกจากที่นอน ใจเต้นตึกตักด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เขารู้ว่าพวกเชฟถูกฝึกให้พูดจาสุภาพกับลูกค้า แต่มันจำเป็นต้องใช้ประโยคขี้อ่อยแบบนี้ด้วยหรือวะ ? ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนไม่อยากนอนต่อ ชายหนุ่มจึงอาบน้ำล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ดื่มกาแฟเพื่อเรียกสติหนึ่งแก้ว แต่พอเปิดตู้เย็นเพื่อหาของกิน กลับพบกับแต่น้ำสองขวดกับเบียร์อีกหนึ่งกระป๋องเท่านั้น

          เวรละสิ! รักตปักษ์ร้องในใจก่อนปิดตู้เย็นและหันไปมองชั้นวางของเผื่อเจอมาม่า หรืออย่างน้อยผงโรยข้าวก็ยังดี แต่ก็นึกได้ว่าเขาเพิ่งแกะซองสุดท้ายกินไปเมื่อวานนี้เอง คงต้องเอาน้ำเปล่าลูบท้องไปจนกว่าฝนจะหยุด ชายหนุ่มคิดพลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ ตอนนั้นเองเขาก็เห็นห่อผ้ารูปกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ

          จริงสิ! เมื่อวานหัตถ์เทพให้ขนมเขามาอีกสามชิ้นนี่หว่า เขานึกก่อนลากมันมาแกะปมผ้า ข้างในเป็นกล่องกระดาษสีชมพูหวานซึ่งดูแล้วเจ้าตัวน่าจะเป็นคนทำเอง พอเปิดฝากล่อง รักตปักษ์ก็เห็นขนมลายดอกไม้แบบเดียวกับที่กินไปเมื่อวานวางเรียงกันอยู่สามชิ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันทำให้กระเพาะโวยวายส่งเสียงร้องโครกขึ้นมา

          ไอ้หิวน่ะ มันก็หิวอยู่หรอก แต่สายตา คำพูดของคนทำกับหน้าตาสุดหวานแหววของขนม ทำให้ชายหนุ่มยังไม่ค่อยกล้าหยิบขึ้นมากินเท่าไหร่ ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าหมอนั่นทำขนมเองที่บ้าน แบบพิมพ์คงไม่ได้มีมากมายหลายแบบเหมือนร้าน และสีก็คงไม่ได้เยอะเหมือนกัน

          แล้วทำไมต้องเป็นสีชมพูด้วยวะ !?

          รักตปักษ์คิดอย่างหงุดหงิดก่อนดันกล่องให้ห่างจากตัว แต่ความหิวอันเนื่องมาจากไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนวาน ทำให้เขาจำต้องลากมันกลับมาอีกครั้ง จ้องขนมหวานลายดอกไม้สีชมพูเขม็งก่อนตัดสินใจ

          เอาวะ กินก็กิน ก็มันหิวนี่หว่า พอฝนหยุดค่อยหาก๋วยเตี๋ยวมาล้างคอ

          ชายหนุ่มหยิบรีโมทมาเปิดทีวีแต่ไม่สนใจว่าเป็นรายการอะไร เสร็จแล้วจึงหยิบขนมมากิน พยายามเพ่งสมาธิไปกับภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในจอเพื่อที่จะได้ไม่ต้องนึกถึงนัยยะทางสายตาของคนทำ ซึ่งไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เพราะพอความหวานกระจายอยู่ในปาก ภาพรอยยิ้มกับใบหน้าชองหัตถ์เทพก็โผล่ขึ้นมาเลย

          เลิกกินเถอะ!

          เขาบอกกับตัวเองหลังจากฝืนกินเข้าไปได้เพียงหนึ่งชิ้น ตบท้ายด้วยชาผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวอีกแก้ว นั่งเอนหลังกดรีโมททีวีไล่ไปทีละช่อง แต่เป็นการกระทำแบบเรื่อยเปื่อยเสียมากกว่า เพราะความหงุดหงิดที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าไม่มีรายการอะไรน่าดูเลยสักอย่าง สุดท้ายจึงเปลี่ยนจากหนังมาฟังเพลงโดยเลือกอัลบั้มโปรด หยิบนิตยสารรถจักรยานยนต์ไปนอนอ่านบนเตียง เปิดไปได้แค่สามหน้าก็ต้องปิดเพราะความสับสนที่กำลังตีกันยุ่งอยู่ในหัวทำให้อ่านอะไรไม่รู้เรื่อง เมื่อของโปรดไม่ช่วยอะไร รักตปักษ์จึงตัดสินใจอาบน้ำเผื่อความเย็นจะช่วยล้างความรู้สึกบางอย่างให้หลุดออกไป

          อ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำเกือบสิบนาที ชายหนุ่มจึงเดินขยี้ผมที่ยังชื้นมานั่งบนเตียง เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนฟังเพลงในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวจนผล็อยหลับ ตื่นมาอีกทีก็เกือบบ่ายสอง พอเห็นว่าฝนหยุดตกแล้วเขาจึงตกลงใจไปหาของกินและซื้อของสดกับของใช้เข้าบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเขาจึงขี่บิ๊กไบค์ออกจากคอนโด    

          รักตปักษ์เป็นพวกไม่ชอบเดินห้างเท่าไหร่ ที่ไปก็เพื่อกินข้าวหรือซื้อของใช้จำเป็นกลับบ้านเท่านั้น จะมีบ้างที่เขาอาศัยแอร์เย็นๆ พักให้หายเหนื่อยระหว่างทำงานซึ่งก็ไม่เคยนั่งเกินกว่าชั่วโมง ด้วยนิสัยรักความเป็นอิสระ ชายหนุ่มมักใช้วิธีพักผ่อนด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่างจังหวัด เดินเล่นตามชายหาดมากกว่า วันนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่ติดเรื่องเพลียป่านนี้เขาคงซิ่งเจ้าคามุยอิไปนอนเอนหลังกินอาหารทะเลแถวหาดบางแสนแล้ว

          แต่ตอนนี้ชายหนุ่มยังคงอยู่ในเมือง แถมหิวไส้แทบขาด ขืนทำเป็นอินดี้ขี่รถไปกินข้าวชายทะเล มีหวังเป็นลมตั้งแต่ยังไม่พ้นบางนา

          หาที่จอดรถได้ก็ตรงดิ่งเข้าห้างขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสามซึ่งเป็นจุดรวมร้านอาหารชื่อดัง ระหว่างเดินเลือกว่าจะกินร้านไหนดี เขาก็ได้ยินคนเรียกดังมาจากทางด้านหลัง  

          “คุณรักตปักษ์”

          ชายหนุ่มเย็นวาบไปทั้งตัว เพราะไอ้น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูแบบนี้มีคนเดียวเท่านั้น เขาหันขวับไปมองคนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างหลังทันที

          “คุณหัตถ์เทพ!” เขาเอ่ยเรียกด้วยใจเต้นตึกตักซึ่งรักตปักษ์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้มีอาการแบบนั้น เขาพยายามตั้งสติข่มใจให้สงบก่อนย้อนถามกลับ “คุณมาทำอะไรแถวนี้ครับ”

          เชฟหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่แสดงถึงความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก่อนเฉลยข้อข้องใจ

          “วันหยุดน่ะครับ เลยออกมาหาซื้ออะไรนิดหน่อย แล้วคุณล่ะครับ” เขาตั้งคำถามกลับมาพลางมองรักตปักษ์ด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกกระดากพิกล

          “เมื่อวานสอบหนัก เจ้านายเลยให้พักหนึ่งวันน่ะครับ” ชายหนุ่มรีบอธิบายขณะเดียวกันก็คิดหาทางปลีกตัวหนีไปให้พ้นจากหัตถ์เทพ แต่เอ๊ะ! ทำไมเขาต้องหนีด้วยวะ อุตส่าห์เจอตัวทั้งทีมันควรจะหาทางแก้แค้นไม่ใช่หรือ

          “แต่จากที่เห็น คุณดูสดชื่นขึ้นมาก แสดงว่าฮิงะชิของผมได้ผล” หัตถ์เทพพูดด้วยดวงตาระยับพราวทำให้คนเห็นเริ่มใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รักตปักษ์หันหน้าหนีไปทางอื่นขณะเดียวกันก็อดนึกแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงต้องหลบสายตาหมอนี่ด้วย กลัว? ไม่น่าใช่ ถึงจะเป็นเชฟญี่ปุ่นแต่ไม่ใช่ยากูซ่าสักหน่อย พอหวนนึกถึงของที่ตัวเองกินเข้าไปตอนก่อนจากคอนโด บางทีอาจจะเป็นผลจากเจ้าขนมหวานชิ้นนั้น แต่เอ๊ะ มันเกี่ยวอะไรด้วยวะ !

          “ขนมนะครับ ไม่ใช่ยาที่กินแล้วจะแข็งแรงได้เร็วทันใจ”

          “ผมไม่เถียงในเรื่องนั้น แต่บางครั้งความหวานก็ช่วยทำให้เราสดชื่น” หัตถ์เทพยิ้ม เอนตัวเข้าไปใกล้รักตปักษ์อีกนิด “จริงไหมครับ”

          เจอมุกหยอดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หนุ่มบิ๊กไบค์ถึงกับสมองตื้อหาคำมาโต้ไม่ทัน แถมยังมีอาการประหม่าจนลืมเรื่องหิวไปเลย  

          ไอ้บ้านี่มันจะมาไม้ไหนกันแน่ ทุกทีทำเป็นวาดมาดนิ่ง ใช้เสียงนุ่ม แต่พออยู่นอกร้านกลับทำท่ากรุ้มกริ่มเหมือนจะอ่อย แล้วยังคำพูดชวนให้คิดมากนั่นอีก ผู้ชายปกติเขาทำกันแบบนี้เหรอ

          งานนี้คงต้องหนีไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาคืนวันหลัง

          “คุณหัตถ์เทพนี่รู้ดีจังเลยนะครับ คงทำของหวานให้ลูกค้ากินบ่อยๆ”

          “ผมเป็นเชฟซูชินะครับ ถึงจะทำขนมเป็นแต่ก็ไม่เคยให้ใครชิม นอกจากคนพิเศษจริงๆ เท่านั้น” หัตถ์เทพตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ฟังแล้วเหมือนบทสนทนาทั่วไป แต่สายตาช่วงประโยคที่ว่า ‘คนพิเศษ’ มันดูวิบวับมากกว่าปกติ คล้ายจะสื่อถึงความนัยบางอย่าง ทำให้คนเห็นเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

          “เอ้อ...งั้นฮิงะชิที่คุณทำให้ผม” รักตปักษ์หยุดคำพูดค้างเพราะเกิดกลัวคำตอบขึ้นมา หัตถ์เทพส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้

          “ผมเห็นคุณดูเพลียๆ เลยอยากทำให้กิน ก็เท่านั้นเอง”

          เป็นคำตอบง่ายๆ เหมือนไม่อยากให้คนฟังต้องคิดมาก ตาจ้องคู่สนทนาคล้ายจับความผิดปกติบางอย่างได้ มุมปากของเชฟหนุ่มยกขึ้นน้อยๆ ราวกับรู้ทันก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

          “จะบ่ายสามแล้วเหรอเนี่ย มิน่าถึงได้หิวชะมัด” พูดพลางไล่ตามองร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นร้านอาหารชื่อดัง มีทั้งแบบบุพเฟ่ต์ เกาหลี จีน ญี่ปุ่นและไทยบ้างประปราย “ร้านเยอะจนเลือกไม่ถูก แล้วคุณล่ะครับ ตัดสินใจหรือยังว่าจะกินร้านไหน”

          ประโยคสุดท้ายหันไปถามรักตปักษ์ ชายหนุ่มรีบปฏิเสธทันควัน

          “ผมเรียบร้อยมา แล้ว...” ยังไม่ทันพูดหมด ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้องโครกเหมือนประกาศให้ทุกคนรู้ทั่วกันว่า ‘หิว’ คนได้ยินเลยยืนอมยิ้ม

          “ของหวานช่วยให้มีแรงก็จริง แต่มันไม่ได้ทำให้ท้องอิ่มหรอกนะครับ”

          เล่นดักคอเหมือนรู้ทัน ทำเอาคนฟังต้องยืนหน้าง้ำเพราะอาย ไอ้ท้องเวร ทำไมต้องมาร้องต่อหน้าหมอนี่ด้วยวะ!

          “ผมยังพูดไม่จบต่างหาก ที่บอกว่าเรียบร้อยน่ะคือเลือกได้แล้วว่าจะเข้าร้านไหน ไม่ได้หมายความว่ากินมาแล้วสักหน่อย”

          ช่างเป็นข้ออ้างที่งี่เง่าสิ้นดี รักตปักษ์นึกอย่างเจ็บใจ แต่ทำไงได้ เขาไม่อยากให้ไอ้เชฟบ้านี่รู้ว่าวันนี้ทั้งวันนอกจากขนมคิกขุชิ้นนั้นแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง และตอนนี้ตัวเขากำลังหิวจัดชนิดกินก็อตซิลล่าได้ทั้งตัว ดูเหมือนสีหน้าของชายหนุ่มจะแสดงให้เห็นถึงความคิดดังกล่าว เพราะหัตถ์เทพเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

          “ถ้าคุณหิวมาก ผมขอแนะนำว่าไม่ควรเข้าร้านพวกนี้ เพราะมันต้องใช้เวลาในการปรุง คุณคงไม่อยากนั่งรอนานๆ”

          อ้าว! ร้านอาหารนะครับไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวแผงลอยข้างทาง ที่สั่งปุ๊บแล้วจะได้ปั๊บ อยากกินของอร่อยมันก็ต้องยอมเสียเวลารอกันนิด แต่เอ..พอมาคิดอีกทีมันก็จริงอย่างที่หมอนี่พูดแฮะ แต่คนอย่างรักตปักษ์มีหรือจะยอมรับความเห็นของคู่ปรับง่ายๆ  

          “นี่มันห้างนะครับไม่ใช่ตลาดสด จะได้สั่งบะหมี่เกี๊ยวกินได้เลย” รักตปักษ์โพล่งออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะหิวเต็มแก่ แต่อีกฝ่ายยังคงยิ้ม

          “มีนะครับ หมี่เกี๊ยวน่ะ เจ้าอร่อยซะด้วย” หัตถ์เทพพูด พอเห็นชายหนุ่มเบ้ปากเหมือนไม่เชื่อ เขาจึงขยายความขึ้นอีกนิด “ฟู้ดเซ็นเตอร์ไงครับ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง ผมเองก็ว่าจะไปหาอะไรกินเหมือนกัน งั้นเราไปด้วยกันเลยนะครับ”

          พูดเองเออเองเสร็จ แถมยังคว้าข้อมือเหมือนจูงเด็กเล็กๆ ให้เดินตาม รักตปักษ์สะบัดออกทันที

          “ผมเดินเองได้!”

          ทั้งที่ตั้งใจปฏิเสธแต่ปากดันพูดอีกอย่าง แบบนี้ก็เหมือนกันตอบตกลงเขาสิวะ ไอ้รักตปักษ์ !

          ชายหนุ่มด่าตัวเองอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อคำพูดหลุดไปแล้วจะเรียกคืนก็คงไม่ได้ ดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจมองว่าเขาปอดแหกนิสัยเหมือนผู้หญิงที่กลัวไปหมดทุกเรื่อง

          เขาก็เป็นผู้ชายใจกล้าคนหนึ่งเชียวนะโว้ย จะต้องไปกลัวมันทำไม คิดพลางมุ่นคิ้ว ว่าแต่ไอ้ฟู้ดเซ็นเตอร์นี่มันอยู่ชั้นไหนกันหว่า มาหลายครั้งแต่ไม่เคยขึ้นไปกินสักที

          “ต้องขึ้นไปชั้นห้านะครับ” เสียงหัตถ์เทพพูดเหมือนอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ และส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้ก่อนหมุนตัวเดินนำไปยังบันไดเลื่อน ถึงจะหงุดหงิดที่เจอคนไม่ชอบหน้าแต่รักตปักษ์กลับเดินตามไปง่ายๆ พอถึงบันไดเลื่อนแทนที่เชฟหนุ่มจะก้าวนำขึ้นไปก่อนกลับยืนรอจนอีกคนตามมาทันและก้าวเท้าเหยียบบันไดขั้นเดียวกัน ด้วยขนาดรูปร่างของผู้ชายทำให้ไหล่ของทั้งสองต้องเบียดกันเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความอึดอัดทำให้รักตปักษ์พยายามเอียงตัวหนี

          ทำไมมันต้องมายืนตีคู่ข้างกูด้วยวะ !
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่