[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/36291990
บทที่ 8 กำลังใจจากคนที่คาดไม่ถึง
ตาย !
เวลานี้มีเพียงคำเดียวที่กำลังวิ่งสะท้อนไปมาอยู่ภายในหัวของรักตปักษ์เหมือนลูกบอลที่เด้งไปกระทบกระแทกผนังสี่ด้าน พอเขียนอักษรตัวสุดท้ายและส่งกระดาษคำตอบให้วินัยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องประชุมในสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ พอถึงเก้าอี้เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งก่อนเหยียดลำตัวพาดกับโต๊ะทำงานในลักษณะของคนใกล้ตาย โชคดีที่พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องภาพลักษณ์ ชายหนุ่มเลยนอนแช่ค้างอยู่ท่านั้น ส่วนวินัยหอบกระดาษคำตอบของเขาหายเข้าไปในห้องคุณตะวัน และดูท่าว่าจะอยู่ในนั้นอีกนาน รักตปักษ์จึงตั้งใจว่าจะนอนพักสมองให้เบาลงหน่อย ไม่งั้นคงขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านไม่ไหว
พอนึกถึงข้อสอบปุ๊บ ท้องไส้ก็เกิดอาการปั่นป่วนพาลจะอ้วกขึ้นมาปั๊บจนรักตปักษ์ต้องร้องโอย
“อ้าว หมดแรงเลยเหรอคนเก่ง” วินัยซึ่งเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานเอ่ยทัก รุ่นน้องจอมแสบเลยผงกหัวขึ้นส่งยิ้มแหยเต็มทีให้
“แค่ค่าพลังชีวิตลดฮวบลงไปครึ่งนึงครับพี่ ยังไม่ถึงตาย”
ลองปากดีอย่างนี้แสดงว่ายังพอไปไหว วินัยจึงแกล้งขู่ “งั้นเรามาทำข้อสอบกันอีกรอบ...”
“โอ๊ย! พี่นัยครับ พี่จะฆ่าผมให้ตายวันนี้เลยหรือครับ” รักตปักษ์โอดครวญก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พนักงานรุ่นพี่จึงใช้สันหนังสือเคาะหัวเบาๆ
“ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อน ลุกขึ้นกลับบ้านได้แล้ว เข้านอนแต่หัวค่ำ ชาร์ตพลังให้เต็ม พรุ่งนี้คุณต้องมาทำอีกรอบ”
“หา!” ชายหนุ่มยกหัวขึ้นร้องเสียงหลง ก่อนทำตาละห้อยเพื่อยื่นข้อต่อรอง “ขอพักสักวันไม่ได้หรือครับ”
ลากท้ายประโยคด้วยเสียงน่าสงสาร แต่คนฟังไม่ยอมใจอ่อนตามไปด้วย เพราะบททดสอบครั้งนี้จะส่งผลดีต่อหน้าที่การงานของรักตปักษ์ วินัยจึงจำต้องสวมวิญญาณรุ่นพี่สุดโหด
“ไม่ได้” เขาปฏิเสธเสียงหนักก่อนใช้มะเหงกเคาะหัวรุ่นน้อง “ถ้าไม่อยากทำงานแค่ขี่มอเตอร์ไซด์ส่งของไปวันๆ คุณต้องสอบให้ผ่าน ห้ามพัก ห้ามตายเด็ดขาดเข้าใจไหม”
น้ำเสียงดุและจริงจังจนรักตปักษ์ต้องรีบนั่งตัวตรงพร้อมขานรับอย่างเร็ว
“ครับ”
พอเห็นรุ่นน้องตัวแสบยอมทำตาม สีหน้าเคร่งขรึมของวินัยก็คลายลง เขาบีบไหล่รักตปักษ์เบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“ผมเคยผ่านจุดนี้มาก่อน รู้ดีว่าเหนื่อยและเครียดแค่ไหน แต่เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพคุณต้องทำและผ่านมันไปให้ได้ อดทนหน่อยนะรัก”
เป็นคำเตือนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี รักตปักษ์เงยหน้าขึ้นมองวินัยก่อนผงกศีรษะรับคำด้วยท่าทางที่ดูจริงจังมากขึ้น
“ครับพี่ ผมจะพยายาม”
“ดีมาก” วินัยพูด “งั้นก็กลับบ้านได้แล้ว นอนพักให้มากๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรงสู้กับบททดสอบชุดต่อไป อ้อ ขอเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนเลยนะว่า โหดกว่าวันนี้แยะ”
ไม่ขู่เปล่ายังมีการส่งแยกเขี้ยวสำทับ หัวใจของรักตปักษ์ที่เริ่มดีขึ้นเลยฝ่อลงไปอีกครั้ง
“โหยพี่ เล่นขู่กันล่วงหน้าแบบนี้ผมกลัวนะครับ”
“ดี จะได้ไม่ประมาท เอ้า! นี่มันทุ่มกว่าแล้วจะนั่งอยู่อีกทำไม ไปเร็ว!” วินัยกระตุ้นเตือนก่อนเดินไปที่โต๊ะทำงาน หอบแฟ้มตั้งใหญ่เดินย้อนกลับไปยังห้องคุณตะวันอีกครั้ง โดยไม่มองรุ่นน้องอีกเลย รักตปักษ์จึงลุกขึ้นสะพายกระเป๋า หยิบหมวกกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง แต่พอนั่งบนคามุยอิ ความคิดอีกอย่างก็แล่นเข้าหัวในบัดดล
บททดสอบทำให้รักตปักษ์รู้สึกเหมือนพลังชีวิตหายไปกว่าครึ่ง ความจริงเขาควรบึ่งรถกลับบ้านนอนพักยาวไปจนถึงเช้า แต่เมื่อนึกถึงบัญชีแค้นตอนกลางวัน ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่าหากกลับตอนนี้เขาคงข่มตาหลับไม่ลง
หัตถ์เทพ
เสียงทรงพลังของบิ๊กไบค์แผดสนั่นก่อนพุ่งปราดลงไปบนถนน มุ่งหน้าตรงไปหาเป้าหมายซึ่งอยู่คนละทิศกับบ้านของตัวเอง ไม่ถึงสิบนาทีรักตปักษ์ก็นำรถเข้าที่จอด ถึงจะเหนื่อยจนไม่อยากก้าวขาแต่ความแค้นที่อัดแน่นเต็มอกเหมือนเป็นตัวเสริมพลัง ชักพาเท้าทั้งสองให้เดินเข้าไปในร้าน ตามองตรงไปยังบาร์ เมื่อเห็นหัตถ์เทพกำลังก้มหน้าปั้นข้าวโดยไม่ทันสังเกตเห็นการมาของเขา ชายหนุ่มจึงเข้าไปนั่งตรงจุดที่อยู่หน้าเชฟพอดี แต่แทนที่จะเอ่ยคำทักทาย เขากลับหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ชาเขียวเย็น”
เสียงของรักตปักษ์ทำให้นิ้วเรียวยาวที่กำลังคลึงข้าวให้ขึ้นรูปหยุดชะงัก ดวงตาคมของหัตถ์เทพเหลือบขึ้นมอง พอเห็นหน้าลูกค้าเจ้าประจำ เขาจึงส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทัก
“คุณรักตปักษ์”
ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวทักทายตอบกลับไป หากส่งความอาฆาตผ่านทางสายตาไปยังเชฟใหญ่ของร้าน ก่อนเลื่อนลงไปมองเมนู ไล่ไปทีละหน้าแต่กลับนึกไม่ออกว่าจะสั่งอะไร ทั้งที่หิวจนไส้กิ่วแต่ผลของความเครียดหลังสอบทำให้เขาเหนื่อยจนกลืนอะไรไม่ลง
“ผมขอมิโซะซุป”
สั่งแค่นั้นก่อนส่งเมนูคืนให้พนักงาน และหันกลับไปจ้องคู่แค้นที่กำลังเรียงข้าวปั้นใส่จาน เมื่อทำครบตามเมนูที่ลูกค้าสั่งหัตถ์เทพจึงเบนความสนใจกลับมาทางรักตปักษ์ แน่นอนว่าเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายสั่งอะไร และนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเหตุใดวันนี้คนกินเก่งอย่างรักตปักษ์จึงสั่งแต่ซุปมิโสะ แต่พอเห็นสีหน้าอิดโรยกับรอยคล้ำใต้ขอบตาซึ่งไม่ปรากฏเมื่อตอนกลางวัน เชฟหนุ่มจึงพอจะเดาออกว่าคนตรงหน้าเพิ่งผ่านศึกในที่ทำงานมาหมาดๆ
“ข้อสอบยากขนาดนั้นเลยหรือครับ” หัตถ์เทพเปรยพอให้ได้ยิน รักตปักษ์ผงกหัวขึ้นมองด้วยความแปลกใจ หมอนี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเพิ่งผ่านการทดสอบ ทั้งที่ยังไม่ได้บอกอะไรเลยสักคำ
“คุณรู้ได้ยังไง”
ถามเสียงกระด้าง เชฟหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“หน้าคุณตอนนี้เหมือนนักศึกษาเพิ่งออกจากห้องสอบไม่มีผิด” เขาเฉลยด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ชวนหงุดหงิด รักตปักษ์เบะปาก
“เชอะ! ทำเป็นรู้ดี” พูดด้วยความหมั่นไส้ อีกฝ่ายจึงเลิกคิ้ว
“หรือว่าผมเดาพลาด”
รักตปักษ์อ้าปากเหมือนจะแย้งแต่ดันเถียงไม่ออก ว่าแต่ทำไมหมอนี่ถึงรู้

มีตาวิเศษหรือไงวะ
“เกือบถูก” ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงแถมยังเกิดอาการประหม่าไม่กล้ามองหน้า “ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ”
หัตถ์เทพหัวเราะเบาๆกับคำถามนั้น
“สภาพคุณเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด”
อะไรกัน นี่เขาโทรมจนคนอื่นดูออกเลยหรือนี่ รักตปักษ์คิดอย่างตระหนก ที่จริงเขาก็ไม่แคร์หรอกว่าใครจะเห็นหรือคิดยังไง ยกเว้นไอ้เชฟบ้านี่คนเดียว
ฮึ ! หัวเด็ดตีนขาดยังไง เขาจะไม่มีวันแสดงความอ่อนแอออกมาให้หมอนี่เห็นอย่างเด็ดขาด
“เกินไปมั้ง แค่เหนื่อยนิดหน่อยเอง” ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขามาร้านนี้ก็เพื่อทวงบัญชีแค้น “อ้อ ขอบคุณสำหรับข้าวกล่องตอนกลางวัน ผมรู้สึกประทับใจมากเลย”
รักตปักษ์กระแทกเสียงประชด และโกรธจนความดันแทบขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มละมุนของอีกฝ่าย
“ดีใจครับที่คุณชอบ” เสียงของหัตถ์เทพนุ่มแถมเจือความหวานนิดๆ ชวนให้คนได้ยินขนลุก

แกล้งกูจริงๆด้วย รักตปักษ์คิด
“แต่แหม เกรงใจเชฟจังเลยครับที่อุตส่าห์แต่งข้าวมาซะวิจิตรพิสดารเลย” ชายหนุ่มยังคง-ดันไม่หยุด ตาทั้งคู่มองหัตถ์เทพเขม็งเหมือนพร้อมจะหาเรื่อง “ผมได้ยินรุ่นพี่บอกว่าไอระซังชอบแถมอยู่เรื่อย คุณทำแบบนี้ให้กับทุกคนเลยหรือครับ”
“ก็ไม่ทุกคนหรอกครับ ผมชอบแถมของให้ลูกค้าก็จริง” หัตถ์เทพตอบก่อนเอนตัวไปข้างหน้า “แต่มีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมยินดีทำให้จากหัวใจ”
ลำพังคำพูดยังพอทน แต่ไอ้ประกายตาวิบวับนี่มันดูไม่น่าไว้ใจเอาเลย รักตปักษ์ขยับตัวถอยออกห่างด้วยความรู้สึกอึดอัด ซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร การกระทำที่ชวนให้เขาต้องคิดมากหรือดวงตาคมดุของเชฟที่กำลังเต้นไหวแปลกๆ ให้ตายเถอะนี่เขากำลังกลัวเรื่องบ้าอะไรอยู่ ที่มานี่ก็เพื่อจะแก้เผ็ดตอบแทนเรื่องข้าวกล่องตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ
ชายหนุ่มอ้าปากเพื่อโต้กลับ แต่ความเครียดจากบททดสอบทำให้สมองล้าจนคิดอะไรไม่ออก
บ้าเอ๊ย !
รักตปักษ์สบถในใจก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ และคงอยู่ในท่านั้นอีกสองสามนาทีถ้าไม่ถูกอะไรเย็นๆ มาแตะบนหลังคอ
“เฮ้ย!” เขาอุทานพร้อมกับลุกพรวดขึ้น ถึงได้เห็นว่าต้นเหตุคือผ้าเย็นที่หัตถ์เทพยื่นส่งมาให้
“เช็ดหน้าหน่อยก่อนดีกว่าครับ จะได้สดชื่นขึ้น”
เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างหล่อ รักตปักษ์เบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้แต่ก็ยังรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดหน้าตาตามที่อีกฝ่ายแนะนำ ความเย็นฉ่ำทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆ แต่ได้เอนหลังนอนหลับสักตื่นคงดีกว่านี้มาก
อ้าว แล้วเขาจะแวะมาที่นี่ทำไม
พูดเอง ถามเอง แถมยังนึกด่าตัวเองเสร็จสรรพ หัตถ์เทพซึ่งดูเหมือนจะอ่านความรู้สึกของชายหนุ่มออกจึงเอ่ยแนะ
“ใช้สมองมาอย่างหนักแบบนี้ต้องหาอะไรหวานๆ ช่วย ที่จริงแล้วโกโก้ร้อนดีที่สุดแต่ทางร้านเราไม่มี งั้นคงต้องเป็นพุดดิ้งหรือคัสตาร์ด คุณรักตปักษ์ชอบแบบไหนครับผมจะได้บอกพนักงานถูก”
คนถูกถามทำอิดเอื้อนไม่ยอมตอบ ความจริงตอนแรกเขาเองก็ตั้งใจสั่งของหวานมากินอยู่เหมือนกันแต่เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องคิดหาทางแกล้งหัตถ์เทพ เลยลืม
“ว่าไงครับ” เชฟหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง “ถ้าไม่ตอบผมขอถือวิสาสะสั่งให้ก็แล้วกันนะครับ”
“พุดดิ้ง” รักตปักษ์รีบพูด หน้าร้อนนิดๆ เมื่อเห็นสายตาขำของหัตถ์เทพ อ้าว ถามมาก็บอก แล้วตอนนี้จะมาทำเป็นหัวเราะ ทำไมวะ ผู้ชายกินพุดดิ้งมันตลกมากเหรอ
“รับทราบครับ” เชฟใหญ่ของร้านพูดพลางเอ่ยเรียกพนักงานร้านที่เดินมาพอดี “ขอพุดดิ้งให้ลูกค้าท่านนี้ด้วยมินะจัง”
“ค่ะไอระซัง” สาวน้อยหันมาตอบเสียงใสและโค้งตัวน้อยๆด้วยกิริยาน่ารักก่อนไปจัดการตามสั่ง ไม่นานพุดดิ้งในจานเล็กๆ ก็ถูกนำมาวางตรงหน้ารักตปักษ์
“พุดดิ้งร้านเรามีส่วนประกอบของน้ำผึ้งสีทองจากเมืองอะคิตะ ช่วยทำให้สดชื่น ไล่ความเหนื่อยล้าให้หายไปได้ราวปลิดทิ้งเลยครับ”
หัตถ์เทพกล่าวแนะนำตามหน้าที่ของเชฟที่ดีแถมยังผายมือเชิญให้ลูกค้าคนสำคัญได้ลองชิม รักตปักษ์แอบเบะปากพลางนึกค่อนขอดอยู่ในใจว่า น้ำผึ้งที่ไหนมันก็เหมือนกัน ไม่ต้องสาธยายให้มากความหรอก
ใจคิดอย่างหนึ่งแต่ปากกลับพูดออกมาอีกอย่าง “ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ เหมาะเลยผมกำลังเพลียอยู่พอดี งั้นขอชิมหน่อยนะครับ”
พูดพลางหยิบช้อนไม้ตักพุดดิ้งใส่ปาก มันก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านอื่นมากนัก แต่ชายหนุ่มก็ยอมรับในข้อที่ว่า อร่อย
“เป็นยังไงครับ” พอคำสุดท้ายหายเข้าปาก หัตถ์เทพก็รีบเอ่ยถามอย่างใส่ใจ รักตปักษ์พยักหน้าช้าๆ วางช้อนบนจาน
“ไม่เลว ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดนึง”
ทีแรกก็กะพูดส่งออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสายตาของหัตถ์เทพแล้ว ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่าคิดผิด เพราะไม่ได้เป็นการมองแบบเชฟกับลูกค้า หากแฝงความห่วงใยและอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกเอาไว้ด้วย
“ดีแล้วครับ ทีนี้กลับบ้าน นอนพักให้เยอะๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรงสู้ศึกครั้งต่อไป”
เชฟหนุ่มพูดราวกับรู้ ทำให้รักตปักษ์ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
“ศึกอะไร”
เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 8 กำลังใจจากคนที่คิดไม่ถึง
บทที่ 8 กำลังใจจากคนที่คาดไม่ถึง
ตาย !
เวลานี้มีเพียงคำเดียวที่กำลังวิ่งสะท้อนไปมาอยู่ภายในหัวของรักตปักษ์เหมือนลูกบอลที่เด้งไปกระทบกระแทกผนังสี่ด้าน พอเขียนอักษรตัวสุดท้ายและส่งกระดาษคำตอบให้วินัยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องประชุมในสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ พอถึงเก้าอี้เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งก่อนเหยียดลำตัวพาดกับโต๊ะทำงานในลักษณะของคนใกล้ตาย โชคดีที่พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องภาพลักษณ์ ชายหนุ่มเลยนอนแช่ค้างอยู่ท่านั้น ส่วนวินัยหอบกระดาษคำตอบของเขาหายเข้าไปในห้องคุณตะวัน และดูท่าว่าจะอยู่ในนั้นอีกนาน รักตปักษ์จึงตั้งใจว่าจะนอนพักสมองให้เบาลงหน่อย ไม่งั้นคงขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านไม่ไหว
พอนึกถึงข้อสอบปุ๊บ ท้องไส้ก็เกิดอาการปั่นป่วนพาลจะอ้วกขึ้นมาปั๊บจนรักตปักษ์ต้องร้องโอย
“อ้าว หมดแรงเลยเหรอคนเก่ง” วินัยซึ่งเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานเอ่ยทัก รุ่นน้องจอมแสบเลยผงกหัวขึ้นส่งยิ้มแหยเต็มทีให้
“แค่ค่าพลังชีวิตลดฮวบลงไปครึ่งนึงครับพี่ ยังไม่ถึงตาย”
ลองปากดีอย่างนี้แสดงว่ายังพอไปไหว วินัยจึงแกล้งขู่ “งั้นเรามาทำข้อสอบกันอีกรอบ...”
“โอ๊ย! พี่นัยครับ พี่จะฆ่าผมให้ตายวันนี้เลยหรือครับ” รักตปักษ์โอดครวญก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พนักงานรุ่นพี่จึงใช้สันหนังสือเคาะหัวเบาๆ
“ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อน ลุกขึ้นกลับบ้านได้แล้ว เข้านอนแต่หัวค่ำ ชาร์ตพลังให้เต็ม พรุ่งนี้คุณต้องมาทำอีกรอบ”
“หา!” ชายหนุ่มยกหัวขึ้นร้องเสียงหลง ก่อนทำตาละห้อยเพื่อยื่นข้อต่อรอง “ขอพักสักวันไม่ได้หรือครับ”
ลากท้ายประโยคด้วยเสียงน่าสงสาร แต่คนฟังไม่ยอมใจอ่อนตามไปด้วย เพราะบททดสอบครั้งนี้จะส่งผลดีต่อหน้าที่การงานของรักตปักษ์ วินัยจึงจำต้องสวมวิญญาณรุ่นพี่สุดโหด
“ไม่ได้” เขาปฏิเสธเสียงหนักก่อนใช้มะเหงกเคาะหัวรุ่นน้อง “ถ้าไม่อยากทำงานแค่ขี่มอเตอร์ไซด์ส่งของไปวันๆ คุณต้องสอบให้ผ่าน ห้ามพัก ห้ามตายเด็ดขาดเข้าใจไหม”
น้ำเสียงดุและจริงจังจนรักตปักษ์ต้องรีบนั่งตัวตรงพร้อมขานรับอย่างเร็ว
“ครับ”
พอเห็นรุ่นน้องตัวแสบยอมทำตาม สีหน้าเคร่งขรึมของวินัยก็คลายลง เขาบีบไหล่รักตปักษ์เบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“ผมเคยผ่านจุดนี้มาก่อน รู้ดีว่าเหนื่อยและเครียดแค่ไหน แต่เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพคุณต้องทำและผ่านมันไปให้ได้ อดทนหน่อยนะรัก”
เป็นคำเตือนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี รักตปักษ์เงยหน้าขึ้นมองวินัยก่อนผงกศีรษะรับคำด้วยท่าทางที่ดูจริงจังมากขึ้น
“ครับพี่ ผมจะพยายาม”
“ดีมาก” วินัยพูด “งั้นก็กลับบ้านได้แล้ว นอนพักให้มากๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรงสู้กับบททดสอบชุดต่อไป อ้อ ขอเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนเลยนะว่า โหดกว่าวันนี้แยะ”
ไม่ขู่เปล่ายังมีการส่งแยกเขี้ยวสำทับ หัวใจของรักตปักษ์ที่เริ่มดีขึ้นเลยฝ่อลงไปอีกครั้ง
“โหยพี่ เล่นขู่กันล่วงหน้าแบบนี้ผมกลัวนะครับ”
“ดี จะได้ไม่ประมาท เอ้า! นี่มันทุ่มกว่าแล้วจะนั่งอยู่อีกทำไม ไปเร็ว!” วินัยกระตุ้นเตือนก่อนเดินไปที่โต๊ะทำงาน หอบแฟ้มตั้งใหญ่เดินย้อนกลับไปยังห้องคุณตะวันอีกครั้ง โดยไม่มองรุ่นน้องอีกเลย รักตปักษ์จึงลุกขึ้นสะพายกระเป๋า หยิบหมวกกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง แต่พอนั่งบนคามุยอิ ความคิดอีกอย่างก็แล่นเข้าหัวในบัดดล
บททดสอบทำให้รักตปักษ์รู้สึกเหมือนพลังชีวิตหายไปกว่าครึ่ง ความจริงเขาควรบึ่งรถกลับบ้านนอนพักยาวไปจนถึงเช้า แต่เมื่อนึกถึงบัญชีแค้นตอนกลางวัน ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่าหากกลับตอนนี้เขาคงข่มตาหลับไม่ลง
หัตถ์เทพ
เสียงทรงพลังของบิ๊กไบค์แผดสนั่นก่อนพุ่งปราดลงไปบนถนน มุ่งหน้าตรงไปหาเป้าหมายซึ่งอยู่คนละทิศกับบ้านของตัวเอง ไม่ถึงสิบนาทีรักตปักษ์ก็นำรถเข้าที่จอด ถึงจะเหนื่อยจนไม่อยากก้าวขาแต่ความแค้นที่อัดแน่นเต็มอกเหมือนเป็นตัวเสริมพลัง ชักพาเท้าทั้งสองให้เดินเข้าไปในร้าน ตามองตรงไปยังบาร์ เมื่อเห็นหัตถ์เทพกำลังก้มหน้าปั้นข้าวโดยไม่ทันสังเกตเห็นการมาของเขา ชายหนุ่มจึงเข้าไปนั่งตรงจุดที่อยู่หน้าเชฟพอดี แต่แทนที่จะเอ่ยคำทักทาย เขากลับหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ชาเขียวเย็น”
เสียงของรักตปักษ์ทำให้นิ้วเรียวยาวที่กำลังคลึงข้าวให้ขึ้นรูปหยุดชะงัก ดวงตาคมของหัตถ์เทพเหลือบขึ้นมอง พอเห็นหน้าลูกค้าเจ้าประจำ เขาจึงส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทัก
“คุณรักตปักษ์”
ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวทักทายตอบกลับไป หากส่งความอาฆาตผ่านทางสายตาไปยังเชฟใหญ่ของร้าน ก่อนเลื่อนลงไปมองเมนู ไล่ไปทีละหน้าแต่กลับนึกไม่ออกว่าจะสั่งอะไร ทั้งที่หิวจนไส้กิ่วแต่ผลของความเครียดหลังสอบทำให้เขาเหนื่อยจนกลืนอะไรไม่ลง
“ผมขอมิโซะซุป”
สั่งแค่นั้นก่อนส่งเมนูคืนให้พนักงาน และหันกลับไปจ้องคู่แค้นที่กำลังเรียงข้าวปั้นใส่จาน เมื่อทำครบตามเมนูที่ลูกค้าสั่งหัตถ์เทพจึงเบนความสนใจกลับมาทางรักตปักษ์ แน่นอนว่าเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายสั่งอะไร และนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเหตุใดวันนี้คนกินเก่งอย่างรักตปักษ์จึงสั่งแต่ซุปมิโสะ แต่พอเห็นสีหน้าอิดโรยกับรอยคล้ำใต้ขอบตาซึ่งไม่ปรากฏเมื่อตอนกลางวัน เชฟหนุ่มจึงพอจะเดาออกว่าคนตรงหน้าเพิ่งผ่านศึกในที่ทำงานมาหมาดๆ
“ข้อสอบยากขนาดนั้นเลยหรือครับ” หัตถ์เทพเปรยพอให้ได้ยิน รักตปักษ์ผงกหัวขึ้นมองด้วยความแปลกใจ หมอนี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเพิ่งผ่านการทดสอบ ทั้งที่ยังไม่ได้บอกอะไรเลยสักคำ
“คุณรู้ได้ยังไง”
ถามเสียงกระด้าง เชฟหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“หน้าคุณตอนนี้เหมือนนักศึกษาเพิ่งออกจากห้องสอบไม่มีผิด” เขาเฉลยด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ชวนหงุดหงิด รักตปักษ์เบะปาก
“เชอะ! ทำเป็นรู้ดี” พูดด้วยความหมั่นไส้ อีกฝ่ายจึงเลิกคิ้ว
“หรือว่าผมเดาพลาด”
รักตปักษ์อ้าปากเหมือนจะแย้งแต่ดันเถียงไม่ออก ว่าแต่ทำไมหมอนี่ถึงรู้
“เกือบถูก” ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงแถมยังเกิดอาการประหม่าไม่กล้ามองหน้า “ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ”
หัตถ์เทพหัวเราะเบาๆกับคำถามนั้น
“สภาพคุณเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด”
อะไรกัน นี่เขาโทรมจนคนอื่นดูออกเลยหรือนี่ รักตปักษ์คิดอย่างตระหนก ที่จริงเขาก็ไม่แคร์หรอกว่าใครจะเห็นหรือคิดยังไง ยกเว้นไอ้เชฟบ้านี่คนเดียว
ฮึ ! หัวเด็ดตีนขาดยังไง เขาจะไม่มีวันแสดงความอ่อนแอออกมาให้หมอนี่เห็นอย่างเด็ดขาด
“เกินไปมั้ง แค่เหนื่อยนิดหน่อยเอง” ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขามาร้านนี้ก็เพื่อทวงบัญชีแค้น “อ้อ ขอบคุณสำหรับข้าวกล่องตอนกลางวัน ผมรู้สึกประทับใจมากเลย”
รักตปักษ์กระแทกเสียงประชด และโกรธจนความดันแทบขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มละมุนของอีกฝ่าย
“ดีใจครับที่คุณชอบ” เสียงของหัตถ์เทพนุ่มแถมเจือความหวานนิดๆ ชวนให้คนได้ยินขนลุก
“แต่แหม เกรงใจเชฟจังเลยครับที่อุตส่าห์แต่งข้าวมาซะวิจิตรพิสดารเลย” ชายหนุ่มยังคง-ดันไม่หยุด ตาทั้งคู่มองหัตถ์เทพเขม็งเหมือนพร้อมจะหาเรื่อง “ผมได้ยินรุ่นพี่บอกว่าไอระซังชอบแถมอยู่เรื่อย คุณทำแบบนี้ให้กับทุกคนเลยหรือครับ”
“ก็ไม่ทุกคนหรอกครับ ผมชอบแถมของให้ลูกค้าก็จริง” หัตถ์เทพตอบก่อนเอนตัวไปข้างหน้า “แต่มีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมยินดีทำให้จากหัวใจ”
ลำพังคำพูดยังพอทน แต่ไอ้ประกายตาวิบวับนี่มันดูไม่น่าไว้ใจเอาเลย รักตปักษ์ขยับตัวถอยออกห่างด้วยความรู้สึกอึดอัด ซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร การกระทำที่ชวนให้เขาต้องคิดมากหรือดวงตาคมดุของเชฟที่กำลังเต้นไหวแปลกๆ ให้ตายเถอะนี่เขากำลังกลัวเรื่องบ้าอะไรอยู่ ที่มานี่ก็เพื่อจะแก้เผ็ดตอบแทนเรื่องข้าวกล่องตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ
ชายหนุ่มอ้าปากเพื่อโต้กลับ แต่ความเครียดจากบททดสอบทำให้สมองล้าจนคิดอะไรไม่ออก
บ้าเอ๊ย !
รักตปักษ์สบถในใจก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ และคงอยู่ในท่านั้นอีกสองสามนาทีถ้าไม่ถูกอะไรเย็นๆ มาแตะบนหลังคอ
“เฮ้ย!” เขาอุทานพร้อมกับลุกพรวดขึ้น ถึงได้เห็นว่าต้นเหตุคือผ้าเย็นที่หัตถ์เทพยื่นส่งมาให้
“เช็ดหน้าหน่อยก่อนดีกว่าครับ จะได้สดชื่นขึ้น”
เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างหล่อ รักตปักษ์เบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้แต่ก็ยังรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดหน้าตาตามที่อีกฝ่ายแนะนำ ความเย็นฉ่ำทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆ แต่ได้เอนหลังนอนหลับสักตื่นคงดีกว่านี้มาก
อ้าว แล้วเขาจะแวะมาที่นี่ทำไม
พูดเอง ถามเอง แถมยังนึกด่าตัวเองเสร็จสรรพ หัตถ์เทพซึ่งดูเหมือนจะอ่านความรู้สึกของชายหนุ่มออกจึงเอ่ยแนะ
“ใช้สมองมาอย่างหนักแบบนี้ต้องหาอะไรหวานๆ ช่วย ที่จริงแล้วโกโก้ร้อนดีที่สุดแต่ทางร้านเราไม่มี งั้นคงต้องเป็นพุดดิ้งหรือคัสตาร์ด คุณรักตปักษ์ชอบแบบไหนครับผมจะได้บอกพนักงานถูก”
คนถูกถามทำอิดเอื้อนไม่ยอมตอบ ความจริงตอนแรกเขาเองก็ตั้งใจสั่งของหวานมากินอยู่เหมือนกันแต่เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องคิดหาทางแกล้งหัตถ์เทพ เลยลืม
“ว่าไงครับ” เชฟหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง “ถ้าไม่ตอบผมขอถือวิสาสะสั่งให้ก็แล้วกันนะครับ”
“พุดดิ้ง” รักตปักษ์รีบพูด หน้าร้อนนิดๆ เมื่อเห็นสายตาขำของหัตถ์เทพ อ้าว ถามมาก็บอก แล้วตอนนี้จะมาทำเป็นหัวเราะ ทำไมวะ ผู้ชายกินพุดดิ้งมันตลกมากเหรอ
“รับทราบครับ” เชฟใหญ่ของร้านพูดพลางเอ่ยเรียกพนักงานร้านที่เดินมาพอดี “ขอพุดดิ้งให้ลูกค้าท่านนี้ด้วยมินะจัง”
“ค่ะไอระซัง” สาวน้อยหันมาตอบเสียงใสและโค้งตัวน้อยๆด้วยกิริยาน่ารักก่อนไปจัดการตามสั่ง ไม่นานพุดดิ้งในจานเล็กๆ ก็ถูกนำมาวางตรงหน้ารักตปักษ์
“พุดดิ้งร้านเรามีส่วนประกอบของน้ำผึ้งสีทองจากเมืองอะคิตะ ช่วยทำให้สดชื่น ไล่ความเหนื่อยล้าให้หายไปได้ราวปลิดทิ้งเลยครับ”
หัตถ์เทพกล่าวแนะนำตามหน้าที่ของเชฟที่ดีแถมยังผายมือเชิญให้ลูกค้าคนสำคัญได้ลองชิม รักตปักษ์แอบเบะปากพลางนึกค่อนขอดอยู่ในใจว่า น้ำผึ้งที่ไหนมันก็เหมือนกัน ไม่ต้องสาธยายให้มากความหรอก
ใจคิดอย่างหนึ่งแต่ปากกลับพูดออกมาอีกอย่าง “ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ เหมาะเลยผมกำลังเพลียอยู่พอดี งั้นขอชิมหน่อยนะครับ”
พูดพลางหยิบช้อนไม้ตักพุดดิ้งใส่ปาก มันก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านอื่นมากนัก แต่ชายหนุ่มก็ยอมรับในข้อที่ว่า อร่อย
“เป็นยังไงครับ” พอคำสุดท้ายหายเข้าปาก หัตถ์เทพก็รีบเอ่ยถามอย่างใส่ใจ รักตปักษ์พยักหน้าช้าๆ วางช้อนบนจาน
“ไม่เลว ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดนึง”
ทีแรกก็กะพูดส่งออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสายตาของหัตถ์เทพแล้ว ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่าคิดผิด เพราะไม่ได้เป็นการมองแบบเชฟกับลูกค้า หากแฝงความห่วงใยและอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกเอาไว้ด้วย
“ดีแล้วครับ ทีนี้กลับบ้าน นอนพักให้เยอะๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรงสู้ศึกครั้งต่อไป”
เชฟหนุ่มพูดราวกับรู้ ทำให้รักตปักษ์ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
“ศึกอะไร”