เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 8 กำลังใจจากคนที่คิดไม่ถึง

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ 8 กำลังใจจากคนที่คาดไม่ถึง

          ตาย !

          เวลานี้มีเพียงคำเดียวที่กำลังวิ่งสะท้อนไปมาอยู่ภายในหัวของรักตปักษ์เหมือนลูกบอลที่เด้งไปกระทบกระแทกผนังสี่ด้าน พอเขียนอักษรตัวสุดท้ายและส่งกระดาษคำตอบให้วินัยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องประชุมในสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ พอถึงเก้าอี้เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งก่อนเหยียดลำตัวพาดกับโต๊ะทำงานในลักษณะของคนใกล้ตาย โชคดีที่พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องภาพลักษณ์ ชายหนุ่มเลยนอนแช่ค้างอยู่ท่านั้น ส่วนวินัยหอบกระดาษคำตอบของเขาหายเข้าไปในห้องคุณตะวัน และดูท่าว่าจะอยู่ในนั้นอีกนาน รักตปักษ์จึงตั้งใจว่าจะนอนพักสมองให้เบาลงหน่อย ไม่งั้นคงขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านไม่ไหว

          พอนึกถึงข้อสอบปุ๊บ ท้องไส้ก็เกิดอาการปั่นป่วนพาลจะอ้วกขึ้นมาปั๊บจนรักตปักษ์ต้องร้องโอย

          “อ้าว หมดแรงเลยเหรอคนเก่ง” วินัยซึ่งเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานเอ่ยทัก รุ่นน้องจอมแสบเลยผงกหัวขึ้นส่งยิ้มแหยเต็มทีให้

          “แค่ค่าพลังชีวิตลดฮวบลงไปครึ่งนึงครับพี่ ยังไม่ถึงตาย”

          ลองปากดีอย่างนี้แสดงว่ายังพอไปไหว วินัยจึงแกล้งขู่ “งั้นเรามาทำข้อสอบกันอีกรอบ...”

          “โอ๊ย! พี่นัยครับ พี่จะฆ่าผมให้ตายวันนี้เลยหรือครับ” รักตปักษ์โอดครวญก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พนักงานรุ่นพี่จึงใช้สันหนังสือเคาะหัวเบาๆ

          “ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อน ลุกขึ้นกลับบ้านได้แล้ว เข้านอนแต่หัวค่ำ ชาร์ตพลังให้เต็ม พรุ่งนี้คุณต้องมาทำอีกรอบ”

          “หา!” ชายหนุ่มยกหัวขึ้นร้องเสียงหลง ก่อนทำตาละห้อยเพื่อยื่นข้อต่อรอง “ขอพักสักวันไม่ได้หรือครับ”

          ลากท้ายประโยคด้วยเสียงน่าสงสาร แต่คนฟังไม่ยอมใจอ่อนตามไปด้วย เพราะบททดสอบครั้งนี้จะส่งผลดีต่อหน้าที่การงานของรักตปักษ์ วินัยจึงจำต้องสวมวิญญาณรุ่นพี่สุดโหด

          “ไม่ได้” เขาปฏิเสธเสียงหนักก่อนใช้มะเหงกเคาะหัวรุ่นน้อง “ถ้าไม่อยากทำงานแค่ขี่มอเตอร์ไซด์ส่งของไปวันๆ คุณต้องสอบให้ผ่าน ห้ามพัก ห้ามตายเด็ดขาดเข้าใจไหม”

          น้ำเสียงดุและจริงจังจนรักตปักษ์ต้องรีบนั่งตัวตรงพร้อมขานรับอย่างเร็ว

          “ครับ”

          พอเห็นรุ่นน้องตัวแสบยอมทำตาม สีหน้าเคร่งขรึมของวินัยก็คลายลง เขาบีบไหล่รักตปักษ์เบาๆ เหมือนให้กำลังใจ

          “ผมเคยผ่านจุดนี้มาก่อน รู้ดีว่าเหนื่อยและเครียดแค่ไหน แต่เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพคุณต้องทำและผ่านมันไปให้ได้ อดทนหน่อยนะรัก”

          เป็นคำเตือนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี รักตปักษ์เงยหน้าขึ้นมองวินัยก่อนผงกศีรษะรับคำด้วยท่าทางที่ดูจริงจังมากขึ้น

          “ครับพี่ ผมจะพยายาม”

          “ดีมาก” วินัยพูด “งั้นก็กลับบ้านได้แล้ว นอนพักให้มากๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรงสู้กับบททดสอบชุดต่อไป อ้อ ขอเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนเลยนะว่า โหดกว่าวันนี้แยะ”

          ไม่ขู่เปล่ายังมีการส่งแยกเขี้ยวสำทับ หัวใจของรักตปักษ์ที่เริ่มดีขึ้นเลยฝ่อลงไปอีกครั้ง

          “โหยพี่ เล่นขู่กันล่วงหน้าแบบนี้ผมกลัวนะครับ”

          “ดี จะได้ไม่ประมาท เอ้า! นี่มันทุ่มกว่าแล้วจะนั่งอยู่อีกทำไม ไปเร็ว!” วินัยกระตุ้นเตือนก่อนเดินไปที่โต๊ะทำงาน หอบแฟ้มตั้งใหญ่เดินย้อนกลับไปยังห้องคุณตะวันอีกครั้ง โดยไม่มองรุ่นน้องอีกเลย รักตปักษ์จึงลุกขึ้นสะพายกระเป๋า หยิบหมวกกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง แต่พอนั่งบนคามุยอิ ความคิดอีกอย่างก็แล่นเข้าหัวในบัดดล

          บททดสอบทำให้รักตปักษ์รู้สึกเหมือนพลังชีวิตหายไปกว่าครึ่ง ความจริงเขาควรบึ่งรถกลับบ้านนอนพักยาวไปจนถึงเช้า แต่เมื่อนึกถึงบัญชีแค้นตอนกลางวัน ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่าหากกลับตอนนี้เขาคงข่มตาหลับไม่ลง  

          หัตถ์เทพ

          เสียงทรงพลังของบิ๊กไบค์แผดสนั่นก่อนพุ่งปราดลงไปบนถนน มุ่งหน้าตรงไปหาเป้าหมายซึ่งอยู่คนละทิศกับบ้านของตัวเอง ไม่ถึงสิบนาทีรักตปักษ์ก็นำรถเข้าที่จอด ถึงจะเหนื่อยจนไม่อยากก้าวขาแต่ความแค้นที่อัดแน่นเต็มอกเหมือนเป็นตัวเสริมพลัง ชักพาเท้าทั้งสองให้เดินเข้าไปในร้าน ตามองตรงไปยังบาร์ เมื่อเห็นหัตถ์เทพกำลังก้มหน้าปั้นข้าวโดยไม่ทันสังเกตเห็นการมาของเขา ชายหนุ่มจึงเข้าไปนั่งตรงจุดที่อยู่หน้าเชฟพอดี แต่แทนที่จะเอ่ยคำทักทาย เขากลับหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน

          “ชาเขียวเย็น”

          เสียงของรักตปักษ์ทำให้นิ้วเรียวยาวที่กำลังคลึงข้าวให้ขึ้นรูปหยุดชะงัก ดวงตาคมของหัตถ์เทพเหลือบขึ้นมอง พอเห็นหน้าลูกค้าเจ้าประจำ เขาจึงส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทัก

          “คุณรักตปักษ์”

          ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวทักทายตอบกลับไป หากส่งความอาฆาตผ่านทางสายตาไปยังเชฟใหญ่ของร้าน ก่อนเลื่อนลงไปมองเมนู ไล่ไปทีละหน้าแต่กลับนึกไม่ออกว่าจะสั่งอะไร ทั้งที่หิวจนไส้กิ่วแต่ผลของความเครียดหลังสอบทำให้เขาเหนื่อยจนกลืนอะไรไม่ลง

          “ผมขอมิโซะซุป”

          สั่งแค่นั้นก่อนส่งเมนูคืนให้พนักงาน และหันกลับไปจ้องคู่แค้นที่กำลังเรียงข้าวปั้นใส่จาน เมื่อทำครบตามเมนูที่ลูกค้าสั่งหัตถ์เทพจึงเบนความสนใจกลับมาทางรักตปักษ์ แน่นอนว่าเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายสั่งอะไร และนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเหตุใดวันนี้คนกินเก่งอย่างรักตปักษ์จึงสั่งแต่ซุปมิโสะ แต่พอเห็นสีหน้าอิดโรยกับรอยคล้ำใต้ขอบตาซึ่งไม่ปรากฏเมื่อตอนกลางวัน เชฟหนุ่มจึงพอจะเดาออกว่าคนตรงหน้าเพิ่งผ่านศึกในที่ทำงานมาหมาดๆ

          “ข้อสอบยากขนาดนั้นเลยหรือครับ” หัตถ์เทพเปรยพอให้ได้ยิน รักตปักษ์ผงกหัวขึ้นมองด้วยความแปลกใจ หมอนี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเพิ่งผ่านการทดสอบ ทั้งที่ยังไม่ได้บอกอะไรเลยสักคำ

          “คุณรู้ได้ยังไง”

          ถามเสียงกระด้าง เชฟหนุ่มหัวเราะเบาๆ

          “หน้าคุณตอนนี้เหมือนนักศึกษาเพิ่งออกจากห้องสอบไม่มีผิด” เขาเฉลยด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ชวนหงุดหงิด รักตปักษ์เบะปาก

          “เชอะ! ทำเป็นรู้ดี” พูดด้วยความหมั่นไส้ อีกฝ่ายจึงเลิกคิ้ว

          “หรือว่าผมเดาพลาด”

          รักตปักษ์อ้าปากเหมือนจะแย้งแต่ดันเถียงไม่ออก ว่าแต่ทำไมหมอนี่ถึงรู้ ยิ้มมีตาวิเศษหรือไงวะ

          “เกือบถูก” ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงแถมยังเกิดอาการประหม่าไม่กล้ามองหน้า “ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ”

          หัตถ์เทพหัวเราะเบาๆกับคำถามนั้น

          “สภาพคุณเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด”

          อะไรกัน นี่เขาโทรมจนคนอื่นดูออกเลยหรือนี่ รักตปักษ์คิดอย่างตระหนก ที่จริงเขาก็ไม่แคร์หรอกว่าใครจะเห็นหรือคิดยังไง ยกเว้นไอ้เชฟบ้านี่คนเดียว

          ฮึ ! หัวเด็ดตีนขาดยังไง เขาจะไม่มีวันแสดงความอ่อนแอออกมาให้หมอนี่เห็นอย่างเด็ดขาด

          “เกินไปมั้ง แค่เหนื่อยนิดหน่อยเอง” ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขามาร้านนี้ก็เพื่อทวงบัญชีแค้น “อ้อ ขอบคุณสำหรับข้าวกล่องตอนกลางวัน ผมรู้สึกประทับใจมากเลย”

          รักตปักษ์กระแทกเสียงประชด และโกรธจนความดันแทบขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มละมุนของอีกฝ่าย

          “ดีใจครับที่คุณชอบ” เสียงของหัตถ์เทพนุ่มแถมเจือความหวานนิดๆ ชวนให้คนได้ยินขนลุก ยิ้ม แกล้งกูจริงๆด้วย รักตปักษ์คิด

          “แต่แหม เกรงใจเชฟจังเลยครับที่อุตส่าห์แต่งข้าวมาซะวิจิตรพิสดารเลย” ชายหนุ่มยังคง-ดันไม่หยุด ตาทั้งคู่มองหัตถ์เทพเขม็งเหมือนพร้อมจะหาเรื่อง “ผมได้ยินรุ่นพี่บอกว่าไอระซังชอบแถมอยู่เรื่อย คุณทำแบบนี้ให้กับทุกคนเลยหรือครับ”

          “ก็ไม่ทุกคนหรอกครับ ผมชอบแถมของให้ลูกค้าก็จริง” หัตถ์เทพตอบก่อนเอนตัวไปข้างหน้า “แต่มีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมยินดีทำให้จากหัวใจ”  

          ลำพังคำพูดยังพอทน แต่ไอ้ประกายตาวิบวับนี่มันดูไม่น่าไว้ใจเอาเลย รักตปักษ์ขยับตัวถอยออกห่างด้วยความรู้สึกอึดอัด ซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร การกระทำที่ชวนให้เขาต้องคิดมากหรือดวงตาคมดุของเชฟที่กำลังเต้นไหวแปลกๆ ให้ตายเถอะนี่เขากำลังกลัวเรื่องบ้าอะไรอยู่ ที่มานี่ก็เพื่อจะแก้เผ็ดตอบแทนเรื่องข้าวกล่องตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ

          ชายหนุ่มอ้าปากเพื่อโต้กลับ แต่ความเครียดจากบททดสอบทำให้สมองล้าจนคิดอะไรไม่ออก

          บ้าเอ๊ย !

          รักตปักษ์สบถในใจก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ และคงอยู่ในท่านั้นอีกสองสามนาทีถ้าไม่ถูกอะไรเย็นๆ มาแตะบนหลังคอ

          “เฮ้ย!” เขาอุทานพร้อมกับลุกพรวดขึ้น ถึงได้เห็นว่าต้นเหตุคือผ้าเย็นที่หัตถ์เทพยื่นส่งมาให้

          “เช็ดหน้าหน่อยก่อนดีกว่าครับ จะได้สดชื่นขึ้น”

          เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างหล่อ รักตปักษ์เบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้แต่ก็ยังรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดหน้าตาตามที่อีกฝ่ายแนะนำ ความเย็นฉ่ำทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆ แต่ได้เอนหลังนอนหลับสักตื่นคงดีกว่านี้มาก

          อ้าว แล้วเขาจะแวะมาที่นี่ทำไม

          พูดเอง ถามเอง แถมยังนึกด่าตัวเองเสร็จสรรพ หัตถ์เทพซึ่งดูเหมือนจะอ่านความรู้สึกของชายหนุ่มออกจึงเอ่ยแนะ

          “ใช้สมองมาอย่างหนักแบบนี้ต้องหาอะไรหวานๆ ช่วย ที่จริงแล้วโกโก้ร้อนดีที่สุดแต่ทางร้านเราไม่มี งั้นคงต้องเป็นพุดดิ้งหรือคัสตาร์ด คุณรักตปักษ์ชอบแบบไหนครับผมจะได้บอกพนักงานถูก”

             คนถูกถามทำอิดเอื้อนไม่ยอมตอบ ความจริงตอนแรกเขาเองก็ตั้งใจสั่งของหวานมากินอยู่เหมือนกันแต่เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องคิดหาทางแกล้งหัตถ์เทพ เลยลืม

          “ว่าไงครับ” เชฟหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง “ถ้าไม่ตอบผมขอถือวิสาสะสั่งให้ก็แล้วกันนะครับ”

          “พุดดิ้ง” รักตปักษ์รีบพูด หน้าร้อนนิดๆ เมื่อเห็นสายตาขำของหัตถ์เทพ อ้าว ถามมาก็บอก แล้วตอนนี้จะมาทำเป็นหัวเราะ ทำไมวะ ผู้ชายกินพุดดิ้งมันตลกมากเหรอ

          “รับทราบครับ” เชฟใหญ่ของร้านพูดพลางเอ่ยเรียกพนักงานร้านที่เดินมาพอดี “ขอพุดดิ้งให้ลูกค้าท่านนี้ด้วยมินะจัง”

          “ค่ะไอระซัง” สาวน้อยหันมาตอบเสียงใสและโค้งตัวน้อยๆด้วยกิริยาน่ารักก่อนไปจัดการตามสั่ง ไม่นานพุดดิ้งในจานเล็กๆ ก็ถูกนำมาวางตรงหน้ารักตปักษ์

          “พุดดิ้งร้านเรามีส่วนประกอบของน้ำผึ้งสีทองจากเมืองอะคิตะ ช่วยทำให้สดชื่น ไล่ความเหนื่อยล้าให้หายไปได้ราวปลิดทิ้งเลยครับ”

          หัตถ์เทพกล่าวแนะนำตามหน้าที่ของเชฟที่ดีแถมยังผายมือเชิญให้ลูกค้าคนสำคัญได้ลองชิม รักตปักษ์แอบเบะปากพลางนึกค่อนขอดอยู่ในใจว่า น้ำผึ้งที่ไหนมันก็เหมือนกัน ไม่ต้องสาธยายให้มากความหรอก

          ใจคิดอย่างหนึ่งแต่ปากกลับพูดออกมาอีกอย่าง “ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ เหมาะเลยผมกำลังเพลียอยู่พอดี งั้นขอชิมหน่อยนะครับ”

          พูดพลางหยิบช้อนไม้ตักพุดดิ้งใส่ปาก มันก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านอื่นมากนัก แต่ชายหนุ่มก็ยอมรับในข้อที่ว่า อร่อย

          “เป็นยังไงครับ” พอคำสุดท้ายหายเข้าปาก หัตถ์เทพก็รีบเอ่ยถามอย่างใส่ใจ รักตปักษ์พยักหน้าช้าๆ วางช้อนบนจาน

          “ไม่เลว ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดนึง”

          ทีแรกก็กะพูดส่งออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสายตาของหัตถ์เทพแล้ว ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่าคิดผิด เพราะไม่ได้เป็นการมองแบบเชฟกับลูกค้า หากแฝงความห่วงใยและอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกเอาไว้ด้วย

          “ดีแล้วครับ ทีนี้กลับบ้าน นอนพักให้เยอะๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรงสู้ศึกครั้งต่อไป”

          เชฟหนุ่มพูดราวกับรู้ ทำให้รักตปักษ์ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

          “ศึกอะไร”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่