หนี้ทำงานอย่างไร?
Credit :
http://wp.me/p8CMTb-18
มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งมาจากต่างประเทศ มาที่โรงแรมบูติกแห่งเดียวในตำบลนั้น วางเงินมัดจำไว้บนเคาเตอร์ 10,000 บาท แล้วก็พากันขึ้นไปสำรวจห้องพักก่อนตัดสินใจ
ระหว่างนั้น เจ้าของโรงแรมก็หยิบเงินก้อนนั้น รีบวิ่งไปชำระหนี้ที่ค้างไว้กับร้านขายผักเจ้าของร้านขายผักรับเงินก้อนนั้นเสร็จก็รีบวิ่งไปให้ชาวสวนและคนเลี้ยงไก่ที่ตัวเองเป็นหนี้อยู่ ชาวสวนและคนเลี้ยงไก่รับเงินแล้วก็รีบวิ่งไปจ่ายหนี้ให้กับเจ้าของปั๊มน้ำมันและร้านขายอาหารและยาบำรุงสำหรับไก่ เจ้าของปั๊มและเจ้าของร้านขายอาหารและยาก็รีบวิ่งเอาเงินไปให้ญ.บริการที่เขาใช้บริการในยามยาก และขอค้างค่าตัว โดยญ.บริการคนนั้น เมื่อรับเงินแล้ว ก็รีบวิ่งเอาเงินที่ได้ทั้งหมดกลับไปใช้หนี้เจ้าของโรงแรม เพราะเธอค้างค่าโรงแรมตอนที่พาแขกมานอนเจ้าของโรงแรมจึงเอาเงินก้อนนั้นวางไว้บนเค้าเตอร์ดังเดิม
พอนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นสำรวจห้องเสร็จ ก็พากันลงมา แต่มีผู้หญิงสองคนบอกว่าเธอไม่ชอบวิว
พวกเขาจึงตัดสินใจไม่พัก แล้วหยิบเงินมัดจำกลับใส่กระเป๋า เดินออก
และสตาร์ทรถแล้วขับไปยังเมืองอื่นต่อไป"
*จากเรื่องเล่านี้ เราจะเห็นว่าไม่มีผู้ประกอบการคนใดในตำบลนี้สร้างรายได้เพิ่มเลยแม้แต่คนเดียวจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้น แต่ทว่า ทั่วทั้งตำบลขณะนี้ปลอดหนี้สินเสียแล้ว และทุกคนก็เริ่มอยู่อย่างมีความหวัง
เมื่อต้นปี Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อก้องโลก ได้เขียนความเห็นต่อหนี้สิน ลงในบทความชื่อ “Nobody Understands Debt” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The New York Times ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าถ้าประเทศในโลกก่อหนี้จำนวนมากโดยใช้นโยบายการคลังขาดดุล (เป็นประชานิยมแบบหนึ่ง) เท่ากับเป็นการขโมยเอาจากลูกหลาน หรือลูกหลานจะต้องลำบาก
เขาว่าคนคิดแบบนั้นเข้าใจผิด เขาว่าครอบครัวที่ติดหนี้สินเยอะย่อมทำให้ตัวเองจนลง เพราะครอบครัวติดหนี้คนอื่น ต่างกับระบบเศรษฐกิจของทั้งโลกที่ติดหนี้ตัวเอง และเพราะตัวเองเป็นหนี้ตัวเองนั่นแหล่ะ มันถึงไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจนลงเมื่อก่อหนี้ และการชำระหนี้คืนก็มิได้ทำให้พวกเรารวยขึ้น เพราะเมื่อมีการก่อหนี้ มันย่อมมีลูกหนี้และเจ้าหนี้ เป็นของคู่กันเสมอ ถ้านับโลกทั้งโลก มีคนกู้ก็ต้องมีคนให้กู้เสมอ มีเครดิตก็ต้องมีเดบิต ทุกๆ รายการจะต้องจับคู่กันได้ เมื่อหักกลบลบกันแล้วก็เป็นศูนย์ ตามหลักการบัญชีมาตรฐานที่ใช้กันทั้งโลก และผู้ประกอบการเหล่านั้นต่างก็ผลิตและให้บริการ แล้วก็รับผลผลิตและรับบริการซึ่งกันและกันในอดีตด้วยเงินเชื่อ ซึ่งน่าจะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และบันทึกไว้ในบัญชีรายได้ประชาชาติ
หนี้ทำงานอย่างไร โดย Paul Krugman
Credit : http://wp.me/p8CMTb-18
มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งมาจากต่างประเทศ มาที่โรงแรมบูติกแห่งเดียวในตำบลนั้น วางเงินมัดจำไว้บนเคาเตอร์ 10,000 บาท แล้วก็พากันขึ้นไปสำรวจห้องพักก่อนตัดสินใจ
ระหว่างนั้น เจ้าของโรงแรมก็หยิบเงินก้อนนั้น รีบวิ่งไปชำระหนี้ที่ค้างไว้กับร้านขายผักเจ้าของร้านขายผักรับเงินก้อนนั้นเสร็จก็รีบวิ่งไปให้ชาวสวนและคนเลี้ยงไก่ที่ตัวเองเป็นหนี้อยู่ ชาวสวนและคนเลี้ยงไก่รับเงินแล้วก็รีบวิ่งไปจ่ายหนี้ให้กับเจ้าของปั๊มน้ำมันและร้านขายอาหารและยาบำรุงสำหรับไก่ เจ้าของปั๊มและเจ้าของร้านขายอาหารและยาก็รีบวิ่งเอาเงินไปให้ญ.บริการที่เขาใช้บริการในยามยาก และขอค้างค่าตัว โดยญ.บริการคนนั้น เมื่อรับเงินแล้ว ก็รีบวิ่งเอาเงินที่ได้ทั้งหมดกลับไปใช้หนี้เจ้าของโรงแรม เพราะเธอค้างค่าโรงแรมตอนที่พาแขกมานอนเจ้าของโรงแรมจึงเอาเงินก้อนนั้นวางไว้บนเค้าเตอร์ดังเดิม
พอนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นสำรวจห้องเสร็จ ก็พากันลงมา แต่มีผู้หญิงสองคนบอกว่าเธอไม่ชอบวิว
พวกเขาจึงตัดสินใจไม่พัก แล้วหยิบเงินมัดจำกลับใส่กระเป๋า เดินออก
และสตาร์ทรถแล้วขับไปยังเมืองอื่นต่อไป"
*จากเรื่องเล่านี้ เราจะเห็นว่าไม่มีผู้ประกอบการคนใดในตำบลนี้สร้างรายได้เพิ่มเลยแม้แต่คนเดียวจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้น แต่ทว่า ทั่วทั้งตำบลขณะนี้ปลอดหนี้สินเสียแล้ว และทุกคนก็เริ่มอยู่อย่างมีความหวัง
เมื่อต้นปี Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อก้องโลก ได้เขียนความเห็นต่อหนี้สิน ลงในบทความชื่อ “Nobody Understands Debt” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The New York Times ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าถ้าประเทศในโลกก่อหนี้จำนวนมากโดยใช้นโยบายการคลังขาดดุล (เป็นประชานิยมแบบหนึ่ง) เท่ากับเป็นการขโมยเอาจากลูกหลาน หรือลูกหลานจะต้องลำบาก
เขาว่าคนคิดแบบนั้นเข้าใจผิด เขาว่าครอบครัวที่ติดหนี้สินเยอะย่อมทำให้ตัวเองจนลง เพราะครอบครัวติดหนี้คนอื่น ต่างกับระบบเศรษฐกิจของทั้งโลกที่ติดหนี้ตัวเอง และเพราะตัวเองเป็นหนี้ตัวเองนั่นแหล่ะ มันถึงไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจนลงเมื่อก่อหนี้ และการชำระหนี้คืนก็มิได้ทำให้พวกเรารวยขึ้น เพราะเมื่อมีการก่อหนี้ มันย่อมมีลูกหนี้และเจ้าหนี้ เป็นของคู่กันเสมอ ถ้านับโลกทั้งโลก มีคนกู้ก็ต้องมีคนให้กู้เสมอ มีเครดิตก็ต้องมีเดบิต ทุกๆ รายการจะต้องจับคู่กันได้ เมื่อหักกลบลบกันแล้วก็เป็นศูนย์ ตามหลักการบัญชีมาตรฐานที่ใช้กันทั้งโลก และผู้ประกอบการเหล่านั้นต่างก็ผลิตและให้บริการ แล้วก็รับผลผลิตและรับบริการซึ่งกันและกันในอดีตด้วยเงินเชื่อ ซึ่งน่าจะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และบันทึกไว้ในบัญชีรายได้ประชาชาติ