แชร์ประสบการณ์แพ้กุ้งหนักมากแต่ฝืนกิน และไม่ได้ไปโรงพยาบาล (อยากให้คนแพ้กุ้งอ่านมากๆค่ะ)

สวัสดีค่ะ

เนื่องจากเมื่อสักครู่ได้อ่านกระทู้พี่คนหนึ่งที่แพ้อาหารทะเล จนต้องเข้าโรงพยาบาล
ก็นึกได้ว่าเราก็เป็นเหมือนกัน เลยอยากมาแชร์ในมุมของตัวเองบ้างค่ะ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะคะว่าเราผิดเอง ผิด 100% ที่แพ้แล้วยังฝืนกินเมนูดังกล่าว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง เพราะมันดูน่าตอกย้ำว่าสมควรแล้วมาก
แต่ก็ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์แล้วกันนะคะ ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน
ถ้าวันนั้นเราไม่เป็นขนาดนั้น วันนี้เราคงยัง enjoy eating ตามใจปากเหมือนเดิมค่ะ
เรามาแชร์เพราะเราเห็นว่ามีไม่มากนักที่จะมีคนมาเล่าถึงความน่ากลัวสุดๆ ของคนแพ้อาหาร
ทำให้ยังมีคนส่วนหนึ่งฝืนกินต่อ เราเองเคยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ตอนนี้เราเลิกแล้วค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เกริ่นเรื่องคร่าวๆนะคะ เพราะมันน่าจะเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องเหมือนกัน

เรื่องของเราเกิดที่ญี่ปุ่นค่ะ วันนั้นเป็นวันที่เราต้องขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยตอนเที่ยงคืน
เย็นวันนั้นก็ไปทานข้าวเย็น เราสั่งข้าวผัดกุ้งค่ะ
(เป็นกุ้งใสตัวเล็กๆ ปกติเราจะคันถ้ามีเปลือกส้มๆ แต่อันนี้เราเห็นว่าแกะมาแล้ว ลองกินไปก็ไม่คัน
ซึ่งปกติถ้าคันจะออกอาการเลย เราเลยฝืนกินไปจนหมดจานค่ะ)

ทางมหาวิทยาลัยก็จอง Shuttle bus ให้มารับประมาณ 19.30 น. ที่หอพัก
แต่วันนั้นเราขึ้นรถไฟผิดขบวน (เป็นขบวนที่นั่งยาวไปโอซาก้าค่ะ ไม่จอดระหว่างทาง) ทำให้เราไปถึงหอพักประมาณ 19.40 น.

ตอนเราไปถึงคนขับรถตู้ก็มารออยู่แล้ว เค้าก็พูดว่า Time Time คือเค้าต้องรีบไปรับคนอื่นต่อ
เราเหนื่อยมากค่ะ เพราะจากสถานีรถไฟมาถึงหอพักประมาณ 2 กิโลเมตร เราวิ่งแบบสุดๆ ท่ามกลางอากาศ 9-10 องศา
วิ่งแบบไม่ใช่เหยาะๆนะคะ วิ่งจริงจังเลย ตุบตับ ตุบตับ แถมทางก็ชัน ขึ้นเขาอีกค่ะ
แล้วก็รีบขึ้นไปเอากระเป๋าที่หนัก  20 กิโลกว่าๆ ลงมา (ตอนนั้นเหนื่อยแบบจะขาดใจเลยค่ะ)

และแล้ว...เหตุการณ์ก็เริ่มเกิดขึ้นบนรถตู้
(ในรถเค้าจะไม่เปิดแอร์ค่ะ อากาศข้างนอกเย็นมาก ตอนนั้นเราเลยร้อนมากๆ ร้อนสุดๆ ทั้งที่เพื่อนรู้สึกอบอุ่น และกำลังดี)

ระหว่างที่นั่งรถไปประมาณ 5-10 นาที เราเริ่มรู้สึกคันๆ เหมือนคนที่ไม่เคยออกกำลังกาย แล้ววิ่งหนักๆ มันจะคันเนื้อคันตัว
เราก็เกาๆๆ ยิ่งเกายิ่งคัน คันต้นคอ คันต้นแขน โดยเฉพาะที่หน้า คันมากๆ
(แต่เราก็คิดว่าเพราะเราวิ่งมา เหมือนออกกำลังกายหนักๆเลยคัน + ใส่เสื้อแขนยาว + เสื้อโค้ททับด้วย)

แต่อาการต่อจากนั้นคือ ... เราเริ่มชาที่หน้า และนิ้วมือ ชาเหมือนเวลาเราเอาหนังยางแดงมารัดนิ้ว แล้วส่วนที่ถูกรัดมันมันเปล่ง มันชา
แบบนั้นเลยค่ะ เรารู้สึกว่าหน้าเราไม่ปกติ (ในใจคิดว่า เราคงเหนื่อยมากๆ หน้าเราคงแดงเหมือนคนออกกำลังกาย) เลยหันหน้าไปหาเพื่อน
พอเพื่อนเห็นเท่านั้นแหละ... นางตกใจมากๆ นางผงะแรงมากค่ะ เขย่าตัวเรา ถามเราว่าเราเป็นอะไร ทำไมเราเป็นแบบนี้
เราเองก็ตกใจ เราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร เพราะเราไม่เห็นตัวเองค่ะ มันมืด และในรถมีแค่แสงไฟสลัวๆ

อาการถัดมาคือ... ผื่นค่ะ บวมตุ่มใหญ่ ๆ แบบลมพิษเลยค่ะ
(นาทีนั้นเรานึกได้เลย เราเคยเป็นตอนประถมครั้งเดียว แต่ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว)
อาการต่อไปคือ... ตาเราเหมือนจะปิดค่ะ เรารู้สึกว่าเปลือกตาเราบวม ทั้งบวมทั้งชา
อาการต่อมาคือ.... จมูกค่ะ ปกติจมูกจะนิ่มๆตรงปีกจมูก แต่วันนั้นมันแข็งมากเลยค่ะ กดไม่ลงเลย แข็งจนเราก็กลัว
อาการต่อมาคือ.... ปากค่ะ ปากเราบวม แล้วก็เกือบควบคุมไม่ได้
อาการต่อมาที่เราเริ่มกลัวมากคือ... ลิ้นค่ะ ลิ้นเราแข็งแล้ว มันพูดไม่ชัดแล้ว กระดกลิ้นไม่ได้แล้วค่ะ
อาการสุดท้ายที่เรากังวล และกลัวจะไม่ได้กลับบ้านคือ.... ที่คอค่ะ ข้างในคอ (น่าจะหลอดลม) มันบวมค่ะ มันจุกและกลืนน้ำลายไม่ลง
                                          มันทำให้เรารู้สึกหายใจไม่ค่อยออก จากปกติหายใจได้ 100% ตอนนั้นเราประเมินตัวเองแค่ 30% ค่ะ

นาทีนั้นเรากลัวมากๆ (พิมพ์ไปขนลุกไป) เรากลัวเราไม่ได้กลับบ้านทั้งที่เราจะเดินทางกลับบ้านแล้ว
เพราะคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และเค้าต้องไปรับผู้โดยสารไปสนามบินอีก
ในใจเราตอนนั้นคือ โอกาสไปโรงพยาบาลของเราแทบเป็น 0%
โทรศัพท์เราก็เนตหมดแล้วค่ะ โทรออกไม่ได้ ใช้เนตไม่ได้ ไม่สามารถบอกเซนเซ หรือใครได้เลย มีแค่เรากับเพื่อน มีกันแค่สองคนจริงๆ

สิ่งที่เราทำได้ คือ พยายามควบคุมตัวเองให้ได้ ถ้าเราตกใจ เราจะยิ่งหายใจยาก
ต้องควบคุมลมหายใจ ผ่อนคลายอาการชาทั้งหลายที่มันเกิด
(เราไม่รู้ว่าอาการเราไม่ถึงขีดสุดจริงๆ หรือเราช่วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง เราถึงได้รอดพ้นวิกฤตนั้นมา
หากมีคุณหมอหรือพี่ท่านไหนทราบ ช่วยแนะนำวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยจะดีมากๆเลยค่ะ)

ตอนนั้นเพื่อนมียาดมค่ะ เราก็ดม คนขับคงเข้าใจว่าเราเป็นหอบ เค้าเปิดหน้าต่างให้ด้านเรา เราเอาหน้ายื่นออกไปรับลมเต็มๆ
มันรู้สึกดีขึ้นค่ะ ปล่อยให้ลมตีหน้า เพื่อนก็นวดมือ โดยเฉพาะที่นิ้ว นวดแขน และต้นคอ
ส่วนตัวเราเองก็ขยับหน้าไปเรื่อยๆค่ะ ทำปากจู๋ อ้าปาก แลบลิ้น กรอกตา อาอูอาไปเรื่อยๆ (คงน่าเกียจมากตอนนั้น แต่ไม่สนใจแล้ว 5555)

สุดท้าย วิกฤตนั้นก็คลี่คลายค่ะ
เราใช้เวลาอยู่กับความชา และผื่นลมพิษประมาณ 1 ชั่วโมง
พอเราถึงสนามบิน ทุกอย่างเป็นปกติมากๆ หน้าเราตอนนั้นแค่เหมือนคนร้องไห้ ตาก่ำๆ บวมนิดหน่อย
ทุกอย่างเหมือนเราฝันไปเลยค่ะ

ปล. แต่ก่อนถึงสนามบิน คนขับแวะปั๊มน้ำมัน เราไปส่องกระจก ตอนนั้นหน้าบวมๆ เหมือนคนเพิ่งทำศัลยกรรมเสร็จเลยค่ะ

พอมาถึงบ้าน เราก็ไปหาข้อมูลเลยค่ะว่าลมพิษเกิดจากอะไรบ้าง
- สภาพอากาศ (เราก็ว่ามีส่วน เพราะวันนั้นอากาศเย็นจัดเลยค่ะ แต่เราวิ่งมา อุณหภูมิภายในร่างกายเราร้อนมาก)
- อาหาร (วันนั้นเราทานกุ้ง ที่รู้ว่าตัวเองแพ้กุ้ง)
- ความเครียด (เครียดมากค่ะ เพราะรถไฟที่นั่งมามันวิ่งยาวไปโอซาก้า เราต้องไปแล้วนั่งย้อนกลับมา
                    มันผิดแผนมากๆ และเรากลัวรถไม่รอ เรากลัวจะตกเครื่องด้วย)
- ความเหนื่อย (สุดๆเลยค่ะ วันนั้น มี 100 ให้ 100 เลย ความเหนื่อย เหงื่อแตกพลั่กๆ ใต้เสื้อผ้า)
  จังหวะที่เราไปเอากระเป๋าจากบนห้อง ตอนนั้นเราวูบด้วยค่ะ แต่ทรงตัวได้

ไปหาคุณหมอ (สิว) มาก็เลยเล่าให้คุณหมอฟัง คุณหมอบอกว่าปัจจัยหลายอย่างเลย
ถ้ากลัวหรือคิดว่ามีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นอีก ให้ไปตรวจโดยละเอียด แล้วอาจจะต้องใช้ยาที่แรงเพื่อยับยั้งอาการให้ทันเวลา
(เหมือนจะเป็นเข็มฉีดยาที่เอาไว้ฉีดตัวเอง เวลาอาการออก)

รายละเอียดตรงนี้ไม่ชัวร์นะคะ เราไม่ได้ไปตรวจโดยละเอียดต่อค่ะ เพราะเราค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเพราะกุ้ง
เราเลือกที่จะเลี่ยงมันค่ะ ทุกวันนี้ก็กินนะคะ แต่กำหนดไว้ว่า ไม่เกิน 2 ตัวเท่านั้นค่ะ


สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์จะแชร์ต่อก็ยินดีมากๆค่ะ
เราทราบดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เราเลือกที่จะทำทั้งที่รู้ว่าไม่ควรเอง แต่ก็ยืนยันจะมาเล่าไว้เป็นวิทยาทานค่ะ
" ไม่เห็นโรงศพ ไม่หลั่งน้ำตา " ของแท้เลยค่ะ วันนั้นถ้าเราช๊อคไป เราก็ไม่อยากเป็นเจ้าหญิงนิทรากลับมาบ้านเลยจริงๆ




ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่