ผมมีเรื่องความรักแบบแอบๆมาเล่าให้ฟัง
แต่ไม่ใช่เรื่องมือที่สามที่ต้องแอบซ่อนใคร ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมใดๆ ที่ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะเชื่อว่าคงมีหลายคนคิดไปทางนั้นแล้ว
ผมเป็นพนักงานใหม่ครับเพิ่งเข้าทำงานเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยทีมของผมจะมีรุ่นพี่คนหนึ่ง อายุน่าจะมากกว่าผม 2-3 ปีได้ เธอเป็นผู้หญิงที่ขยันมากครับ และก็ทำงานที่นี่มานานจึงรู้จักและเข้าใจระบบต่างๆในบริษัทเป็นอย่างดี
แรกๆเธอก็จะสอนงานผม และคอยให้คำแนะนำต่างๆเรื่องงานเมื่อผมสอบถามด้วยดีเสมอมา ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ เพียงแต่ว่าทำไมเวลาเธอทำงาน เวลาเธออธิบายงานให้กับผม เธอเล่าได้อย่างมีความสุข ดูเธอคงจะชอบงานที่ทำอยู่นี้ไม่น้อย
จนมีวันหนึ่งทีมของผมไปทานข้าวนอกออฟฟิศกัน ขณะที่ล้อมวงบนโต๊ะอาหารก็มีพี่ร่วมทีมคนหนึ่งถามผมว่ามีแฟนหรือยัง ผมก็ตอบไปตามความจริงว่ายังไม่มี หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของเธอที่มีต่อผมนั้นเปลี่ยนไป
เวลาคุย(งาน)กับผมก็จะจ้องมองผมมากกว่าปกติ เสียงก็นุ่มขึ้นหวานขึ้น หรือแม้แต่ผมกินขนมๆอยู่กับเพื่อนอีกทีมหนึ่ง เมื่อเธอผ่านมาก็ขอแจมกินด้วย เจอพฤติกรรมอย่างงี้บ่อยๆเข้า ผมก็รู้สึกว่าเธอก็น่ารักดีเหมือนกัน
บางวันงานของผมไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ยังหาเรื่องหรือประเด็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับงานเพื่อที่จะได้คุยกับเธอ
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยน เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่งในขณะที่ทำโอที เหลือแต่ผมที่เป็นผู้ชายคนเดียว กับเธอแล้วก็สาวๆทีมส่วนงานอื่น หลังจากที่พวกเธอทานผลไม้แล้วก็นึกอยากจะถ่ายรูปรวม คือกะอยากจะโพสอวดคนที่ไม่ได้ทำโอทีว่ามีผลไม้กินด้วยทำโอทีวันนี้ ปกติผมก็เป็นคนขี้อายอยู่แล้ว แล้วจะให้ถ่ายรูปร่วมกับสาวๆอย่างงี้ ผมจึงปฏิเสธที่จะร่วมถ่ายรูปด้วย เท่านั้นเอง สาวๆก็เหน็บผมกันใหญ่เลย กลัวโดนเช็คละสิ กลัวโดนจับได้ใช่ไหม
หลังจากวันนั้น ไม่ว่าผมจะชวนคุยเรื่องงานอะไร จะชวนกินขนมอะไร ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอไม่สบตาผมเหมือนเดิม น้ำเสียงก็แข็งกระด้าง ผมคาดว่าเธอคงจะโกรธและเสียใจ คิดว่าผมมีคนอื่นแล้วมาหลอกเธอแน่ๆ จึงไม่ต้องการให้ความสนใจผมอีกต่อไปแล้ว ผมก็ไม่สามารถไปพูดหรืออธิบายอะไรได้ พูดไปก็ดูเหมือนแก้ตัวมากกว่า ได้แต่ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
มีอยู่วันหนึ่งผมโทรคุยกับลูกค้าต่างประเทศ เนื่องจากไม่ได้คุยกับลูกค้าคนนี้นาน ผมจึงคุยนานไปนิด และหัวเราะดังไปหน่อย (ลูกค้าคนนี้เป็นผู้หญิง) หลังจากคุยจบ ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอดูหงอยๆลงไป ซึ่งเธออาจจะซึมเพราะเรื่องอื่นหรือเปล่า ผมจึงเดาเข้าข้างตัวเองว่าเธอน่าจะซึมเพราะผมคุยกับผู้หญิงคนอื่นอย่างสนุกสนานก็ได้ ดังนั้น ผมจึงพยายามเข้าไปคุย(เรื่องงาน)กับเธอ พยายามสบตา และยิ้มให้ แม้เธอจะคุยกับผม แต่เธอก็หลบตา และไม่สนใจรอยยิ้มของผมเลย เธอเหมือนอยากจะปลีกตัวไปจากผมด้วยซ้ำ
จนวันนี้ผมก็ทำใจแล้วครับ ว่ามีขึ้นก็ต้องมีลง หลงรักได้ ก็หมดรักได้ พยายามไม่ไปคิดถึงเธออีกแล้ว ไม่ชวนคุยเรื่องงานหรือเรื่องใดๆ ซึ่งเธอก็คงรู้สึกได้ว่าผมดูเงียบๆลง วันนี้จึงมาสอบถามผมเรื่องงาน (ปกติจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายเริ่ม) ผมคิดว่าเธอต้องการจะสังเกตปฏิกิริยาของผมมากกว่า หลังจากคุยงานกับผมเสร็จ เธอก็ยังโทรคุยกับใครไม่รู้ หัวเราะคิกๆเหมือนจะตั้งใจให้ผมได้ยิน
ตอนนี้ ความสัมพันธ์ของผมกับเธอจะเป็นเพื่อนร่วมงานก็ไม่ใช่ จะเป็นคนรู้ใจก็ไม่ใช่ จะเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่อีก ก็วางตัวไม่ค่อยจะถูกจริงๆ ที่ทำได้ก็จะพยายามติดต่อกับเธอเท่าที่จำเป็น
ยอมรับครับว่าผมอยากเคยคิดจะลาออก แต่ก็เหมือนหนีปัญหามากกว่า อีกทั้งกว่าจะถึงวันลาออกจริงๆก็ร่วมเดือน ความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้เศร้าเสียใจอะไร เพราะเราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรที่ลึกซึ้ง เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ความสัมพันธ์ของเราจบลงเร็วไปหน่อย (ยังไม่ทันจะเริ่มอะไรเลย)
เมื่อมองย้อนกลับไปคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา เขารักกันได้อย่างไร ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ไม่เคยจีบกัน ถูกจับคลุมถุงชน แต่ทุกวันนี้ก็รักกันอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข คนรุ่นผมนี่กว่าจะรู้จัก กว่าจะได้เจอกันก็ยากแล้ว กว่าจะจีบกัน กว่าจะจีบติดอีก กว่าจะคบกันดูใจกันอีกกี่ปี ก็ยังไม่รักกันได้ดีเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่เลย อนิจจา...ความรัก
รักแบบลับๆในที่ทำงาน
แต่ไม่ใช่เรื่องมือที่สามที่ต้องแอบซ่อนใคร ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมใดๆ ที่ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะเชื่อว่าคงมีหลายคนคิดไปทางนั้นแล้ว
ผมเป็นพนักงานใหม่ครับเพิ่งเข้าทำงานเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยทีมของผมจะมีรุ่นพี่คนหนึ่ง อายุน่าจะมากกว่าผม 2-3 ปีได้ เธอเป็นผู้หญิงที่ขยันมากครับ และก็ทำงานที่นี่มานานจึงรู้จักและเข้าใจระบบต่างๆในบริษัทเป็นอย่างดี
แรกๆเธอก็จะสอนงานผม และคอยให้คำแนะนำต่างๆเรื่องงานเมื่อผมสอบถามด้วยดีเสมอมา ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ เพียงแต่ว่าทำไมเวลาเธอทำงาน เวลาเธออธิบายงานให้กับผม เธอเล่าได้อย่างมีความสุข ดูเธอคงจะชอบงานที่ทำอยู่นี้ไม่น้อย
จนมีวันหนึ่งทีมของผมไปทานข้าวนอกออฟฟิศกัน ขณะที่ล้อมวงบนโต๊ะอาหารก็มีพี่ร่วมทีมคนหนึ่งถามผมว่ามีแฟนหรือยัง ผมก็ตอบไปตามความจริงว่ายังไม่มี หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของเธอที่มีต่อผมนั้นเปลี่ยนไป
เวลาคุย(งาน)กับผมก็จะจ้องมองผมมากกว่าปกติ เสียงก็นุ่มขึ้นหวานขึ้น หรือแม้แต่ผมกินขนมๆอยู่กับเพื่อนอีกทีมหนึ่ง เมื่อเธอผ่านมาก็ขอแจมกินด้วย เจอพฤติกรรมอย่างงี้บ่อยๆเข้า ผมก็รู้สึกว่าเธอก็น่ารักดีเหมือนกัน
บางวันงานของผมไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ยังหาเรื่องหรือประเด็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับงานเพื่อที่จะได้คุยกับเธอ
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยน เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่งในขณะที่ทำโอที เหลือแต่ผมที่เป็นผู้ชายคนเดียว กับเธอแล้วก็สาวๆทีมส่วนงานอื่น หลังจากที่พวกเธอทานผลไม้แล้วก็นึกอยากจะถ่ายรูปรวม คือกะอยากจะโพสอวดคนที่ไม่ได้ทำโอทีว่ามีผลไม้กินด้วยทำโอทีวันนี้ ปกติผมก็เป็นคนขี้อายอยู่แล้ว แล้วจะให้ถ่ายรูปร่วมกับสาวๆอย่างงี้ ผมจึงปฏิเสธที่จะร่วมถ่ายรูปด้วย เท่านั้นเอง สาวๆก็เหน็บผมกันใหญ่เลย กลัวโดนเช็คละสิ กลัวโดนจับได้ใช่ไหม
หลังจากวันนั้น ไม่ว่าผมจะชวนคุยเรื่องงานอะไร จะชวนกินขนมอะไร ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอไม่สบตาผมเหมือนเดิม น้ำเสียงก็แข็งกระด้าง ผมคาดว่าเธอคงจะโกรธและเสียใจ คิดว่าผมมีคนอื่นแล้วมาหลอกเธอแน่ๆ จึงไม่ต้องการให้ความสนใจผมอีกต่อไปแล้ว ผมก็ไม่สามารถไปพูดหรืออธิบายอะไรได้ พูดไปก็ดูเหมือนแก้ตัวมากกว่า ได้แต่ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
มีอยู่วันหนึ่งผมโทรคุยกับลูกค้าต่างประเทศ เนื่องจากไม่ได้คุยกับลูกค้าคนนี้นาน ผมจึงคุยนานไปนิด และหัวเราะดังไปหน่อย (ลูกค้าคนนี้เป็นผู้หญิง) หลังจากคุยจบ ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอดูหงอยๆลงไป ซึ่งเธออาจจะซึมเพราะเรื่องอื่นหรือเปล่า ผมจึงเดาเข้าข้างตัวเองว่าเธอน่าจะซึมเพราะผมคุยกับผู้หญิงคนอื่นอย่างสนุกสนานก็ได้ ดังนั้น ผมจึงพยายามเข้าไปคุย(เรื่องงาน)กับเธอ พยายามสบตา และยิ้มให้ แม้เธอจะคุยกับผม แต่เธอก็หลบตา และไม่สนใจรอยยิ้มของผมเลย เธอเหมือนอยากจะปลีกตัวไปจากผมด้วยซ้ำ
จนวันนี้ผมก็ทำใจแล้วครับ ว่ามีขึ้นก็ต้องมีลง หลงรักได้ ก็หมดรักได้ พยายามไม่ไปคิดถึงเธออีกแล้ว ไม่ชวนคุยเรื่องงานหรือเรื่องใดๆ ซึ่งเธอก็คงรู้สึกได้ว่าผมดูเงียบๆลง วันนี้จึงมาสอบถามผมเรื่องงาน (ปกติจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายเริ่ม) ผมคิดว่าเธอต้องการจะสังเกตปฏิกิริยาของผมมากกว่า หลังจากคุยงานกับผมเสร็จ เธอก็ยังโทรคุยกับใครไม่รู้ หัวเราะคิกๆเหมือนจะตั้งใจให้ผมได้ยิน
ตอนนี้ ความสัมพันธ์ของผมกับเธอจะเป็นเพื่อนร่วมงานก็ไม่ใช่ จะเป็นคนรู้ใจก็ไม่ใช่ จะเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่อีก ก็วางตัวไม่ค่อยจะถูกจริงๆ ที่ทำได้ก็จะพยายามติดต่อกับเธอเท่าที่จำเป็น
ยอมรับครับว่าผมอยากเคยคิดจะลาออก แต่ก็เหมือนหนีปัญหามากกว่า อีกทั้งกว่าจะถึงวันลาออกจริงๆก็ร่วมเดือน ความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้เศร้าเสียใจอะไร เพราะเราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรที่ลึกซึ้ง เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ความสัมพันธ์ของเราจบลงเร็วไปหน่อย (ยังไม่ทันจะเริ่มอะไรเลย)
เมื่อมองย้อนกลับไปคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา เขารักกันได้อย่างไร ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ไม่เคยจีบกัน ถูกจับคลุมถุงชน แต่ทุกวันนี้ก็รักกันอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข คนรุ่นผมนี่กว่าจะรู้จัก กว่าจะได้เจอกันก็ยากแล้ว กว่าจะจีบกัน กว่าจะจีบติดอีก กว่าจะคบกันดูใจกันอีกกี่ปี ก็ยังไม่รักกันได้ดีเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่เลย อนิจจา...ความรัก