จริงๆก็มโนให้เข้าใจได้นะว่าทำไมศาสนาพุทธจึงมีการสอนเรื่อง สวรรค์ - นรก มาเกี่ยวข้อง ทั้งๆที่พิสูจน์เป็นวิยาศาสตร์ไม่ได้

กระทู้สนทนา
ศาสนาอื่นก็มี สวรรค์ - นรก แต่เก๊าจะไม่พาดพิง

คิดต่าง แต่เข้าใจ เราอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

เริ่มละนะ
พื้นฐานส่วนตัวคือเป็นชาวพุทธถูกสอนเรื่องสวรรค์ - นรก ฝังมาแต่ละอ่อนเหมือนคนไทยทั่วๆไปแต่พอโตมาก็ไม่ได้ปักใจคิดหรือเป็นทุกข์แล้วในเรื่องของทั้งการมีหรือไม่อยู่จริงของทั้ง 2 ที่

ตอนเด็กๆ เวลาครูสอนความรู้เรื่องศาสนา ครูจะบอกว่า จุดประสงค์ของทุกๆศาสนาคือการสอนให้คนเป็นคนดี ซึ่งที่เรียนเด็กๆ เราก็จำแต่ไม่ได้คิด และไม่ได้นำมาตีความ จำแค่ตัวความรู้ในหนังสือ ท่องบทสวดมนต์อติปิโสไปตามแต่ครูจะให้ท่อง

พอโตขึ้นมาอีกนิดเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง อ่านเยอะ เริ่มเดินทางเยอะ เริ่มฟัง พูด แลกเปลี่ยนทรรศนะคติกับผู้คนรอบๆ เยอะขึ้น เริ่มคิดพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น เริ่มเข้าใจจุดประสงค์จริงๆ ของศาสนาพุทธมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าเอาสั้นๆ ตรงๆอธิบายเป็นตัวอักษรก็
1. เพื่อให้คนเป็นคนดี
2. เพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์
3. เพื่อช่วยดับทุกข์ในใจ

ศาสนาพุทธมีการชี้จูงใจที่ดีว่า มี “นิพพาน” เป็นเป้าหมายสูงสุด รอทุกคนที่ปฏิบัติอยู่ที่ยอด ถ้าปฏิบัติครบถ้วนตามคู่มือและแผนที่ ที่เขียนไว้ให้
และนิพพาน = การดับทุกข์แบบถาวร (ลด ละ เลือก กิเลสทั้งปวง ไม่มีตัวตน)
ถ้าอธิบายภาษาชาวบ้านทั่วๆไปก็นิพพานคือหมดกรรมไม่กลับมาวนเวียนเกิดบนโลกมนุษย์อีก

มโนเล่นๆว่าถ้ามีคนสุดโต่ง บ้าคิดแค่อยากเข้าถึงนิพพาน แล้วคิดว่างั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องดีถ้าทำให้ไม่มีการเกิดของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตขึ้นบนโลกอีก เพราะก็เท่ากับทุกคนเข้าสู่นิพพานกันหมด

ซึ่งเมื่อศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อมันมีความเป็นไปได้ว่าจะมีคนคิดแบบนี้เกิดขึ้น เช่น คิดว่าถ้าระเบิดโลกให้ไม่เหลือ หรือ ออกกฎโลกคุมกำเนิด100% ทั้งคนทั้งสัตว์ ก็จะไม่มีใครต้องเกิดมาอีก ถ้าไม่มีอะไรเหลือก็ไม่มีการเกิดก็เท่ากับนิพพาน ซึ่งถ้ามีคนเชื่อลักษณะนี้มันจะร้ายแรงมากจนสามารถนำไปสู่ ความพินาจของโลก และแน่นอนว่าถ้าไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ศาสนาพุทธจะมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกทำลายล้างเพราะเป็นอันตรายต่อมนุษย์

คำอธิบาย เพิ่มเติมที่ช่วยได้ดีคือ เรื่องสวรรค์-นรก ทั้ง 2 สิ่งจึงเกิดขึ้นพร้อมทั้งรายละเอียด  มันตอบโจทย์เรื่องป้องกันมนุษย์ตีความไปในทางลบมากกกกกกจริงๆ เป็นตัวช่วยควบคุมจิต และกระทำ และป้องกันการทำลายมนุษยชาติได้ดีทีเดียว ตอบโจทย์ป้องกันคนคิด จะเข้านิพพานวิธีลัด โดยการทำให้มนุษย์และสัตว์สูญพันธ์ หรือการทำลายล้างโลก และใช้นรกเป็นคำอธิอบายประกอบ ว่าถ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (เป็นการกระทำชั่วร้าย) วิญญานจะไปติดค้างอยู่ที่นรกอเวจี ไฟโลกันต์จะแผดเผาไปกี่ร้อยพันชาติก็ไม่รู้ ส่วนผู้อื่นที่ทำดีน้อยก็อาจจะติดอยู่ที่แค่สวรรค์ชั้นดุสิตบุรี ไปไม่ถึงนิพพาน จึงต้องให้โอกาสกลับมาเกิดเพื่อทำความดีเพิ่ม เป็นต้น

ปัญหาต่อมาคือ สวรรค์-นรก เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า จับต้องไม่ได้ด้วยมือเปล่า เช่นกัน จะทำให้คนเชื่อและศรัทธาได้อย่างไร

เมื่อคำถามเกิดว่าจะทำให้คนเชื่อว่ามีได้อย่างไร จึงเป็นที่มาหรือจุดเชื่อมโยงที่ดีเข้ากับการนั่งสมาธิ เข้าฌาญ ภวานา วิปัสนา กำหนดจิตต่างๆ ทำบุญ ทำทาน และอื่นๆ เพื่อให้เป็นคำอธิบาย วิธีการเห็นหรือจับต้อง สวรรค์ - นรกได้
และเมื่อมีผู้โต้แย้งเรื่องสวรรค์ - นรกก็สามารถใช้อธิบายได้ว่า ต้องนั่งสมาธิทำจิตใจให้แน่วแน่ต้องสั่งสมฌาณเป็นเวลานาน ต้องทำบุญเยอะๆ จึงจะเห็นหรือได้ไป แล้วถ้ามีคนบอกว่าไม่เห็นก็สามารถตอบได้ว่าฌาญยังไม่แกร่ง ยังไม่นิ่งพอ บุญยังทำไม่เยอะพอ ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ

อันที่จริง จะมีจริงหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาของศาสนาเลย พระพุทธเจ้า/ผู้เขียน/ผู้ชำระพระไตรปิฎกน่าจะเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าจะเป็นโทษ หรือแม้จะมีผู้คิดว่า สวรรค์ - นรก คือ “เรื่องงมงาย” แต่มันก็ช่วยปกป้องและชักชวนผู้คนเข้ามาทดลองและก็ตอบโจทย์หลักของศาสนาที่เจตนาอยากให้ คนประพฤติดี ในเวลาเดียวกัน (วิน วิน ทุกฝ่าย) และแม้จะเกิดเรื่องว่าบางคนเชื่อสุดขีดจนทำให้เกิดความเดือดร้อน
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ก็ต้องมีผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เข้าไปตักเตือนโต้แย้ง หรือใช้กฏหมายช่วยได้อยู่ดี

สรุปให้เข้าใจง่ายๆคือ ถ้ามีสิ่งที่ไม่สามารถจับต้อง ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่ใส่ไว้ในคำสอน ก็น่าจะเป็นเพราะพระพุทธเจ้า/ผู้แต่ง/ผู้ชำระพระไตรปิฎกเห็นว่าน่าจะเป็นคุณมากกว่าโทษ และมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายหลักทั้ง 3 ข้อ ที่อยากช่วยให้คนประพฤติดี นำเอาคำสอนมาขัดเกลาจิตใจ ให้สะอาด และช่วยดับทุกข์ในใจคน วิน-วิน ทุกฝ่าย ส่วนเรื่องมีจริงหรือไม่ คำตอบที่ได้จากศาสนาพุทธิ คือ ต้องทดลองปฏิบัติ และคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้ถ่องแท้เอาเอง

แบบนี้พอจะตอบโจทย์ เรื่องทำไมศาสนาพุทธจึงมีการสอนเรื่อง สวรรค์ - นรก ได้ปะ

ปล. กราบพระพุทธเจ้าหรือผู้ช่วยคิดที่คิดกุศโลบายเชิญชวนคนเข้ามาทำดีได้สตรองขนาดนี้ ถ้า 2-3พันปีที่แล้วมี FB จะกดไลท์รัวๆ ^ ^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่