บันทึกของผู้เฒ่า
เรื่องของความเจ็บป่วย
ดูเหมือนจะมีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เราจึงนิยมอวยพรให้ผู้อื่นในวาระต่าง ๆ รวมทั้งปีใหม่ที่ผ่านไปเร็ว ๆ นี้ว่า ขอให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และโชคดีมีเงินทองร่ำรวยไปตลอดปี หรือประโยคอื่น ๆ ที่มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันได้ย่นย่อลงมาเป็นวลีสั้น ๆ ว่า อย่าเจ็บอย่าจน ซึ่งกินความทั้งหมดของคำอวยพรทั้งหลาย ที่เราใช้กันอยู่
แต่ในความเป็นจริงนั้น คำอวยพรก็เป็นแต่เพียงคำปลอบใจ ระหว่างคนที่รักและเคารพ นับถือกันเท่านั้น ไม่อาจเป็นจริงไปได้ ถ้าเราทำกรรมที่จะก่อให้เกิดความเจ็บไข้ และไม่ทำกรรมที่จะก่อให้เกิดความร่ำรวย เราก็มีสิทธิที่จะเจ็บและจนได้เสมอ
ผมก็เคยได้รับคำอวยพรแบบนี้มา เป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ความเจ็บไข้ก็มาเยือนตามโอกาสและเวลาอันควรเสมอ ตั้งแต่การผ่าตัดสองครั้งที่เวลาห่างกันยี่สิบปี แล้วก็เคยตีปิงปองกับเพื่อน บนโต๊ะที่มีขาพับได้ เพื่อนตบลูกอย่างแรง จนกระแทกโต๊ะล้มลงทับหัวแม่เท้าขวา กระดูกแทบแตก ทั้ง ๆ ที่ใส่รองเท้าหุ้มข้อ ต้องลาป่วยหลายวันเพราะเดินไม่ได้ และการกินเหล้าไม่เติมโซดาเป็นประจำจนบวมไปทั้งตัว เพราะเป็นโรคตับโต
หลังเกษียณอายุแล้ว ก็มีโรคฟันผุ เพราะเมื่อเป็นเด็กไม่ชอบแปรงฟันให้ถูกวิธี เดี๋ยวซี่นั้นเป็นรูโบ๋ เดี๋ยวซีกนี้โยกคลอน ต้องไปหาหมอฟันซึ่งเดิมเป็นนายทหารเสนารักษ์ อยู่ที่หมวดตรวจโรคกรมเดียวกัน ท่านเป็นทหารเกณฑ์ก่อนผม ประมาณสงครามอินโดจีน พอเกษียณอายุก็ออกมาเปิดร้านทำฟันแถวสะพานควาย ผมก็ไปหาท่านตั้งแต่ซี่แรก เพราะคุ้นเคยกันมาก่อน เมื่ออ้าปากให้ท่านดูฟัน ท่านถามว่า จะให้ถอนซี่ไหนวะ ผมก็ชี้ฟันกรามซี่ที่เป็นรูโบ๋ลึกถึงเส้นประสาท ท่านก็ปรารภว่า ฟันลื้อนี่น่าจะถอนให้หมดทั้งปากนะ ผมก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งเลยครับ เอาแค่ซี่เดียวก่อนเถอะ ท่านก็ถอนให้โดยคิดค่าออกแรงแต่พอควร
ซี่ต่อไปก็เป็นฟันกรามอีกข้างหนึ่ง จำไม่ได้ว่าข้างไหนก่อนหลัง รวมแล้วถูกถอนฟันโดยฝีมือท่านรวมสี่ซี่ ท่านก็เกษียณจากร้านทำฟันเมื่ออายุกว่า ๘๐ ปี โดยลูกหลานขอร้องให้เลิกเสียที ต่อมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฟันหน้าข้างล่างโยกพร้อมกันสองซี่ เพราะเหงือกร่นลงไป จึงต้องไปหาทันตแพทย์ปริญญา ด้วยความอายที่ฟันไม่น่าดู แต่หมอก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนว่าอย่างไร แต่ค่าถอนแพงกว่าหมอเก่าแก่อีกเท่าตัว คราวนี้ถอนแล้วเวลายิ้มก็จะเห็นฟันโหว่อยู่ข้างล่าง จึงขอความเห็นจากหมอที่ถอนออก ว่าถ้าจะทำฟันปลอมใส่จะต้องเสียเงินสักเท่าไร หมอให้อ้าปากตรวจดูเพดานและใต้ลิ้นแล้วบอกว่า กระดูกข้างล่างโปนออกมาจะต้องผ่าตัดให้เรียบเสียก่อน จึงจะทำฟันปลอมใส่ได้ ผมก็เลยขอร้องว่าจะไปปรึกษาหมอที่โรงพยาบาลทหารก่อน เพราะสามารถเบิกค่ารักษาได้
แต่ผมก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาล เพราะความจริงผมกลัวการผ่าตัด เลื่อยกระดูกในปากมากกว่า ผมจึงปลอบใจตัวเองว่า อายุก็เกินเจ็ดรอบแล้ว จะเอาความสวยงามมาทำอะไร ต้องเจ็บตัวด้วย แล้วจะใช้ไปได้สักกี่ปี ไม่ช้าก็เข้าโลงแล้ว ผมจึงปล่อยให้มันโหว่อยู่อย่างนั้น จนฟันหน้าข้างบนที่ตรงกัน เกิดกร่อนแหว่งและหักไปเองเวลาเคี้ยวของแข็ง จึงเป็นรูโบ๋ทั้งข้างบนข้างล่าง เวลายิ้มหรือหัวเราะต้องเอามือปิดปาก จะซดของเหลวก็ต้องระวังมันจะกระเด็นออกจากปาก เวลาบ้วนน้ำก็ขลุกชลัก เพราะมีอากาศแทรกเข้าไปในปาก เวลาแปรงฟันยาสีฟันก็จะหลุดออกมา ทางช่องโหว่นี้เสมอ ขออภัยถ้าอ่านแล้วรู้สึก ผะอืด ผะอม ไปด้วย
ต่อมาเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน อาการของโรคกระเพาะกำเริบ มีอาการท้องอืดท้องผูก ต้องกินยาระบายก่อนนอน รุ่งขึ้นจึงจะถ่ายแล้วก็กลายเป็นท้องเสีย แต่มีคราวหนึ่งไม่ถ่ายติดต่อกันถึงสี่วัน ปวดท้องแต่ถ่ายไม่ออก กินอะไรก็ไม่ได้ วันที่ห้าจึงไปหาหมอ ให้ช่วยล้วงควักให้ก็ถ่ายออกมามากมาย และบอกว่าควรจะตรวจด้วยกล้องที่สอดทางก้นเข้าไปดูภายใน
ผมก็ไปหาหมอที่เป็นเพื่อนกับลูกชาย ที่โรงพยาบาลของ กทม. ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้าน เขาแนะนำว่าควรจะตรวจ ด้วยการกลืนสารทึบแสงและถ่ายเอ็กซเรย์ก่อน แล้วเขาก็ให้ยาถ่ายมากินที่บ้านก่อน แล้วอดอาหาร
รุ่งขึ้นเมื่อไปเข้าห้องเอ็กซเรย์เจ้าหน้าที่ก็ให้ผลัดกางเกงนุ่งผ้าถุงแทน แล้วก็ใช้เครื่องเอ็กซเรย์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ถ่ายภาพลำไส้ใหญ่เอามาให้ดูว่าในลำไส้ยังไม่สะอาด ต้องสวนด้วยยาอะไรก็ไม่รู้อีกโถหนึ่ง แล้วไล่ให้ไปเข้าส้วมที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
อนิจจาห้องส้วมนั้นเป็นแบบนั่งยอง ๆ ผมนั่งแบบนี้ไม่ได้มาหลายปีแล้ว ถ้าฝืนทำตะคริวก็จะกินตั้งแต่เท้าจนถึงหัวเข่า จึงถอดผ้าถุงออก แล้วย่อลงไปครึ่งเดียวเอามือโหนที่จับบานประตูไว้ ทำท่านั้นจนเมื่อย จึงถ่ายเป็นน้ำเหลวออกมาจนแทบหมดแรง เมื่อทำความสะอาดแล้วก็นุ่งผ้าถุงกลับมาที่ห้องเดิม
คราวนี้ให้นอนตะแคง แล้วเอาสายยางที่มีหัวฉีดโตกว่านิ้วหัวแม่มือ สอดเข้าไปทางทวารหนัก บอกว่าคุณลุงกลั้นหายใจ พร้อมกับฉีดของเหลวเข้าไปปื้ดหนึ่ง แล้วกล้องเอกซเรย์ก็ถ่ายภาพ แล้วก็ให้เปลี่ยนท่าเป็นตะแคงอีกข้างหนึ่ง เปลี่ยนไปสามสี่ท่า โดนอัดเข้าไปหลายปื้ดจนท้องแข็ง จึงเอาหัวฉีดออก แล้วให้เข้าส้วมในห้องนั้น ซึ่งเป็นส้วมนั่งห้อยขา ค่อยยังชั่วหน่อย แล้วก็กลับบ้านได้ พร้อมกับใบนัดมาดูผล
ก่อนถึงวันนัด หมอที่เป็นเพื่อนของลูกชายก็โทรศัพท์มาบอกว่า พ่อไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกต้องรอนาน เขาตรวจดูตามคำวินิจฉัยของหมอที่ถ่ายเอ็กซเรย์แล้ว ปรากฏว่าไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าจะมีโรคร้ายแรงอะไร คงจะต้องปรับปรุงอาหารการกิน ให้ถ่ายได้ตามธรรมชาติ แล้วก็ให้คำแนะนำมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราอ่านมาแล้วจากหนังสือหมอแต่ทำไม่ได้ จึงต้องกินยาระบายตามเดิม แต่ต้องคอยระวังไม่ให้ท้องผูกเกินหนึ่งวัน
ก็อยู่เป็นปกติมาได้จนถึงปีกลาย ไปกินเลี้ยงกลับมาบ้านนอน แล้วต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีหนึ่ง เพราะท้องเสียเข้าส้วม แล้วก็คลื่นไส้อาเจียน ต้องลุกขึ้นมาทุกชั่วโมงถึงสี่ครั้ง จนแทบหมดแรง แต่ทนอยู่อีกวันหนึ่ง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลาคงคลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา จนถึงสามโมงเย็นก็หมดความอดทน จึงไปหาหมอคลีนิกนอกเวลา ที่โรงพยาบาลเจ้าประจำ ซึ่งเป็นหมอโรคทางเดินอาหาร
หมอก็ให้ยาแก้ท้องเสียแล้วให้ไปนัด ส่องกล้องทางลำคอลงไปดูกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กในเดือนหน้า เมื่อถึงวันนัรีบไปโรงพยาบาลก่อนไก่ขัน เจ้าหน้าที่ก็ให้นั่งรอคิวเป็นคนแรก ถัดไปเป็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกันมาก่อน เขาเคยส่องกล้องแบบนี้มาแล้ว ก็คุยกันถึงวิธีที่เขาจะทำ เลยยิ่งกลัวมากขึ้น พอหมอแผนกนี้มาถึงก็เรียกเข้าไปทั้งสองคน แต่แยกกันคนละห้อง
เขาให้ผมนอนหงายบนเตียง แล้วก็เอากระบะสำหรับบ้วนน้ำลายมาวางข้างหมอน เอากระดาษคล้ายกระดาษฟางมาปิดที่หน้าอก คงจะกันเราอาเจียนแล้วก็เอายาชามาพ่นใส่ในลำคอ แล้วก็ให้นอนตะแคงรออยู่จนรู้สึกชาในปากและคอแล้ว ก็เอาพลาสติกกลม ๆ มีรูตรงกลางให้คาบไว้ แล้วก็สอดกล้องที่โตเท่านิ้วชี้มีไฟฉายส่องตรงปลาย ผ่านรูพลาสติกที่คาบไว้ลงไปในลำคอ เราก็ไม่รู้สึกระคายเคือง แต่เมื่อเลยลำคอไปแล้วก็รู้หมดว่ามันเลื้อยลึกเข้าไปถึงไหน
เขาตั้งจอทีวีไว้ด้านปลายเตียง เขาคงดูภาพที่ปรากฏแล้วก็ถ่ายไว้ แต่ผมไม่อยากเห็นจึงหลับตาเสีย ความอึดอัดมีน้อยกว่าเมื่อโดนสวนทางก้น รู้สึกว่าเขาหยุดกล้องถ่ายเป็นระยะ ๆ เขาไม่ให้กลืนน้ำลาย แต่ก็ไม่เห็นมีออกมา คงจะกลัวจนน้ำลายแห้ง
พอเสร็จพิธีตามที่เขาต้องการแล้ว ชักเอากล้องออกไป เขาก็บอกให้บ้วนน้ำลาย ก็ไม่มี กลัวว่าจะอาเจียนก็ไม่เห็นคลื่นไส้ เป็นอันว่าโชคดีที่เราไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ เสร็จแล้วออกมารอสักพักหมอก็เอาฟิล์มมาให้ดูแล้วบอกว่า ไม่มีเนื้อร้ายอะไร
ผมก็รับเอาฟิล์มไปหาหมอที่สั่งตรวจ หมอดูฟิล์มแล้วก็ยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงมีสีแดงรอบ ๆ กระเพาะ คงจะอักเสบ ต้องงดกินอาหารรสเผ็ด งดน้ำชา กาแฟ โกโก้ ช็อคโกแล็ต กินแต่อาหารอ่อน เช่นโจ๊ก แล้วก็ให้ยาลดกรดและรักษาอาการอักเสบในกระเพาะ ให้กินติดต่อกันตลอดไป
ผมกินจนหมดยาที่หมอสั่งแล้ว ก็เอาตัวอย่างไปซื้อกินเองต่อ แต่ราคาแพงมากประมาณเม็ดละ ๔๖ บาทกว่า แล้วผมก็เลยกินโจ๊กเป็นอาหารหลักทั้งมื้อเช้ามื้อเย็น ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้การถ่ายดูเหมือนจะดีขึ้นด้วย แต่ต้องกินขนมปังราดน้ำหวานใส่น้ำแข็งเป็นอาหารเสริม เพราะโจ๊กอิ่มไม่ทนตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
ท้ายสุดก็เป็นโรคที่ไม่สำคัญอะไรเลย เพราะอายุมากขนาดนี้อะไร ๆ ในสังขารร่างกายก็หย่อนยานไปหมด มีตึงอยู่อย่างเดียวคือหู เดิมก็ไม่ค่อยได้เอาใจใส่เท่าไร ตั้งแต่ทางการห้ามช่างตัดผมแคะหูให้ลูกค้า ผมก็แคะเอง แต่มักจะเจ็บเพราะมองไม่เห็นหูของตนเอง ก็เลยเลิกแคะ และรู้สึกว่าการได้ยินเสียงต่าง ๆ ค่อย ๆ ลดลง สังเกตเวลาดูทีวีปกติจะเปิดเสียงเลขสี่ ก็เพิ่มเป็นห้า เดี๋ยวนี้ต้องหกจึงจะได้ยินชัด
เวลาดูหนังแผ่นซีดี ฟังเสียงพากย์ไทยก็ไม่ค่อยชัดเจน เวลาพูดโทรศัพท์บ้านพอรู้เรื่อง แต่ฟังโทรศัพท์มือถือไม่รู้เรื่อง ได้ยินเสียงพูดก็จริง แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ก็เลยเลิกติดต่อด้วยโทรศัพท์มือถือ
วันหนึ่งเอาหนังแผ่นซีดีมาดูทางเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งออกเสียงแหลมชัดเจน กว่าดูทางเครื่องเล่นซีดี ปรากฏว่าเสียเบามาก ฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องอีก จึงลองเอามืออุดหูขวา ฟังเสียงดังพอรู้เรื่อง แต่พอเอามืออุดหูซ้าย เสียงก็เกือบหายไปเลย จึงต้องไปหาหมอโรคตาหูคอจมูก ตรงปลายถนนที่จะข้ามคลองบางกอกน้อย หรือสถานีขนส่งสายใต้กลางเก่ากลางใหม่
หมอตรวจหู จมูก และคอก่อน แล้วสั่งให้ไปตรวจด้วยเครื่องตรวจวัดการได้ยิน ซึ่งเป็น กร๊าฟออกมาต่ำกว่าคนปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร บอกว่ามันเสื่อมไปตามอายุ เพียงแต่ให้วิตามินมากินสามขนาน แต่เสียเงินไปกว่าพันหกร้อยบาท ก็เลยปลงว่าถ้ามันไม่ได้ยินจริง ๆ ก็ซื้อหูฟังมาใช้ก็แล้วกัน
อีกโรคหนึ่งคือขนตาแยงเข้าไปทิ่มลูกตา ไปหาหมอก็เสียเงินครั้งละสามสี่ร้อย จึงให้ช่าง ตัดผมช่วยถอนให้ แต่ร้านเจ้าประจำช่างมีผมหงอกขาวทั้งศีรษะ เวลาถอนต้องใส่แว่นขยายแบบที่เขาใช้เวลาซ่อมนาฬิกา จรด ๆ จ้อง ๆ เป็นที่น่าหวาดเสียวยิ่งนัก จึงต้องจำใจเปลี่ยนร้านตัดผมใหม่
พอดีได้ช่างหญิงเจ้าเนื้อสายตายังดีอยู่ เวลาถอนขนตาจึงไม่ค่อยหวาดเสียว แถมยังมีกลิ่นหอมเสียด้วย
คำพระท่านว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ใคร ๆ ก็ไม่อยากมีโรคทั้งนั้นแหละ แต่จะมีใครฝืนกฎธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เมื่อแก่แล้วก็ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้ ก็รักษากันไป
ถ้าหายก็ดี ถ้าไม่หายก็ตายไป ที่อยู่ก็เอาไปเผาเสีย
เท่านั้นเอง.
###############
เรื่องของความเจ็บป่วย ๒๓ ก.พ.๖๐
เรื่องของความเจ็บป่วย
ดูเหมือนจะมีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เราจึงนิยมอวยพรให้ผู้อื่นในวาระต่าง ๆ รวมทั้งปีใหม่ที่ผ่านไปเร็ว ๆ นี้ว่า ขอให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และโชคดีมีเงินทองร่ำรวยไปตลอดปี หรือประโยคอื่น ๆ ที่มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันได้ย่นย่อลงมาเป็นวลีสั้น ๆ ว่า อย่าเจ็บอย่าจน ซึ่งกินความทั้งหมดของคำอวยพรทั้งหลาย ที่เราใช้กันอยู่
แต่ในความเป็นจริงนั้น คำอวยพรก็เป็นแต่เพียงคำปลอบใจ ระหว่างคนที่รักและเคารพ นับถือกันเท่านั้น ไม่อาจเป็นจริงไปได้ ถ้าเราทำกรรมที่จะก่อให้เกิดความเจ็บไข้ และไม่ทำกรรมที่จะก่อให้เกิดความร่ำรวย เราก็มีสิทธิที่จะเจ็บและจนได้เสมอ
ผมก็เคยได้รับคำอวยพรแบบนี้มา เป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ความเจ็บไข้ก็มาเยือนตามโอกาสและเวลาอันควรเสมอ ตั้งแต่การผ่าตัดสองครั้งที่เวลาห่างกันยี่สิบปี แล้วก็เคยตีปิงปองกับเพื่อน บนโต๊ะที่มีขาพับได้ เพื่อนตบลูกอย่างแรง จนกระแทกโต๊ะล้มลงทับหัวแม่เท้าขวา กระดูกแทบแตก ทั้ง ๆ ที่ใส่รองเท้าหุ้มข้อ ต้องลาป่วยหลายวันเพราะเดินไม่ได้ และการกินเหล้าไม่เติมโซดาเป็นประจำจนบวมไปทั้งตัว เพราะเป็นโรคตับโต
หลังเกษียณอายุแล้ว ก็มีโรคฟันผุ เพราะเมื่อเป็นเด็กไม่ชอบแปรงฟันให้ถูกวิธี เดี๋ยวซี่นั้นเป็นรูโบ๋ เดี๋ยวซีกนี้โยกคลอน ต้องไปหาหมอฟันซึ่งเดิมเป็นนายทหารเสนารักษ์ อยู่ที่หมวดตรวจโรคกรมเดียวกัน ท่านเป็นทหารเกณฑ์ก่อนผม ประมาณสงครามอินโดจีน พอเกษียณอายุก็ออกมาเปิดร้านทำฟันแถวสะพานควาย ผมก็ไปหาท่านตั้งแต่ซี่แรก เพราะคุ้นเคยกันมาก่อน เมื่ออ้าปากให้ท่านดูฟัน ท่านถามว่า จะให้ถอนซี่ไหนวะ ผมก็ชี้ฟันกรามซี่ที่เป็นรูโบ๋ลึกถึงเส้นประสาท ท่านก็ปรารภว่า ฟันลื้อนี่น่าจะถอนให้หมดทั้งปากนะ ผมก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งเลยครับ เอาแค่ซี่เดียวก่อนเถอะ ท่านก็ถอนให้โดยคิดค่าออกแรงแต่พอควร
ซี่ต่อไปก็เป็นฟันกรามอีกข้างหนึ่ง จำไม่ได้ว่าข้างไหนก่อนหลัง รวมแล้วถูกถอนฟันโดยฝีมือท่านรวมสี่ซี่ ท่านก็เกษียณจากร้านทำฟันเมื่ออายุกว่า ๘๐ ปี โดยลูกหลานขอร้องให้เลิกเสียที ต่อมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฟันหน้าข้างล่างโยกพร้อมกันสองซี่ เพราะเหงือกร่นลงไป จึงต้องไปหาทันตแพทย์ปริญญา ด้วยความอายที่ฟันไม่น่าดู แต่หมอก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนว่าอย่างไร แต่ค่าถอนแพงกว่าหมอเก่าแก่อีกเท่าตัว คราวนี้ถอนแล้วเวลายิ้มก็จะเห็นฟันโหว่อยู่ข้างล่าง จึงขอความเห็นจากหมอที่ถอนออก ว่าถ้าจะทำฟันปลอมใส่จะต้องเสียเงินสักเท่าไร หมอให้อ้าปากตรวจดูเพดานและใต้ลิ้นแล้วบอกว่า กระดูกข้างล่างโปนออกมาจะต้องผ่าตัดให้เรียบเสียก่อน จึงจะทำฟันปลอมใส่ได้ ผมก็เลยขอร้องว่าจะไปปรึกษาหมอที่โรงพยาบาลทหารก่อน เพราะสามารถเบิกค่ารักษาได้
แต่ผมก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาล เพราะความจริงผมกลัวการผ่าตัด เลื่อยกระดูกในปากมากกว่า ผมจึงปลอบใจตัวเองว่า อายุก็เกินเจ็ดรอบแล้ว จะเอาความสวยงามมาทำอะไร ต้องเจ็บตัวด้วย แล้วจะใช้ไปได้สักกี่ปี ไม่ช้าก็เข้าโลงแล้ว ผมจึงปล่อยให้มันโหว่อยู่อย่างนั้น จนฟันหน้าข้างบนที่ตรงกัน เกิดกร่อนแหว่งและหักไปเองเวลาเคี้ยวของแข็ง จึงเป็นรูโบ๋ทั้งข้างบนข้างล่าง เวลายิ้มหรือหัวเราะต้องเอามือปิดปาก จะซดของเหลวก็ต้องระวังมันจะกระเด็นออกจากปาก เวลาบ้วนน้ำก็ขลุกชลัก เพราะมีอากาศแทรกเข้าไปในปาก เวลาแปรงฟันยาสีฟันก็จะหลุดออกมา ทางช่องโหว่นี้เสมอ ขออภัยถ้าอ่านแล้วรู้สึก ผะอืด ผะอม ไปด้วย
ต่อมาเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน อาการของโรคกระเพาะกำเริบ มีอาการท้องอืดท้องผูก ต้องกินยาระบายก่อนนอน รุ่งขึ้นจึงจะถ่ายแล้วก็กลายเป็นท้องเสีย แต่มีคราวหนึ่งไม่ถ่ายติดต่อกันถึงสี่วัน ปวดท้องแต่ถ่ายไม่ออก กินอะไรก็ไม่ได้ วันที่ห้าจึงไปหาหมอ ให้ช่วยล้วงควักให้ก็ถ่ายออกมามากมาย และบอกว่าควรจะตรวจด้วยกล้องที่สอดทางก้นเข้าไปดูภายใน
ผมก็ไปหาหมอที่เป็นเพื่อนกับลูกชาย ที่โรงพยาบาลของ กทม. ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้าน เขาแนะนำว่าควรจะตรวจ ด้วยการกลืนสารทึบแสงและถ่ายเอ็กซเรย์ก่อน แล้วเขาก็ให้ยาถ่ายมากินที่บ้านก่อน แล้วอดอาหาร
รุ่งขึ้นเมื่อไปเข้าห้องเอ็กซเรย์เจ้าหน้าที่ก็ให้ผลัดกางเกงนุ่งผ้าถุงแทน แล้วก็ใช้เครื่องเอ็กซเรย์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ถ่ายภาพลำไส้ใหญ่เอามาให้ดูว่าในลำไส้ยังไม่สะอาด ต้องสวนด้วยยาอะไรก็ไม่รู้อีกโถหนึ่ง แล้วไล่ให้ไปเข้าส้วมที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
อนิจจาห้องส้วมนั้นเป็นแบบนั่งยอง ๆ ผมนั่งแบบนี้ไม่ได้มาหลายปีแล้ว ถ้าฝืนทำตะคริวก็จะกินตั้งแต่เท้าจนถึงหัวเข่า จึงถอดผ้าถุงออก แล้วย่อลงไปครึ่งเดียวเอามือโหนที่จับบานประตูไว้ ทำท่านั้นจนเมื่อย จึงถ่ายเป็นน้ำเหลวออกมาจนแทบหมดแรง เมื่อทำความสะอาดแล้วก็นุ่งผ้าถุงกลับมาที่ห้องเดิม
คราวนี้ให้นอนตะแคง แล้วเอาสายยางที่มีหัวฉีดโตกว่านิ้วหัวแม่มือ สอดเข้าไปทางทวารหนัก บอกว่าคุณลุงกลั้นหายใจ พร้อมกับฉีดของเหลวเข้าไปปื้ดหนึ่ง แล้วกล้องเอกซเรย์ก็ถ่ายภาพ แล้วก็ให้เปลี่ยนท่าเป็นตะแคงอีกข้างหนึ่ง เปลี่ยนไปสามสี่ท่า โดนอัดเข้าไปหลายปื้ดจนท้องแข็ง จึงเอาหัวฉีดออก แล้วให้เข้าส้วมในห้องนั้น ซึ่งเป็นส้วมนั่งห้อยขา ค่อยยังชั่วหน่อย แล้วก็กลับบ้านได้ พร้อมกับใบนัดมาดูผล
ก่อนถึงวันนัด หมอที่เป็นเพื่อนของลูกชายก็โทรศัพท์มาบอกว่า พ่อไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกต้องรอนาน เขาตรวจดูตามคำวินิจฉัยของหมอที่ถ่ายเอ็กซเรย์แล้ว ปรากฏว่าไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าจะมีโรคร้ายแรงอะไร คงจะต้องปรับปรุงอาหารการกิน ให้ถ่ายได้ตามธรรมชาติ แล้วก็ให้คำแนะนำมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราอ่านมาแล้วจากหนังสือหมอแต่ทำไม่ได้ จึงต้องกินยาระบายตามเดิม แต่ต้องคอยระวังไม่ให้ท้องผูกเกินหนึ่งวัน
ก็อยู่เป็นปกติมาได้จนถึงปีกลาย ไปกินเลี้ยงกลับมาบ้านนอน แล้วต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีหนึ่ง เพราะท้องเสียเข้าส้วม แล้วก็คลื่นไส้อาเจียน ต้องลุกขึ้นมาทุกชั่วโมงถึงสี่ครั้ง จนแทบหมดแรง แต่ทนอยู่อีกวันหนึ่ง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลาคงคลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา จนถึงสามโมงเย็นก็หมดความอดทน จึงไปหาหมอคลีนิกนอกเวลา ที่โรงพยาบาลเจ้าประจำ ซึ่งเป็นหมอโรคทางเดินอาหาร
หมอก็ให้ยาแก้ท้องเสียแล้วให้ไปนัด ส่องกล้องทางลำคอลงไปดูกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กในเดือนหน้า เมื่อถึงวันนัรีบไปโรงพยาบาลก่อนไก่ขัน เจ้าหน้าที่ก็ให้นั่งรอคิวเป็นคนแรก ถัดไปเป็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกันมาก่อน เขาเคยส่องกล้องแบบนี้มาแล้ว ก็คุยกันถึงวิธีที่เขาจะทำ เลยยิ่งกลัวมากขึ้น พอหมอแผนกนี้มาถึงก็เรียกเข้าไปทั้งสองคน แต่แยกกันคนละห้อง
เขาให้ผมนอนหงายบนเตียง แล้วก็เอากระบะสำหรับบ้วนน้ำลายมาวางข้างหมอน เอากระดาษคล้ายกระดาษฟางมาปิดที่หน้าอก คงจะกันเราอาเจียนแล้วก็เอายาชามาพ่นใส่ในลำคอ แล้วก็ให้นอนตะแคงรออยู่จนรู้สึกชาในปากและคอแล้ว ก็เอาพลาสติกกลม ๆ มีรูตรงกลางให้คาบไว้ แล้วก็สอดกล้องที่โตเท่านิ้วชี้มีไฟฉายส่องตรงปลาย ผ่านรูพลาสติกที่คาบไว้ลงไปในลำคอ เราก็ไม่รู้สึกระคายเคือง แต่เมื่อเลยลำคอไปแล้วก็รู้หมดว่ามันเลื้อยลึกเข้าไปถึงไหน
เขาตั้งจอทีวีไว้ด้านปลายเตียง เขาคงดูภาพที่ปรากฏแล้วก็ถ่ายไว้ แต่ผมไม่อยากเห็นจึงหลับตาเสีย ความอึดอัดมีน้อยกว่าเมื่อโดนสวนทางก้น รู้สึกว่าเขาหยุดกล้องถ่ายเป็นระยะ ๆ เขาไม่ให้กลืนน้ำลาย แต่ก็ไม่เห็นมีออกมา คงจะกลัวจนน้ำลายแห้ง
พอเสร็จพิธีตามที่เขาต้องการแล้ว ชักเอากล้องออกไป เขาก็บอกให้บ้วนน้ำลาย ก็ไม่มี กลัวว่าจะอาเจียนก็ไม่เห็นคลื่นไส้ เป็นอันว่าโชคดีที่เราไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ เสร็จแล้วออกมารอสักพักหมอก็เอาฟิล์มมาให้ดูแล้วบอกว่า ไม่มีเนื้อร้ายอะไร
ผมก็รับเอาฟิล์มไปหาหมอที่สั่งตรวจ หมอดูฟิล์มแล้วก็ยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงมีสีแดงรอบ ๆ กระเพาะ คงจะอักเสบ ต้องงดกินอาหารรสเผ็ด งดน้ำชา กาแฟ โกโก้ ช็อคโกแล็ต กินแต่อาหารอ่อน เช่นโจ๊ก แล้วก็ให้ยาลดกรดและรักษาอาการอักเสบในกระเพาะ ให้กินติดต่อกันตลอดไป
ผมกินจนหมดยาที่หมอสั่งแล้ว ก็เอาตัวอย่างไปซื้อกินเองต่อ แต่ราคาแพงมากประมาณเม็ดละ ๔๖ บาทกว่า แล้วผมก็เลยกินโจ๊กเป็นอาหารหลักทั้งมื้อเช้ามื้อเย็น ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้การถ่ายดูเหมือนจะดีขึ้นด้วย แต่ต้องกินขนมปังราดน้ำหวานใส่น้ำแข็งเป็นอาหารเสริม เพราะโจ๊กอิ่มไม่ทนตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
ท้ายสุดก็เป็นโรคที่ไม่สำคัญอะไรเลย เพราะอายุมากขนาดนี้อะไร ๆ ในสังขารร่างกายก็หย่อนยานไปหมด มีตึงอยู่อย่างเดียวคือหู เดิมก็ไม่ค่อยได้เอาใจใส่เท่าไร ตั้งแต่ทางการห้ามช่างตัดผมแคะหูให้ลูกค้า ผมก็แคะเอง แต่มักจะเจ็บเพราะมองไม่เห็นหูของตนเอง ก็เลยเลิกแคะ และรู้สึกว่าการได้ยินเสียงต่าง ๆ ค่อย ๆ ลดลง สังเกตเวลาดูทีวีปกติจะเปิดเสียงเลขสี่ ก็เพิ่มเป็นห้า เดี๋ยวนี้ต้องหกจึงจะได้ยินชัด
เวลาดูหนังแผ่นซีดี ฟังเสียงพากย์ไทยก็ไม่ค่อยชัดเจน เวลาพูดโทรศัพท์บ้านพอรู้เรื่อง แต่ฟังโทรศัพท์มือถือไม่รู้เรื่อง ได้ยินเสียงพูดก็จริง แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ก็เลยเลิกติดต่อด้วยโทรศัพท์มือถือ
วันหนึ่งเอาหนังแผ่นซีดีมาดูทางเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งออกเสียงแหลมชัดเจน กว่าดูทางเครื่องเล่นซีดี ปรากฏว่าเสียเบามาก ฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องอีก จึงลองเอามืออุดหูขวา ฟังเสียงดังพอรู้เรื่อง แต่พอเอามืออุดหูซ้าย เสียงก็เกือบหายไปเลย จึงต้องไปหาหมอโรคตาหูคอจมูก ตรงปลายถนนที่จะข้ามคลองบางกอกน้อย หรือสถานีขนส่งสายใต้กลางเก่ากลางใหม่
หมอตรวจหู จมูก และคอก่อน แล้วสั่งให้ไปตรวจด้วยเครื่องตรวจวัดการได้ยิน ซึ่งเป็น กร๊าฟออกมาต่ำกว่าคนปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร บอกว่ามันเสื่อมไปตามอายุ เพียงแต่ให้วิตามินมากินสามขนาน แต่เสียเงินไปกว่าพันหกร้อยบาท ก็เลยปลงว่าถ้ามันไม่ได้ยินจริง ๆ ก็ซื้อหูฟังมาใช้ก็แล้วกัน
อีกโรคหนึ่งคือขนตาแยงเข้าไปทิ่มลูกตา ไปหาหมอก็เสียเงินครั้งละสามสี่ร้อย จึงให้ช่าง ตัดผมช่วยถอนให้ แต่ร้านเจ้าประจำช่างมีผมหงอกขาวทั้งศีรษะ เวลาถอนต้องใส่แว่นขยายแบบที่เขาใช้เวลาซ่อมนาฬิกา จรด ๆ จ้อง ๆ เป็นที่น่าหวาดเสียวยิ่งนัก จึงต้องจำใจเปลี่ยนร้านตัดผมใหม่
พอดีได้ช่างหญิงเจ้าเนื้อสายตายังดีอยู่ เวลาถอนขนตาจึงไม่ค่อยหวาดเสียว แถมยังมีกลิ่นหอมเสียด้วย
คำพระท่านว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ใคร ๆ ก็ไม่อยากมีโรคทั้งนั้นแหละ แต่จะมีใครฝืนกฎธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เมื่อแก่แล้วก็ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้ ก็รักษากันไป
ถ้าหายก็ดี ถ้าไม่หายก็ตายไป ที่อยู่ก็เอาไปเผาเสีย
เท่านั้นเอง.
###############