### พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา.....การอดข้าวอดน้ำ ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา###

อ้างอิง
http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud2-1-7.html

-----

ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมนี้เอง พระโคดมได้เริ่มบำเพ็ญทุกกรกิริยาซึ่งเป็นวิธีการนิยมทำกันอย่างมากของพวกดาบส ฤาษี ชีไพร ในสมัยนั้น โดยคิดว่าจะเป็นหนทางไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ พระองค์ได้ตั้งพระทัยบำเพ็ญทุกรกิริยาแบบเอาชีวิตเข้าแลก คือทรงใช้วิธีปฏิบัติ ๓ วิธี
วิธีแรก : กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดาน) ด้วยพระชิวหา คือใช้ลิ้นดันเพดานไว้ให้แน่นจนพระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากพระกัจฉะ (รักแร้) จนเกิดความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
วิธีที่สอง : หลังจากทรงทดลองวิธีแรกแล้วไม่เป็นผล จึงทรงหันมาใช้วิธีแบบที่สอง คือ ทรงกลั้นลมหายใจเข้าออก เมื่อลมเดินไม่สะดวกทางช่องพระนาสิก (จมูก) และพระโอษฐ์ไม่สะดวก ก็เกิดเสียงอู้ทางช่องพระกรรณ (หู) ทำให้ปวดพระเศียร เสียดในพระอุทรร้อนไปทั่วพระวรกาย ก็ยังไม่ได้บรรลุสัจธรรมที่ทรงประสงค์
วิธีที่สาม : ทรงใช้วิธีการอดอาหาร ผ่อนเสวยวันละน้อย ๆ บ้าง เสวยอาหารที่ละเอียดบ้าง จนพระวรกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรมลง พระฉวีวรรณเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏไปทั่วพระวรกาย พระกำลังก็ลดน้อยถอยลงตามลำดับ แม้พระองค์จะทรงทรมานหนักหนาสาหัสถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่พบคุณวิเศษใด ๆ เลย
พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า การบำเพ็ญเพียรทางกายอย่างมากก็ทำได้เพียงแค่นี้ ไม่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ถึงทรมานร่างกายขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่เห็นทางที่จะบรรลุและพ้นไปจากทุกข์ได้เลย พระองค์ทรงหวนระลึกถึงการบำเพ็ญเพียรทางจิตว่าคงจะเป็นทางทำให้ตรัสรู้ได้ และทรงเทียบกับพิณ ๓ สาย คือถ้าตึงเกินไป พอดีดก็จะขาดออกไป ถ้าขึงหย่อนเกินไป ดีดก็จะไม่เป็นเสียงเพลง แต่ถ้าขึงปานกลาง ย่อมดีดฟังเสียงไพเราะเจริญใจ เมื่อเทียบกับการปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน ถ้าย่อหย่อนนัก คือหมกมุ่นหนักไปในทางกามารมณ์จนเกินไปก็เป็นเสมือนพิณที่ขึงหย่อน ย่อมไม่สามารถออกจากทุกข์ได้ ถ้าหากปฏิบัติตึงเกิน เช่นการบำเพ็ญทุกรกิริยาที่เคยปฏิบัติมานั้นก็เป็นเสมือนพิณที่ขึงตึงนักพอดีดก็ขาด พระองค์ก็เช่นเดียวกันบำเพ็ญทุกรกิริยาลำบากเปล่า แทบจะขาดใจก็หาผลใด ๆ ไม่ได้ ฉะนั้นจึงควรเดินสายกลางไม่ตึงนักและหย่อนนัก ซึ่งเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คงจะเป็นทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
ฝ่ายพวกปัญจวัคคีย์พอเห็นพระองค์เลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยากลับมาเสวยอาหารเช่นเดิม ก็คิดว่าพระองค์คลายจากความเพียรเวียนมาเพื่อความมักมากเสียแล้ว คงไม่อาจจะตรัสรู้ได้อย่างแน่นอน พวกเราไม่อาจฝากความหวังไว้กับพระองค์ได้อีกต่อไป ความหวังที่จะเห็นพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าคงจะไร้ผล ถ้าพวกเรายังปฏิบัติพระองค์ต่อก็คงไม่ได้อะไร ทั้งหมดจึงพร้อมใจกันหนีไปอยู่ยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ปัจจุบันนี้เรียกว่า สารนารถ ไกลจากสถานที่พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยามาประมาณ ๒๐๐ ก.ม.) ใกล้เมืองพาราณสี การที่พวกปัญจวัคคีย์หลีกหนีไปก็เป็นความดีแก่พระองค์อยู่เหมือนกัน เพราะพระองค์สามารถบำเพ็ญเพียรทางจิตได้อย่างเต็มที่ ถ้ามีคนอยู่มากก็ก่อให้เกิดความพลุกพล่านก่อให้เกิดอันตรายต่อความสงบของพระองค์ ซึ่งนับเป็นโชคอย่างยิ่งอยู่เหมือนกัน
ในเช้าวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสพร้อมถาดจากนางสุชาดา ซึ่งนางนำมาแก้บนที่ได้บุตรคนแรกเป็นชาย เมื่อเสวยข้าวมธุปายาสจำนวน ๔๙ ก้อน แล้วก็ทรงนำถาดทองใบนั้นไปลอยที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา โดยทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ถ้าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป ถ้าจะไม่สำเร็จก็ขอให้ถาดนั้นลอยไปตามน้ำ ปรากฏว่าถาดนั้นได้ลอยไปทวนกระแสน้ำ พระองค์เมื่อทรงเห็นเช่นนั้นก็ทรงมั่นพระทัยว่า พระองค์จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัยอย่างแน่นอน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่