(ข่าวหุ้น 22 ก.พ. 60) นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวภายหลังจากได้ประชุมหารือกับ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ได้ข้อตกลงเบื้องต้นเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้นว่าจะแบ่งพื้นที่จัดเก็บค่าเช่าเป็น 2 ส่วนได้แก่ 1.ส่วนที่ใช้ในกิจการการบิน (Aero)2.ส่วนที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ (Non-Aero) ได้แก่ คิงเพาเวอร์ ร้านอาหาร เป็นต้น
โดยในส่วนที่ใช้ในกิจการการบินจะจัดเก็บในอัตราเดิมที่ 5% จากการกำหนดผลตอบแทนจากส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนที่สองส่วนที่ใช้ในเชิงพาณิชย์จะจัดเก็บค่าเช่าในอัตรา 3% จากการกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนเปรียบเทียบกับมูลค่าทรัพย์สิน (ROA : Return on Asset) นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่าตัวแทนของ AOT รับทราบข้อตกลงในเบื้องต้นและจะกลับไปหารือกันก่อนซึ่งจะต้องไปแบ่งพื้นที่ว่าส่วนใดใช้ในกิจการการบิน (Aero) และใช้ในเชิงพาณิชย์ (Non-Aero) เพื่อคำนวณหาค่าเช่าที่จะต้องจ่ายให้กับกรมธนารักษ์ซึ่งคาดว่าจะกลับมาคุยกันอีกครั้งเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตามหากรวมกันแล้วสูงกว่าค่าเช่าแบบเดิม Revenue Sharing มากก็สามารถมาต่อรองกับกรมธนารักษ์ได้ซึ่งอัตราที่ใช้จัดเก็บในพื้นที่เชิงพาณิชย์เป็นอัตราที่ต่ำที่สุดแล้วจาก 3-5% แต่กรมฯ คิดที่ 3% ของมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้นแต่หากคิดแบบ ROA ทั้งหมด AOT จะมีภาระเพิ่มขึ้นกว่าปีละ 4-5 พันล้านบาท
ส่วนกรณีที่จะมีการคิดค่าเช่าย้อนหลังหรือไม่นั้นยังไม่ได้มีการหารือกันในครั้งนี้ขึ้น อยู่กับการตีความตามกฎหมาย โดยจะไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้โดยสารและสายการบินขณะที่สนามบินที่เหลืออีก 5 แห่ง ได้แก่ท่าอากาศยานดอนเมืองท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยาน หาดใหญ่ จะใช้เกณฑ์เดียวกันกับสนามบิน สุวรรณภูมิ หลังจากได้ข้อตกลงและเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการแล้ว
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT กล่าวว่า หลังจากหารือกับกรมธนารักษ์แล้วมองว่าการปรับค่าเช่าครั้งนี้จะไม่กระทบต่อรายได้ของ AOT เนื่องจากเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่จะคิดเป็น ROA เท่านั้น ทั้งนี้การจัดทำขอบเขตพื้นที่เชิงพาณิชย์และอัตราการเก็บแบบ ROA น่าจะแล้วเสร็จพร้อมกับการแก้ไขข้อตกลงการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุในไตรมาส 3 ของปีนี้ ดังนั้นในงวดปี 60 (ต.ค.59-ก.ย.60) AOT ยัง คงจ่ายค่าเช่าพื้นที่ราชพัสดุของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแบบ Revenue Sharing ที่ 5% เหมือนกับปีก่อน
ทั้งนี้จะจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์นอกเหนือพื้นที่ที่คิง เพาเวอร์ เช่าอยู่และจะหมดสัญญาในปี 62 คาดว่าไม่น่าจะปรับขึ้นระหว่างทางได้ส่วนนอกพื้นที่ที่เตรียมจะทำโครงการ Airport City มีประมาณ 700 ไร่ ขณะที่ต้องชี้วัดให้ชัดเจนในเขตพื้นที่แนวร่อนการบิน ได้แก่ รันเวย์ที่ทางด้านซ้ายและขวาต้องเป็นพื้นที่โล่ง 150 เมตร เป็นต้น ผอ.ท่าอากาศยานไทยคาดว่าการปรับค่าเช่าใหม่แบบ ROA ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิจะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 300-400 ล้านบาทต่อปีเท่านั้นซึ่ง AOT อาจมีการต่อรองกับกรมธนารักษ์อีกครั้งส่วนผู้เช่าพื้นที่จะมีการเจรจาเพื่อปรับขึ้นค่าเช่าต่อไป
AOT ถกเคลียร์ธนารักษ์คาดค่าเช่าสนามบินแบบใหม่กระทบต้นทุนปีละ 300-400 ล้านบาทพร้อมผลักภาระให้ผู้เช่า
โดยในส่วนที่ใช้ในกิจการการบินจะจัดเก็บในอัตราเดิมที่ 5% จากการกำหนดผลตอบแทนจากส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนที่สองส่วนที่ใช้ในเชิงพาณิชย์จะจัดเก็บค่าเช่าในอัตรา 3% จากการกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนเปรียบเทียบกับมูลค่าทรัพย์สิน (ROA : Return on Asset) นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่าตัวแทนของ AOT รับทราบข้อตกลงในเบื้องต้นและจะกลับไปหารือกันก่อนซึ่งจะต้องไปแบ่งพื้นที่ว่าส่วนใดใช้ในกิจการการบิน (Aero) และใช้ในเชิงพาณิชย์ (Non-Aero) เพื่อคำนวณหาค่าเช่าที่จะต้องจ่ายให้กับกรมธนารักษ์ซึ่งคาดว่าจะกลับมาคุยกันอีกครั้งเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตามหากรวมกันแล้วสูงกว่าค่าเช่าแบบเดิม Revenue Sharing มากก็สามารถมาต่อรองกับกรมธนารักษ์ได้ซึ่งอัตราที่ใช้จัดเก็บในพื้นที่เชิงพาณิชย์เป็นอัตราที่ต่ำที่สุดแล้วจาก 3-5% แต่กรมฯ คิดที่ 3% ของมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้นแต่หากคิดแบบ ROA ทั้งหมด AOT จะมีภาระเพิ่มขึ้นกว่าปีละ 4-5 พันล้านบาท
ส่วนกรณีที่จะมีการคิดค่าเช่าย้อนหลังหรือไม่นั้นยังไม่ได้มีการหารือกันในครั้งนี้ขึ้น อยู่กับการตีความตามกฎหมาย โดยจะไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้โดยสารและสายการบินขณะที่สนามบินที่เหลืออีก 5 แห่ง ได้แก่ท่าอากาศยานดอนเมืองท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยาน หาดใหญ่ จะใช้เกณฑ์เดียวกันกับสนามบิน สุวรรณภูมิ หลังจากได้ข้อตกลงและเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการแล้ว
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT กล่าวว่า หลังจากหารือกับกรมธนารักษ์แล้วมองว่าการปรับค่าเช่าครั้งนี้จะไม่กระทบต่อรายได้ของ AOT เนื่องจากเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่จะคิดเป็น ROA เท่านั้น ทั้งนี้การจัดทำขอบเขตพื้นที่เชิงพาณิชย์และอัตราการเก็บแบบ ROA น่าจะแล้วเสร็จพร้อมกับการแก้ไขข้อตกลงการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุในไตรมาส 3 ของปีนี้ ดังนั้นในงวดปี 60 (ต.ค.59-ก.ย.60) AOT ยัง คงจ่ายค่าเช่าพื้นที่ราชพัสดุของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแบบ Revenue Sharing ที่ 5% เหมือนกับปีก่อน
ทั้งนี้จะจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์นอกเหนือพื้นที่ที่คิง เพาเวอร์ เช่าอยู่และจะหมดสัญญาในปี 62 คาดว่าไม่น่าจะปรับขึ้นระหว่างทางได้ส่วนนอกพื้นที่ที่เตรียมจะทำโครงการ Airport City มีประมาณ 700 ไร่ ขณะที่ต้องชี้วัดให้ชัดเจนในเขตพื้นที่แนวร่อนการบิน ได้แก่ รันเวย์ที่ทางด้านซ้ายและขวาต้องเป็นพื้นที่โล่ง 150 เมตร เป็นต้น ผอ.ท่าอากาศยานไทยคาดว่าการปรับค่าเช่าใหม่แบบ ROA ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิจะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 300-400 ล้านบาทต่อปีเท่านั้นซึ่ง AOT อาจมีการต่อรองกับกรมธนารักษ์อีกครั้งส่วนผู้เช่าพื้นที่จะมีการเจรจาเพื่อปรับขึ้นค่าเช่าต่อไป