เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลางในต่างจังหวัดที่ค่อนข้างเจริญ พ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ แม่รับราชการ เราเป็นพี่คนโต น้องชายอายุห่างกัน 6 ปี เราเรียนจบมัธยมที่จังหวัดบ้านเกิด แล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯได้ จากนั้นเราจึงเริ่มมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงลำพัง พ่อแม่เห็นว่าเรารับผิดชอบตัวเองได้ดีแล้ว ก็ค่อนข้างไว้ใจ ให้เราใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือกเองทุกอย่าง
เรามีแฟนมาหลายคน จนสุดท้ายมาคบกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเรา 5 ปี เราเริ่มคบกันตั้งแต่เค้าอายุ 20 ปี ยังเรียนไม่จบ ส่วนเรานั้นทำงานแล้ว แรกๆก็มีความสุขดีค่ะ โลกนี้เป็นสีชมพู เวลาผ่านไปหลายปี เค้าก็ไม่เคยพาเราไปรู้จักครอบครัว หรือเพื่อนของเค้าเลย เหมือนเราไม่มีตัวตน ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกน้อยใจค่ะ แต่เค้าเป็นคนดีมาก ไม่เคยทำให้เราเสียใจ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน และไม่สนใจหญิงอื่น สุดท้ายกว่าเค้าจะพาเราไปเจอที่บ้านก็เข้าปีที่ 5 แล้วค่ะ
หลังจากแฟนเราเรียนจบใหม่ๆ เราพาเค้าไปสมัครงาน สัมภาษณ์ พอได้งานแล้วเค้าก็ไม่ไปทำค่ะ พ่อเค้าบอกว่าได้เงินเดือนน้อยจะไปทำให้ลำบากทำไม ใช่ค่ะที่บ้านเค้าฐานะค่อนข้างดี ไม่ทำงานก็ไม่เดือดร้อนค่ะ จนวันนึงเค้าบอกเราว่าต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดกับพ่อทุกเสาร์ อาทิตย์ ต้องไปขายของที่ตลาด วันเวลาผ่านไป2-3 ปี เรามารู้ทีหลังว่าเค้าโกหกเรา จริงๆแล้วเค้าขายของที่ตลาดนัดในกทม.นี่แหละค่ะ แต่เค้าไม่อยากให้เรารู้ พ่อเค้าเซ้งแผงให้เค้าเปิดร้านขายของเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาเค้าไม่ได้ทำงานค่ะ อยู่บ้านเฉยๆ อีกเรื่องคือ งานรับปริญญาเค้าเราก็ไม่ได้ไปค่ะ เค้าโกหกเราว่าไม่ได้รับปริญญาทั้งที่จริงๆแล้วเค้าไปรับ แต่เค้าไม่อยากให้เราไปด้วย เรามาเห็นรูปรับปริญญาที่บ้านเค้า เราถึงได้รู้ค่ะ ว่าเค้าโกหกเรื่องนี้ด้วย
หลังจากนั้น 2-3 ปี เราก็แต่งงานกันค่ะ โดยแม่เราเรียกสินสอดไปที่เงินสดสี่แสน และทองสี่บาท จริงๆแม่จะเรียกมากกว่านี้ค่ะ แต่เราบอกแม่ว่าน่าเกลียด เค้าจะมองว่าเราเห็นแก่เงิน ขายลูกกิน เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ทางบ้านฝ่ายชายก็ไม่มีปัญหาค่ะ เงินสินสอดที่ได้มาก็เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานทุกอย่าง เสื้อผ้าหน้าผม Pre-wedding ค่าสถานที่จัดงาน ค่าโต๊ะจีน และอื่นๆอีกมาก หลังงานแต่งงาน เรามีเงินเหลือประมาณเกือบสามแสนบาทจากเงินซองด้วยค่ะ สาเหตุที่ค่าใช้จ่ายในการจัดงานไม่แพงมาก เพราะเราจัดแบบครึ่งวันค่ะ พิธีไทยตอนเช้า เลี้ยงอาหารเที่ยงแล้วก็เสร็จเลยค่ะ ไม่มีงานกลางคืน หรือจัดที่บ้านเกิดเราต่างจังหวัด เพราะเราเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง
เงินที่เหลือจากการจัดงานแต่งงานนั้น เราเอามาหารสอง แบ่งกันคนละครึ่งค่ะ ตอนแรกก็ทะเลาะกันว่าทำไมเราจะต้องแบ่งให้เค้า เงินนี้ควรเป็นเงินเก็บของครอบครัว ไว้ตั้งตัว แต่เค้าบอกว่าแม่เค้าหวังว่าจะได้เงินนี้ด้วยค่ะ เพราะแม่เราบอกจะยกคืนให้ เราต้องขายทองสี่บาทที่ได้ เอาเงินไปให้แม่เราค่ะ เพราะแม่เราบอกว่าแม่เราควรจะได้อะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นมันน่าเกลียด แต่ก่อนจัดงานแม่เราไม่ได้พูดแบบนี้นะคะ เค้าบอกเราว่าสินสอดจะยกให้ลูกทั้งหมด เค้าไม่เอา แต่หลังงานเค้ามาคุยกับเรานอกรอบ เราก็เลยต้องเอาสร้อยไปขาย แล้วก็ให้เงินแม่เราไปรวมหนึ่งแสนบาท
ขอท้าวความเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเราสักหน่อยนะคะ พ่อแม่เราหย่ากันตอนเรามาเรียนที่กทม.ค่ะ ก่อนหน้านั้นก็มีปัญหาทะเลาะกันมาตลอด พ่อมีเมียน้อย แม่หอบเรากับน้องหนีออกจากบ้าน แม่หนีออกจากบ้านคนเดียว เหตุการณ์มันวนเวียนอยู่แบบนี้ตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นม.ปลายของเราค่ะ เป็นแรงผลักดันให้เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จด้วยค่ะ เพราะเราไม่อยากทนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว ส่วนน้องชายก็ต้องรับผลกรรมไปค่ะ ต้องอยู่กับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันแทบจะ 24 ชม. น้องชายตอนนั้นยังเรียนประถม นอนกับพ่อแม่อยู่เลยค่ะ น่าสงสาร เรากับน้องชายทะเลาะกันตลอดตั้งแต่เล็ก แม่บังคับให้เราเสียสละให้น้องตลอดค่ะ น้องชายกลายเป็นเด็กไม่เอาถ่าน ขโมยเงินพ่อแม่ แม่ว่าพ่อเก็บเงินไม่ดีค่ะ วางล่อใจลูก วิธีการแก้ปัญหาคือเก็บเงินให้พ้นสายตา น้องชายเราเคยขโมยกระทั่งสร้อยทองของพ่อเราค่ะ เอาไปขาย แล้วเอาเงินมาเลี้ยงเพื่อน เราไม่คิดว่าน้องเรารู้สึกผิดในการกระทำของเค้านะคะ เรียนหนังสือไม่เก่ง คอยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ปวดหัวตลอด
เรามาเรียนกทม. เป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เรามาอยู่ตัวคนเดียว ลำบากมากค่ะ ต้องกู้กยศ. เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินพอส่งเรียน (แต่ตอนนี้ใช้หนี้คืนหมดแล้วนะคะ) ตอนเราเรียนจบทำงานแรกๆ เพิ่งจะได้โบนัสก้อนแรกค่ะ เราเล่าให้แม่ฟังด้วยความดีใจ แม่เราโทรมาขอเงินเราเค้าจะเอาไปเที่ยวกับเพื่อนค่ะ เงินสองหมื่นบาทก้อนแรกของเรา ตอนแรกเราบอกปฏิเสธแม่ไปค่ะ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่สุดท้ายเราก็รู้สึกผิดค่ะ คิดว่าทำไมเงินแค่นี้ให้แม่ไม่ได้ แม่ให้เรามาทั้งชีวิตแล้ว เราก็โอนเงินสองหมื่นนั้นให้แม่ไปค่ะ
แม่เรา early retire จากราชการตอนอายุ 55 เป็นช่วงที่เราเรียนจบมหาลัยและเริ่มทำงานพอดีค่ะ เพราะแม่อยากได้เงินก้อน ตอนนั้นแม่ได้เงินก้อนสองล้านกว่าบาทค่ะ และเงินบำนาญเดือนละหมื่นห้า แม่ผันตัวมาทำกองทุนหมู่บ้านละล้านสมัยนั้น แต่หลังจากทำได้ประมาณสองปี แม่กลายเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้านที่แม่เป็นประธานกองทุน เป็นหนี้อยู่สองหรือสามล้านบาท เนื่องจากใช้จ่ายมือเติบและความหน้าใหญ่ใจโตค่ะ ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน อยู่ๆแม่ก็นั่งรถทัวร์มากทม. มาหาเราโดยไม่บอกล่วงหน้าค่ะ เราไปรับแม่ กลับมาถึงที่พักเราก็รบเร้าให้แม่เล่าปัญหาให้ฟัง ถึงได้รู้เรื่องหนี้สินนี้ แม่บอกให้เราไปหายืมเงินเพื่อนหรือคนที่ทำงาน เจ้านายมาช่วยใช้หนี้ค่ะ เราไม่รู้จะไปหาใคร เรากู้สินเชื่อส่วนบุคคลให้แม่ไปแสนกว่าบาทค่ะ ตอนนั้นเราทำงานได้เงินเดือนแค่สองหมื่นนิดหน่อย
มีญาติหลายๆคนทะยอยช่วยแม่ใช้หนี้ แต่เงินก้อนใหญ่ที่แม่ได้เอาไปใช้หนี้ คือ บังเอิญไปเจอบ้านทาวน์เฮาส์ประกาศขายต่ำกว่าราคาประเมิน เรากับพ่อก็เลยช่วยแม่โดยกู้ซื้อบ้านหลังนี้โดยมีเงินส่วนต่างห้าแสนที่แม่จะได้เอาไปใช้หนี้ค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจจะเป็นผู้กู้หลัก พ่อกู้ร่วม แต่ทางแบงค์ใส่ชื่อพ่อเราเป็นผู้กู้หลัก ในวันเซ็นสัญญาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เนื่องจากพ่อเงินเดือนเยอะกว่าเรามาก และมีสวัสดิการได้ดอกเบี้ยถูกกว่า พ่อเราโดนหักเงินเดือน เดือนละเจ็ดพันกว่าบาททุกเดือนจากต้นสังกัดค่ะ แม่สัญญาว่าจะโอนให้พ่อทุกเดือน แต่แม่ให้พ่อแค่เดือนแรกเดือนเดียว พ่อเราต้องโดนหักเงินในบัญชีแบบนั้นอยู่ 3 ปี จนเกษียณ พ่อเรายังฝังใจและอยากได้เงินคืนจากแม่อยู่ตลอด จากนั้นเรากลายเป็นผู้กู้หลัก ทำให้สามารถยืดระยะเวลากู้ออกไป ทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลง และทุกวันนี้แม่ก็จ่ายเองทุกเดือนค่ะ
น้องชายเราอย่างที่บอกว่าคอยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ปวดหัวมาตลอด แม่เราซื้อคอมฯให้น้องตอนที่น้องเรียนไม่จบ ซื้อรถให้ขับ และเราก็มีส่วนร่วมในการผ่อนช่วยด้วยค่ะ ทั้งที่ตัวเราเองสมัยเรียนก็ไม่มีคอมฯใช้ค่ะ ต้องไปใช้คอมฯห้องสมุดหรือคอมฯคณะทำงานส่งอาจารย์ รถก็ไม่มีขับค่ะ นั่งรถเมล์ตลอด เราเพิ่งจะมีรถเป็นของตัวเองเมื่ออายุ 30 กว่า ยังไม่หมดแค่นั้น น้องชายเราแต่งานตอนอายุ 24-25 ค่ะ แม่หาสินสอดให้ จัดงานให้เสร็จสรรพ หมดเงินไปหลายแสนบาท ใช่ค่ะ พอเป็นงานแต่งงานเรา แม่มาเอาเงินที่เราไปแสนนึงค่ะ...ค่าน้ำนม ทุกวันนี้พ่อเราหนีออกมาสร้างบ้านใหม่อยู่กับเมียใหม่เค้าค่ะ บ้านหลังเดิมยกให้น้องชายเรากับลูกเมียอยู่กันเอง แม่เราก็มีสามีใหม่ ครอบครัวกระจัดกระจาย แตกแยกไปหมด
เราดิ้นรนทำงานที่กทม. มาหลายปี หลังแต่งงานชีวิตดูเหมือนจะสบายขึ้น งานเริ่มได้เงินเดือนเยอะขึ้น จนเราสามารถซื้อรถ และมีบ้านเป็นของตัวเองได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราคนเดียวล้วนๆค่ะ แต่มันเหนื่อยมากๆเลยที่ต้องฝ่าฟันกับการจราจรในกทม. เราใช้เวลา 2 ชม. ในการมาทำงาน และอีก 2 ชม. เพื่อกลับบ้านค่ะ ทั้งที่บ้านกับที่ทำงานห่างกันแค่ 25 กม. เราต้องขับรถมาทำงานงานเองตั้งแต่ตอนท้องจนอีก 2 สัปดาห์จะคลอดค่ะ โชคดีที่เจ้านายให้หยุดทำงานที่บ้านได้ ไม่งั้นคงจะทุลักทุเลน่าดู สามีไม่ได้ทำงานวันธรรมดา แต่เค้าก็ไม่เคยคิดจะขับรถไปรับไปส่งเราค่ะ
ก่อนคลอดเราซื้อของเตรียมหลังคลอดให้ลูกเองทุกอย่าง แม่สามีเค้าถือค่ะ ไม่อยากให้ซื้อก่อน เราต้องแอบซื้อมาเก็บไว้ในห้อง เพราะถ้าตอนหลังคลอด ใครจะมาซื้อให้เราได้ เราเก็บเงินก้อนไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหลังคลอด ทั้งค่าคลอดที่รพ. ค่าเสื้อผ้า ของใช้เด็กอ่อน เราจัดการเองคนเดียวทั้งหมดค่ะ สามีไม่คิดจะยื่นมือมาช่วย แม้กระทั่งค่าใช้จ่ายในการไปฝากท้องทุกเดือนเราก็ออกเองค่ะ จนถึงวันที่เราคลอดลูก สามีเห็นหน้าลูกครั้งแรกเค้าเริ่มมีความรู้สึกเป็นพ่อและต้องช่วยรับผิดชอบ เค้าช่วยเราออกค่าใช้จ่ายที่รพ. และของใช้ของลูก โดยเราออกเงินไปก่อนค่ะ แล้วเค้ามาผ่อนใช้คืนเราทุกเดือน กว่าจะครบก็เกือบปีค่ะ ทางบ้านสามีไม่รู้เรื่องนี้ค่ะ สามีบอกที่บ้านว่าเค้าจ่ายเองทั้งหมด
แม่เรามาช่วยเลี้ยงลูกให้เราค่ะ ครั้งแรกแม่ตั้งใจว่าจะมาเลี้ยงหลานจนกว่าหลานจะเข้าโรงเรียน ป.1 ดูท่าทางเต็มใจ ตั้งใจมากที่จะมาอยู่กับเราที่บ้านสามี เราออกเงินกั้นห้องด้านล่างให้แม่อยู่ เอาไว้เลี้ยงหลาน เพราะห้องอื่นๆไม่สะดวก ห้องนอนของเราก็คับแคบเกินไปค่ะ แค่ 20 ตรม. บ้านสามีอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ พื้นที่ส่วนกลางรกมาก เพราะที่บ้านเค้าค้าขาย ของเต็มบ้าน ฝุ่นเยอะ ยุงเยอะ ใต้พื้นหน้าบ้านที่ทรุดวันดีคืนดีมีตัวเงินตัวทอง หรืองูเห่าออกมาเดินเพ่นพ่านด้วยค่ะ ช่วงเดือนแรกที่แม่มาช่วยเลี้ยงหลาน เราให้เงินแม่ 4000 บาทค่ะ แต่แม่เราอึ้งมากที่ได้เงินจากเราเท่านี้ เค้าบอกว่านึกว่าจะให้เค้าซัก 9000 เราก็เลยบอกไปว่าเรามีค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น นับจากวันนั้นแม่เราดูหมดใจที่จะเลี้ยงหลานแล้วค่ะ อยากจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดอย่างเดียว เราคุยกับสามีให้เค้าช่วยออกเงินให้ด้วยเดือนละ 3000 เพื่อที่แม่เราจะได้เงิน 7000 บาทค่ะ ตอนแรกเค้าก็จะไม่ให้ เค้าบอกว่ายายเลี้ยงเค้ามา ไม่เคยได้เงินจากแม่เค้าสักบาทเดียว แต่สุดท้ายเค้าก็ยอมช่วยค่ะ
พอลูกเราอายุได้ประมาณ 7 เดือน เราคิดเรื่องแยกครอบครัวออกมาอยู่เองค่ะ ตั้งใจจะซื้อบ้านที่ไม่ไกลจากบ้านพ่อแม่สามี เพื่อจะได้ไปมาสะดวก ก็ไปดูกันกับแม่เราและสามีเราค่ะ วางมัดจำแล้วยื่นเอกสารกู้ เรากู้คนเดียวนะคะ สัปดาห์เดียวก็กู้ผ่าน ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อบ้าน เราพยายามชวนสามีให้ไปอยู่อาคารพาณิชย์ที่พ่อสามีซื้อให้ค่ะ แต่สามีไม่ชอบและไม่อยากย้าย เราก็เลยชวนเค้าไปดูบ้าน และเค้าตกลงให้เราซื้อค่ะ เราบอกให้เค้าคุยกับพ่อแม่เค้าเรื่องที่จะแยกออกมาอยู่เอง บ้านที่เราซื้อห่างจากบ้านพ่อแม่เค้า ขับรถ 10 นาทีค่ะ แต่สามีเราเลือกจะคุยกับพ่อแม่เค้า ในวันที่อีกแค่ 1 สัปดาห์ เราจะย้ายออกค่ะ ทั้งที่เราถามเค้าตลอดว่าคุยกับพ่อแม่เค้าหรือยัง ที่เราไม่ได้พูดเองเพราะเห็นว่า เค้าเป็นพ่อแม่ลูกกัน น่าจะคุยกันเองได้ดีกว่าเราซึ่งเป็นคนนอก
วันที่สามีเราไปคุยเรื่องที่เราจะย้ายออกมาอยู่เอง มันกลายเป็นปัญหาใหญ่โตเลยค่ะ พ่อสามีด่าสามีเราอย่างรุนแรง และบอกว่าจะขายอาคารพาณิชย์ที่ซื้อให้ทิ้ง จะตัดหางปล่อยวัด ถ้าสามีจะมาอยู่กับเรา เค้าจะไม่มีอนาคต และเค้าตราหน้าเราไว้ว่าอยู่ได้ไม่นาน จะต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่มีปัญญาผ่อนบ้าน เค้าต่อให้เดือนละแสนเลย และตอนนี้เราอยู่บ้านที่เราซื้อเอง มาสองปีแล้วค่ะ อยากจะไปทวงถามถึงเงิน สองล้านสี่เหมือนกัน (555 ขำๆนะคะ) สามีเราต้องแยกกับเราช่วง 1-2 สัปดาห์แรกที่ย้ายบ้านมา พ่อแม่เค้าบอกว่าสามีเราเป็นเสาหลักของที่บ้านเค้าค่ะ อยากจะให้พ่อแม่เค้ารับรู้ถึงพฤติกรรมเสาหลักของบ้านมากๆค่ะ ปัจจุบันสามีมานอนที่บ้านเราพอเช้าไปส่งลูกไปเนอร์สเซอรี่เสร็จเค้าก็จะกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่เค้าค่ะ ตกเย็นไปรับลูกที่เนอร์ส ก็จะกลับมาบ้านเรา
Working Mom ขอพื้นที่ระบายหน่อยค่ะ
เรามีแฟนมาหลายคน จนสุดท้ายมาคบกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเรา 5 ปี เราเริ่มคบกันตั้งแต่เค้าอายุ 20 ปี ยังเรียนไม่จบ ส่วนเรานั้นทำงานแล้ว แรกๆก็มีความสุขดีค่ะ โลกนี้เป็นสีชมพู เวลาผ่านไปหลายปี เค้าก็ไม่เคยพาเราไปรู้จักครอบครัว หรือเพื่อนของเค้าเลย เหมือนเราไม่มีตัวตน ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกน้อยใจค่ะ แต่เค้าเป็นคนดีมาก ไม่เคยทำให้เราเสียใจ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน และไม่สนใจหญิงอื่น สุดท้ายกว่าเค้าจะพาเราไปเจอที่บ้านก็เข้าปีที่ 5 แล้วค่ะ
หลังจากแฟนเราเรียนจบใหม่ๆ เราพาเค้าไปสมัครงาน สัมภาษณ์ พอได้งานแล้วเค้าก็ไม่ไปทำค่ะ พ่อเค้าบอกว่าได้เงินเดือนน้อยจะไปทำให้ลำบากทำไม ใช่ค่ะที่บ้านเค้าฐานะค่อนข้างดี ไม่ทำงานก็ไม่เดือดร้อนค่ะ จนวันนึงเค้าบอกเราว่าต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดกับพ่อทุกเสาร์ อาทิตย์ ต้องไปขายของที่ตลาด วันเวลาผ่านไป2-3 ปี เรามารู้ทีหลังว่าเค้าโกหกเรา จริงๆแล้วเค้าขายของที่ตลาดนัดในกทม.นี่แหละค่ะ แต่เค้าไม่อยากให้เรารู้ พ่อเค้าเซ้งแผงให้เค้าเปิดร้านขายของเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาเค้าไม่ได้ทำงานค่ะ อยู่บ้านเฉยๆ อีกเรื่องคือ งานรับปริญญาเค้าเราก็ไม่ได้ไปค่ะ เค้าโกหกเราว่าไม่ได้รับปริญญาทั้งที่จริงๆแล้วเค้าไปรับ แต่เค้าไม่อยากให้เราไปด้วย เรามาเห็นรูปรับปริญญาที่บ้านเค้า เราถึงได้รู้ค่ะ ว่าเค้าโกหกเรื่องนี้ด้วย
หลังจากนั้น 2-3 ปี เราก็แต่งงานกันค่ะ โดยแม่เราเรียกสินสอดไปที่เงินสดสี่แสน และทองสี่บาท จริงๆแม่จะเรียกมากกว่านี้ค่ะ แต่เราบอกแม่ว่าน่าเกลียด เค้าจะมองว่าเราเห็นแก่เงิน ขายลูกกิน เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ทางบ้านฝ่ายชายก็ไม่มีปัญหาค่ะ เงินสินสอดที่ได้มาก็เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานทุกอย่าง เสื้อผ้าหน้าผม Pre-wedding ค่าสถานที่จัดงาน ค่าโต๊ะจีน และอื่นๆอีกมาก หลังงานแต่งงาน เรามีเงินเหลือประมาณเกือบสามแสนบาทจากเงินซองด้วยค่ะ สาเหตุที่ค่าใช้จ่ายในการจัดงานไม่แพงมาก เพราะเราจัดแบบครึ่งวันค่ะ พิธีไทยตอนเช้า เลี้ยงอาหารเที่ยงแล้วก็เสร็จเลยค่ะ ไม่มีงานกลางคืน หรือจัดที่บ้านเกิดเราต่างจังหวัด เพราะเราเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง
เงินที่เหลือจากการจัดงานแต่งงานนั้น เราเอามาหารสอง แบ่งกันคนละครึ่งค่ะ ตอนแรกก็ทะเลาะกันว่าทำไมเราจะต้องแบ่งให้เค้า เงินนี้ควรเป็นเงินเก็บของครอบครัว ไว้ตั้งตัว แต่เค้าบอกว่าแม่เค้าหวังว่าจะได้เงินนี้ด้วยค่ะ เพราะแม่เราบอกจะยกคืนให้ เราต้องขายทองสี่บาทที่ได้ เอาเงินไปให้แม่เราค่ะ เพราะแม่เราบอกว่าแม่เราควรจะได้อะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นมันน่าเกลียด แต่ก่อนจัดงานแม่เราไม่ได้พูดแบบนี้นะคะ เค้าบอกเราว่าสินสอดจะยกให้ลูกทั้งหมด เค้าไม่เอา แต่หลังงานเค้ามาคุยกับเรานอกรอบ เราก็เลยต้องเอาสร้อยไปขาย แล้วก็ให้เงินแม่เราไปรวมหนึ่งแสนบาท
ขอท้าวความเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเราสักหน่อยนะคะ พ่อแม่เราหย่ากันตอนเรามาเรียนที่กทม.ค่ะ ก่อนหน้านั้นก็มีปัญหาทะเลาะกันมาตลอด พ่อมีเมียน้อย แม่หอบเรากับน้องหนีออกจากบ้าน แม่หนีออกจากบ้านคนเดียว เหตุการณ์มันวนเวียนอยู่แบบนี้ตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นม.ปลายของเราค่ะ เป็นแรงผลักดันให้เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จด้วยค่ะ เพราะเราไม่อยากทนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว ส่วนน้องชายก็ต้องรับผลกรรมไปค่ะ ต้องอยู่กับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันแทบจะ 24 ชม. น้องชายตอนนั้นยังเรียนประถม นอนกับพ่อแม่อยู่เลยค่ะ น่าสงสาร เรากับน้องชายทะเลาะกันตลอดตั้งแต่เล็ก แม่บังคับให้เราเสียสละให้น้องตลอดค่ะ น้องชายกลายเป็นเด็กไม่เอาถ่าน ขโมยเงินพ่อแม่ แม่ว่าพ่อเก็บเงินไม่ดีค่ะ วางล่อใจลูก วิธีการแก้ปัญหาคือเก็บเงินให้พ้นสายตา น้องชายเราเคยขโมยกระทั่งสร้อยทองของพ่อเราค่ะ เอาไปขาย แล้วเอาเงินมาเลี้ยงเพื่อน เราไม่คิดว่าน้องเรารู้สึกผิดในการกระทำของเค้านะคะ เรียนหนังสือไม่เก่ง คอยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ปวดหัวตลอด
เรามาเรียนกทม. เป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เรามาอยู่ตัวคนเดียว ลำบากมากค่ะ ต้องกู้กยศ. เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินพอส่งเรียน (แต่ตอนนี้ใช้หนี้คืนหมดแล้วนะคะ) ตอนเราเรียนจบทำงานแรกๆ เพิ่งจะได้โบนัสก้อนแรกค่ะ เราเล่าให้แม่ฟังด้วยความดีใจ แม่เราโทรมาขอเงินเราเค้าจะเอาไปเที่ยวกับเพื่อนค่ะ เงินสองหมื่นบาทก้อนแรกของเรา ตอนแรกเราบอกปฏิเสธแม่ไปค่ะ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่สุดท้ายเราก็รู้สึกผิดค่ะ คิดว่าทำไมเงินแค่นี้ให้แม่ไม่ได้ แม่ให้เรามาทั้งชีวิตแล้ว เราก็โอนเงินสองหมื่นนั้นให้แม่ไปค่ะ
แม่เรา early retire จากราชการตอนอายุ 55 เป็นช่วงที่เราเรียนจบมหาลัยและเริ่มทำงานพอดีค่ะ เพราะแม่อยากได้เงินก้อน ตอนนั้นแม่ได้เงินก้อนสองล้านกว่าบาทค่ะ และเงินบำนาญเดือนละหมื่นห้า แม่ผันตัวมาทำกองทุนหมู่บ้านละล้านสมัยนั้น แต่หลังจากทำได้ประมาณสองปี แม่กลายเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้านที่แม่เป็นประธานกองทุน เป็นหนี้อยู่สองหรือสามล้านบาท เนื่องจากใช้จ่ายมือเติบและความหน้าใหญ่ใจโตค่ะ ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน อยู่ๆแม่ก็นั่งรถทัวร์มากทม. มาหาเราโดยไม่บอกล่วงหน้าค่ะ เราไปรับแม่ กลับมาถึงที่พักเราก็รบเร้าให้แม่เล่าปัญหาให้ฟัง ถึงได้รู้เรื่องหนี้สินนี้ แม่บอกให้เราไปหายืมเงินเพื่อนหรือคนที่ทำงาน เจ้านายมาช่วยใช้หนี้ค่ะ เราไม่รู้จะไปหาใคร เรากู้สินเชื่อส่วนบุคคลให้แม่ไปแสนกว่าบาทค่ะ ตอนนั้นเราทำงานได้เงินเดือนแค่สองหมื่นนิดหน่อย
มีญาติหลายๆคนทะยอยช่วยแม่ใช้หนี้ แต่เงินก้อนใหญ่ที่แม่ได้เอาไปใช้หนี้ คือ บังเอิญไปเจอบ้านทาวน์เฮาส์ประกาศขายต่ำกว่าราคาประเมิน เรากับพ่อก็เลยช่วยแม่โดยกู้ซื้อบ้านหลังนี้โดยมีเงินส่วนต่างห้าแสนที่แม่จะได้เอาไปใช้หนี้ค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจจะเป็นผู้กู้หลัก พ่อกู้ร่วม แต่ทางแบงค์ใส่ชื่อพ่อเราเป็นผู้กู้หลัก ในวันเซ็นสัญญาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เนื่องจากพ่อเงินเดือนเยอะกว่าเรามาก และมีสวัสดิการได้ดอกเบี้ยถูกกว่า พ่อเราโดนหักเงินเดือน เดือนละเจ็ดพันกว่าบาททุกเดือนจากต้นสังกัดค่ะ แม่สัญญาว่าจะโอนให้พ่อทุกเดือน แต่แม่ให้พ่อแค่เดือนแรกเดือนเดียว พ่อเราต้องโดนหักเงินในบัญชีแบบนั้นอยู่ 3 ปี จนเกษียณ พ่อเรายังฝังใจและอยากได้เงินคืนจากแม่อยู่ตลอด จากนั้นเรากลายเป็นผู้กู้หลัก ทำให้สามารถยืดระยะเวลากู้ออกไป ทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลง และทุกวันนี้แม่ก็จ่ายเองทุกเดือนค่ะ
น้องชายเราอย่างที่บอกว่าคอยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ปวดหัวมาตลอด แม่เราซื้อคอมฯให้น้องตอนที่น้องเรียนไม่จบ ซื้อรถให้ขับ และเราก็มีส่วนร่วมในการผ่อนช่วยด้วยค่ะ ทั้งที่ตัวเราเองสมัยเรียนก็ไม่มีคอมฯใช้ค่ะ ต้องไปใช้คอมฯห้องสมุดหรือคอมฯคณะทำงานส่งอาจารย์ รถก็ไม่มีขับค่ะ นั่งรถเมล์ตลอด เราเพิ่งจะมีรถเป็นของตัวเองเมื่ออายุ 30 กว่า ยังไม่หมดแค่นั้น น้องชายเราแต่งานตอนอายุ 24-25 ค่ะ แม่หาสินสอดให้ จัดงานให้เสร็จสรรพ หมดเงินไปหลายแสนบาท ใช่ค่ะ พอเป็นงานแต่งงานเรา แม่มาเอาเงินที่เราไปแสนนึงค่ะ...ค่าน้ำนม ทุกวันนี้พ่อเราหนีออกมาสร้างบ้านใหม่อยู่กับเมียใหม่เค้าค่ะ บ้านหลังเดิมยกให้น้องชายเรากับลูกเมียอยู่กันเอง แม่เราก็มีสามีใหม่ ครอบครัวกระจัดกระจาย แตกแยกไปหมด
เราดิ้นรนทำงานที่กทม. มาหลายปี หลังแต่งงานชีวิตดูเหมือนจะสบายขึ้น งานเริ่มได้เงินเดือนเยอะขึ้น จนเราสามารถซื้อรถ และมีบ้านเป็นของตัวเองได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราคนเดียวล้วนๆค่ะ แต่มันเหนื่อยมากๆเลยที่ต้องฝ่าฟันกับการจราจรในกทม. เราใช้เวลา 2 ชม. ในการมาทำงาน และอีก 2 ชม. เพื่อกลับบ้านค่ะ ทั้งที่บ้านกับที่ทำงานห่างกันแค่ 25 กม. เราต้องขับรถมาทำงานงานเองตั้งแต่ตอนท้องจนอีก 2 สัปดาห์จะคลอดค่ะ โชคดีที่เจ้านายให้หยุดทำงานที่บ้านได้ ไม่งั้นคงจะทุลักทุเลน่าดู สามีไม่ได้ทำงานวันธรรมดา แต่เค้าก็ไม่เคยคิดจะขับรถไปรับไปส่งเราค่ะ
ก่อนคลอดเราซื้อของเตรียมหลังคลอดให้ลูกเองทุกอย่าง แม่สามีเค้าถือค่ะ ไม่อยากให้ซื้อก่อน เราต้องแอบซื้อมาเก็บไว้ในห้อง เพราะถ้าตอนหลังคลอด ใครจะมาซื้อให้เราได้ เราเก็บเงินก้อนไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหลังคลอด ทั้งค่าคลอดที่รพ. ค่าเสื้อผ้า ของใช้เด็กอ่อน เราจัดการเองคนเดียวทั้งหมดค่ะ สามีไม่คิดจะยื่นมือมาช่วย แม้กระทั่งค่าใช้จ่ายในการไปฝากท้องทุกเดือนเราก็ออกเองค่ะ จนถึงวันที่เราคลอดลูก สามีเห็นหน้าลูกครั้งแรกเค้าเริ่มมีความรู้สึกเป็นพ่อและต้องช่วยรับผิดชอบ เค้าช่วยเราออกค่าใช้จ่ายที่รพ. และของใช้ของลูก โดยเราออกเงินไปก่อนค่ะ แล้วเค้ามาผ่อนใช้คืนเราทุกเดือน กว่าจะครบก็เกือบปีค่ะ ทางบ้านสามีไม่รู้เรื่องนี้ค่ะ สามีบอกที่บ้านว่าเค้าจ่ายเองทั้งหมด
แม่เรามาช่วยเลี้ยงลูกให้เราค่ะ ครั้งแรกแม่ตั้งใจว่าจะมาเลี้ยงหลานจนกว่าหลานจะเข้าโรงเรียน ป.1 ดูท่าทางเต็มใจ ตั้งใจมากที่จะมาอยู่กับเราที่บ้านสามี เราออกเงินกั้นห้องด้านล่างให้แม่อยู่ เอาไว้เลี้ยงหลาน เพราะห้องอื่นๆไม่สะดวก ห้องนอนของเราก็คับแคบเกินไปค่ะ แค่ 20 ตรม. บ้านสามีอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ พื้นที่ส่วนกลางรกมาก เพราะที่บ้านเค้าค้าขาย ของเต็มบ้าน ฝุ่นเยอะ ยุงเยอะ ใต้พื้นหน้าบ้านที่ทรุดวันดีคืนดีมีตัวเงินตัวทอง หรืองูเห่าออกมาเดินเพ่นพ่านด้วยค่ะ ช่วงเดือนแรกที่แม่มาช่วยเลี้ยงหลาน เราให้เงินแม่ 4000 บาทค่ะ แต่แม่เราอึ้งมากที่ได้เงินจากเราเท่านี้ เค้าบอกว่านึกว่าจะให้เค้าซัก 9000 เราก็เลยบอกไปว่าเรามีค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น นับจากวันนั้นแม่เราดูหมดใจที่จะเลี้ยงหลานแล้วค่ะ อยากจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดอย่างเดียว เราคุยกับสามีให้เค้าช่วยออกเงินให้ด้วยเดือนละ 3000 เพื่อที่แม่เราจะได้เงิน 7000 บาทค่ะ ตอนแรกเค้าก็จะไม่ให้ เค้าบอกว่ายายเลี้ยงเค้ามา ไม่เคยได้เงินจากแม่เค้าสักบาทเดียว แต่สุดท้ายเค้าก็ยอมช่วยค่ะ
พอลูกเราอายุได้ประมาณ 7 เดือน เราคิดเรื่องแยกครอบครัวออกมาอยู่เองค่ะ ตั้งใจจะซื้อบ้านที่ไม่ไกลจากบ้านพ่อแม่สามี เพื่อจะได้ไปมาสะดวก ก็ไปดูกันกับแม่เราและสามีเราค่ะ วางมัดจำแล้วยื่นเอกสารกู้ เรากู้คนเดียวนะคะ สัปดาห์เดียวก็กู้ผ่าน ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อบ้าน เราพยายามชวนสามีให้ไปอยู่อาคารพาณิชย์ที่พ่อสามีซื้อให้ค่ะ แต่สามีไม่ชอบและไม่อยากย้าย เราก็เลยชวนเค้าไปดูบ้าน และเค้าตกลงให้เราซื้อค่ะ เราบอกให้เค้าคุยกับพ่อแม่เค้าเรื่องที่จะแยกออกมาอยู่เอง บ้านที่เราซื้อห่างจากบ้านพ่อแม่เค้า ขับรถ 10 นาทีค่ะ แต่สามีเราเลือกจะคุยกับพ่อแม่เค้า ในวันที่อีกแค่ 1 สัปดาห์ เราจะย้ายออกค่ะ ทั้งที่เราถามเค้าตลอดว่าคุยกับพ่อแม่เค้าหรือยัง ที่เราไม่ได้พูดเองเพราะเห็นว่า เค้าเป็นพ่อแม่ลูกกัน น่าจะคุยกันเองได้ดีกว่าเราซึ่งเป็นคนนอก
วันที่สามีเราไปคุยเรื่องที่เราจะย้ายออกมาอยู่เอง มันกลายเป็นปัญหาใหญ่โตเลยค่ะ พ่อสามีด่าสามีเราอย่างรุนแรง และบอกว่าจะขายอาคารพาณิชย์ที่ซื้อให้ทิ้ง จะตัดหางปล่อยวัด ถ้าสามีจะมาอยู่กับเรา เค้าจะไม่มีอนาคต และเค้าตราหน้าเราไว้ว่าอยู่ได้ไม่นาน จะต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่มีปัญญาผ่อนบ้าน เค้าต่อให้เดือนละแสนเลย และตอนนี้เราอยู่บ้านที่เราซื้อเอง มาสองปีแล้วค่ะ อยากจะไปทวงถามถึงเงิน สองล้านสี่เหมือนกัน (555 ขำๆนะคะ) สามีเราต้องแยกกับเราช่วง 1-2 สัปดาห์แรกที่ย้ายบ้านมา พ่อแม่เค้าบอกว่าสามีเราเป็นเสาหลักของที่บ้านเค้าค่ะ อยากจะให้พ่อแม่เค้ารับรู้ถึงพฤติกรรมเสาหลักของบ้านมากๆค่ะ ปัจจุบันสามีมานอนที่บ้านเราพอเช้าไปส่งลูกไปเนอร์สเซอรี่เสร็จเค้าก็จะกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่เค้าค่ะ ตกเย็นไปรับลูกที่เนอร์ส ก็จะกลับมาบ้านเรา