สวัสดีครับ ถ้าหากกล่าวถึงราเมน (Ramen ラーメン らーめん หรือ らー麺) ผมเชื่อว่าทุกท่านน่าจะมีความคุ้นเคยดีกับคำคำนี้ไม่มากก็น้อย ถ้าจะมองง่าย ๆ ราเมนก็คือก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่นนั่นเองและก็เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของญี่ปุ่นที่หลาย ๆ คนนึกถึง ผมตั้งใจเขียน [In one bowl]-Ramen Talk เพื่อที่จะแบ่งปันข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับร้านราเมนในเมืองโตเกียวที่ผมเคยไปมา ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวร้าน เกี่ยวกับราเมน หรือ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ผมพอจะหาได้ และแน่นอนรวมไปถึงรสชาติของราเมนชามนั้น ๆ มาถ่ายทอดที่นี่ ใครที่สนใจหรือเคยไปมากันแล้วก็มาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ครับ ส่วนข้อมูลและรูปภาพที่มีการอ้างอิงผมจะใส่ [x] ไว้แล้วแปะ Reference ไว้ที่ด้านล่างนะครับ
ที่ว่า In one bowl นั้น หมายความหมายว่า ภายในชามชามเดียว ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ การแข่งขันของร้านราเมนในญี่ปุ่นนั้นมีสูงมาก มีร้านที่เกิดขึ้นใหม่และต้องปิดตัวลงไปมากมาย โดยเพื่อความอยู่รอดและเพื่อความเป็นที่สุด เจ้าของร้านต้องมีความเอาใจใส่ในการรีดเฟ้นทักษะ สรรหาวัตถุดิบ และคิดค้นสูตร เพื่อที่จะนำทั้งหมดมารวมกันอยู่ในราเมนหนึ่งชาม และชามหนึ่งชามนี้เองจะเป็นตัวกลางของการสื่อสารที่ดีที่สุดระหว่างทางร้านและผู้ทาน ดังนั้นการทานราเมนเพียงแค่ชามเดียวก็เพียงพอที่จะบอกเป็นนัยได้ว่าภาพรวมของร้านนั้นเป็นอย่างไร แล้วเราอยากจะกลับไปที่ร้านนั้นอีกหรือไม่
เอาหล่ะครับ หลังจากพูดพร่ำทำเพลงอยู่เสียนาน เรามาเริ่มตอนแรกกันเลยดีกว่าครับ
Higashi-Ikebukuro Taishoken 東池袋大勝軒
เกี่ยวกับร้าน [1]
หากจะพูดถึงร้าน Higashi-Ikebukuro Taishoken นั้น ผมคงต้องแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับบุคคลท่านนึงเสียก่อน เค้าคือตำนานที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการราเมนญี่ปุ่นนานกว่า 50 กว่าปี ชายที่ชื่อว่า Yamagishi Kazuo หรือที่รู้จักกันในนาม The god of ramen คุณ Yamagishi ได้ปูรากฐานของวงการราเมนในญี่ปุ่นภายในร้านเล็ก ๆ ของเค้า มีคนมากมายหลายรุ่นกว่าร้อยคนหมุนเวียนมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ จนสามารถออกไปเปิดร้านของตัวเองและประสบความสำเร็จได้ในที่สุด โดยหนึ่งในนั้นคือศิษย์เอกอย่าง Tashiro Kouji ผู้ก่อตั้ง Menya Kouji Group และมีร้านมาเปิดอยู่ที่บ้านเราอีกด้วย หากใครที่ไปตามร้านราเมนต่าง ๆ แล้วเห็นรูปของคุณ Yamagishi หรือไม่ก็เป็นรูปหมู่ที่ถ่ายร่วมกันติดอยู่ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะนั่นก็คือร้านของลูกศิษย์ลูกหาของเค้านั่นเอง
ร้านดั้งเดิมของคุณ Yamagishi ที่ Ikebukuro เปิดตัวขึ้นในปี ค.ศ.1961 และต้องปิดตัวลงไปในปี 2007 เนื่องจากติดโครงการการพัฒนาที่ดินในแถบนั้น ตลอดระยะเวลาทำการ มีผู้คนมาต่อคิวทานราเมนที่ร้านของเค้าอย่างไม่ขาดสาย ด้วยความบังเอิญในช่วงวัยหนุ่มเค้าได้คิดค้นเมนูนึงขึ้นมาชื่อว่า Tokusei Morisoba (特製もりそば ) หรือโซบะเย็นแบบพิเศษนั่นเอง ความแปลกของเมนูนี้คือ ตัวราเมนนั้นไม่ได้รวมเส้นกับน้ำซุปเข้าด้วยกัน หากแต่แยกเสิร์ฟเป็นเส้นราเมนหนาแบบเย็นคู่กับน้ำซุปราเมนแบบอุ่นแทน โดยวิธีการทานนั้นต้องเอาเส้นไปจุ่มในน้ำซุปแล้วทาน ด้วยความที่เส้นเป็นแบบหน้าตอนเคี้ยวจะได้ความรู้สึกหนุบหนับเข้ากับรสชาติน้ำซุปใสแต่เข้มข้นอย่างลงตัว ผนวกกับราคาที่ย่อมเยาและปริมาณที่จุใจ จึงทำให้เมนูนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อีกทั้งลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายถอดสูตรก็นำไปปรับให้เข้ากับร้านของตัวเอง จึงยิ่งส่งผลให้ Tokusei Morisoba แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางและกลายเป็น Tsukemen (つけ麺) หรือ dipping noodle ที่เป็นเอกลักษณ์และโด่งดังในทุกวันนี้
ร้าน Higashi-Ikebukuro Taishoken ในปัจจุบันเปิดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 หนึ่งปีให้หลังจากที่ร้านดั้งเดิมปิดตัวลงไป ด้วยอายุที่มากขึ้นตามกาลเวลา คุณ Yamagishi ก็ผันตัวจากงานหลักในการทำราเมนมาเป็นคนดูภาพรวมของร้านและคอยมอบรอยยิ้มให้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาแทน ภาพชายชราที่มานั่งหน้าร้านแทบจะทุกวันคอยทักทายคนเดินเท้าอย่างยิ้มแย้มที่คนย่าน Higashi-Ikebukuro คุ้นเคยนั้นสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2015 คุณ Yamagishi จากไปด้วยวัย 80 ปี โดยสิ่งที่แน่ชัดคือเค้าได้ส่งมอบไม้ผลัดหรือจิตวิญญาณแห่งการทำราเมนอังแรงกล้าให้แก่นักทำราเมนรุ่นต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงเวลาโซ้ยแหลก
ผมไปถึงร้านช่วงเย็นๆ คนไม่เยอะมาก เริ่มต้นเปิดม่านเข้าร้านไปกันเลย

เข้าไปข้างในก็จะเจอกับตู้กดเมนูอยู่ทางซ้ายมือ
[2]

บางปุ่มจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้านล่างนะครับ ส่วนใครไม่อยากเสี่ยงโชคกดสุ่ม ๆ ทางร้านมีเมนูภาษาอังกฤษให้ดูเทียบได้ ที่แนะนำเลยก็คือ Morisoba (もりそば ) แถวบนสุดเลย จะเอาแบบเล็ก (小 shou) หรือแบบธรรมดาที่อยู่ถัดไปทางขวาก็ได้ จริง ๆ แค่แบบเล็กก็อิ่มใช้ได้แล้วครับ แต่ถ้าคิดว่ายังไม่พอยาไส้ก็ไปเพิ่มเส้นเอาที่แถวที่สี่เพื่อความจุใจได้เลย จะเอาเป็นขนาดกลาง (中 chuu) หรือใหญ่ (大 dai) ก็ได้ตามใจชอบแต่อย่ามาหาว่าผมไม่เตือนนะครับ ถ้าอยากเพิ่มไข่ต้มก็จัดแถวที่ห้าอันรองขวาสุด (ゆで玉子 yudetamago) ของผมที่สั่งไปน่าจะเป็นแบบเล็ก แล้วก็จัดเกี๊ยวซ่ามาชุดนึงครับ (餃子 Gyoza) หลังจากกดตู้เสร็จเราก็จะได้ตั๋วมา จากนั้นก็เอาตั๋วทั้งหมดมายื่นที่เคาน์เตอร์แล้วก็นั่งรอได้เลยครับ

หลังจากจิบชาข้าวบาเลย์ไปพลางๆ Tsukemen ที่รอคอยก็ได้เวลาออกมาให้ยลโฉมกัน มีหน่อไม้มาให้เป็นเครื่องเคียง


ไม่รอช้าครับ ชิมเส้นเปล่าก่อนเลย ตามด้วยซุป จากนั้นก็ไม่รอช้าคีบเส้นจุ่มในน้ำซุปแล้วสูดเข้าปากอย่างเมามัน มีหยุดพักสลับไปหาเกี๊ยวซ่าบ้าง จิบชาน้ำบ้างจนหมดอิ่มแปล้ โดยรวมแล้วเส้นเหนียวนุ่ม คีบง่าย เคี้ยวง่าย ตัวซุปออกเค็มไปซักนิด แต่จะกลมกล่อมเมื่อทานพร้อมกันกับเส้น ไข่ต้มเป็นแบบสุกทั่วถึงไม่มีอะไรพิเศษ ต้นหอมกับหน่อไม้ช่วยเพิ่มสีสันโดยรวมแต่ไม่ฉูดฉาดเกินไปกำลังดี เป็น tsukemen ที่ดูเรียบง่ายแต่รสชาติลุ่มลึกครับ เสริมนิดนึง เกี๊ยวซ่าอัดแน่นด้วยหมูสับและผักชุ่มฉ่ำอร่อยกำลังดีครับ แต่ชิ้นใหญ่พอตัวเลยเมื่อลองเทียบดูกับมือถือที่วางข้าง ๆ ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็สั่งมาแบ่งกันก็ได้ครับ จะได้ไม่หนักท้องมาก

เอาหล่ะครับ หวังว่าทุก ๆ ท่านคงจะเพลิดเพลินไปกับ Tsukemen ชามนี้ไม่มากก็นอยนะครับ สำหรับผมแล้วร้าน Higashi-Ikebukuro Taishoken นั้นเปรียบเสมือนร้านในตำนานร้านนึงเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีร้านอื่น ๆ ที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย หรือมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากกว่านี้ แต่เรื่องราวความเป็นมาและรสชาติที่สืบทอดกันมายาวนานของ Taishoken นั้นมีความน่าดึงดูดและน่าสนใจไม่แพ้กันเลย นอกจากร้านนี้แล้วยังมีร้านที่ใช้นามสกุล Taishoken อยู่มากมาย ดังนั้นถ้ามีโอกาสผมก็อยากแนะนำให้ลองไปชิมกันดูครับ แต่ถ้าหากอยากสัมผัสถึงความรู้สึกของต้นฉบับหรือสาขาหลัก (本店 honten) แล้วละก็จะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ Higashi-Ikebukuro ครับ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าครับ ขอบคุณครับ
พิกัดร้าน
Address: Japan, 〒171-0022 Tokyo, 豊島区 Minamiikebukuro, 2−42−8
Open 11:00-22:00 ปิดวันพุทธ
เสริม
รูปคุณ Yamagishi
[3]

สมัยหนุ่ม ๆ
[4]

รูปจากร้านแรกในช่วงก่อนที่จะปิดตัวลง คนยืนต่อคิวกันกันอย่างล้นหลาม
[5]

รูปถ่ายกับเหล่าลูกศิษย์ที่หน้าร้านปัจจุบัน
[6]

อีกรูปถ่ายกับลูกศิษย์ ส่วนคนที่นั่งข้าง ๆ ก็คือ Tashiro Kouji ศิษย์เอก
[7]

มีภาพยนตร์สารคดีที่ทำเกี่ยวกับคุณ Yamagishi ด้วยใครสนใจก็หามาดูได้นะครับแต่รู้สึกว่าจะไม่มีซับเลยเป็นญี่ปุ่นล้วน
[8]

รูปถ่ายคุณ Yamagishi ที่นั่งคอยทักทายผู้คนอยู่หน้าร้าน
[9]

และขอปิดท้ายด้วยรูปถ่ายคุณ Yamagishi ที่นั่งคอยทักทายผู้คนอยู่หน้าร้านอย่างยิ้มแย้มครับ
[10]

References:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[1] http://www.ramenate.com/2009/03/takadanobaba-taishoken.html
http://ihumblyreceive.blogspot.com/2016/08/taishoken-before-tsukemen-there-was.html
http://www.japanbullet.com/news/ramen-legend-kazuo-yamagishi-passes-away-at-80
http://news.asiaone.com/news/soshiok/how-art-tsukemen-became-known
http://www3.nhk.or.jp/nhkworld/english/news/onbusiness/2015040201.html
http://tokyofood.blog128.fc2.com/blog-entry-33.html
[2] http://www.ramenadventures.com/2015/05/taishoken-in-higashi-ikebukuro.html
[3] https://matome.naver.jp/odai/2144395174367114501/2144395443869126903
[4] http://www.ramenate.com/2009/03/takadanobaba-taishoken.html
[5] http://ramen151e.blog71.fc2.com/blog-entry-732.html
[6] http://www.cdjournal.com/main/news/-/68970
[7] https://twitter.com/sakuraoka1/status/338615015861014528
[8] http://www.flicks.co.nz/movie/the-god-of-ramen/poster/
https://www.youtube.com/watch?v=mtwunTGnnR4
[9] http://blogs.yahoo.co.jp/hisashi0426jp/62437902.html
[10] http://gabugabukun.cocolog-nifty.com/blog/2008/02/post_abd4.html
[In one bowl]-Ramen Talk I: Higashi-Ikebukuro Taishoken (東池袋大勝軒)
ที่ว่า In one bowl นั้น หมายความหมายว่า ภายในชามชามเดียว ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ การแข่งขันของร้านราเมนในญี่ปุ่นนั้นมีสูงมาก มีร้านที่เกิดขึ้นใหม่และต้องปิดตัวลงไปมากมาย โดยเพื่อความอยู่รอดและเพื่อความเป็นที่สุด เจ้าของร้านต้องมีความเอาใจใส่ในการรีดเฟ้นทักษะ สรรหาวัตถุดิบ และคิดค้นสูตร เพื่อที่จะนำทั้งหมดมารวมกันอยู่ในราเมนหนึ่งชาม และชามหนึ่งชามนี้เองจะเป็นตัวกลางของการสื่อสารที่ดีที่สุดระหว่างทางร้านและผู้ทาน ดังนั้นการทานราเมนเพียงแค่ชามเดียวก็เพียงพอที่จะบอกเป็นนัยได้ว่าภาพรวมของร้านนั้นเป็นอย่างไร แล้วเราอยากจะกลับไปที่ร้านนั้นอีกหรือไม่
เอาหล่ะครับ หลังจากพูดพร่ำทำเพลงอยู่เสียนาน เรามาเริ่มตอนแรกกันเลยดีกว่าครับ
Higashi-Ikebukuro Taishoken 東池袋大勝軒
เกี่ยวกับร้าน [1]
หากจะพูดถึงร้าน Higashi-Ikebukuro Taishoken นั้น ผมคงต้องแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับบุคคลท่านนึงเสียก่อน เค้าคือตำนานที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการราเมนญี่ปุ่นนานกว่า 50 กว่าปี ชายที่ชื่อว่า Yamagishi Kazuo หรือที่รู้จักกันในนาม The god of ramen คุณ Yamagishi ได้ปูรากฐานของวงการราเมนในญี่ปุ่นภายในร้านเล็ก ๆ ของเค้า มีคนมากมายหลายรุ่นกว่าร้อยคนหมุนเวียนมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ จนสามารถออกไปเปิดร้านของตัวเองและประสบความสำเร็จได้ในที่สุด โดยหนึ่งในนั้นคือศิษย์เอกอย่าง Tashiro Kouji ผู้ก่อตั้ง Menya Kouji Group และมีร้านมาเปิดอยู่ที่บ้านเราอีกด้วย หากใครที่ไปตามร้านราเมนต่าง ๆ แล้วเห็นรูปของคุณ Yamagishi หรือไม่ก็เป็นรูปหมู่ที่ถ่ายร่วมกันติดอยู่ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะนั่นก็คือร้านของลูกศิษย์ลูกหาของเค้านั่นเอง
ร้านดั้งเดิมของคุณ Yamagishi ที่ Ikebukuro เปิดตัวขึ้นในปี ค.ศ.1961 และต้องปิดตัวลงไปในปี 2007 เนื่องจากติดโครงการการพัฒนาที่ดินในแถบนั้น ตลอดระยะเวลาทำการ มีผู้คนมาต่อคิวทานราเมนที่ร้านของเค้าอย่างไม่ขาดสาย ด้วยความบังเอิญในช่วงวัยหนุ่มเค้าได้คิดค้นเมนูนึงขึ้นมาชื่อว่า Tokusei Morisoba (特製もりそば ) หรือโซบะเย็นแบบพิเศษนั่นเอง ความแปลกของเมนูนี้คือ ตัวราเมนนั้นไม่ได้รวมเส้นกับน้ำซุปเข้าด้วยกัน หากแต่แยกเสิร์ฟเป็นเส้นราเมนหนาแบบเย็นคู่กับน้ำซุปราเมนแบบอุ่นแทน โดยวิธีการทานนั้นต้องเอาเส้นไปจุ่มในน้ำซุปแล้วทาน ด้วยความที่เส้นเป็นแบบหน้าตอนเคี้ยวจะได้ความรู้สึกหนุบหนับเข้ากับรสชาติน้ำซุปใสแต่เข้มข้นอย่างลงตัว ผนวกกับราคาที่ย่อมเยาและปริมาณที่จุใจ จึงทำให้เมนูนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อีกทั้งลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายถอดสูตรก็นำไปปรับให้เข้ากับร้านของตัวเอง จึงยิ่งส่งผลให้ Tokusei Morisoba แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางและกลายเป็น Tsukemen (つけ麺) หรือ dipping noodle ที่เป็นเอกลักษณ์และโด่งดังในทุกวันนี้
ร้าน Higashi-Ikebukuro Taishoken ในปัจจุบันเปิดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 หนึ่งปีให้หลังจากที่ร้านดั้งเดิมปิดตัวลงไป ด้วยอายุที่มากขึ้นตามกาลเวลา คุณ Yamagishi ก็ผันตัวจากงานหลักในการทำราเมนมาเป็นคนดูภาพรวมของร้านและคอยมอบรอยยิ้มให้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาแทน ภาพชายชราที่มานั่งหน้าร้านแทบจะทุกวันคอยทักทายคนเดินเท้าอย่างยิ้มแย้มที่คนย่าน Higashi-Ikebukuro คุ้นเคยนั้นสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2015 คุณ Yamagishi จากไปด้วยวัย 80 ปี โดยสิ่งที่แน่ชัดคือเค้าได้ส่งมอบไม้ผลัดหรือจิตวิญญาณแห่งการทำราเมนอังแรงกล้าให้แก่นักทำราเมนรุ่นต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงเวลาโซ้ยแหลก
ผมไปถึงร้านช่วงเย็นๆ คนไม่เยอะมาก เริ่มต้นเปิดม่านเข้าร้านไปกันเลย
เข้าไปข้างในก็จะเจอกับตู้กดเมนูอยู่ทางซ้ายมือ [2]
บางปุ่มจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้านล่างนะครับ ส่วนใครไม่อยากเสี่ยงโชคกดสุ่ม ๆ ทางร้านมีเมนูภาษาอังกฤษให้ดูเทียบได้ ที่แนะนำเลยก็คือ Morisoba (もりそば ) แถวบนสุดเลย จะเอาแบบเล็ก (小 shou) หรือแบบธรรมดาที่อยู่ถัดไปทางขวาก็ได้ จริง ๆ แค่แบบเล็กก็อิ่มใช้ได้แล้วครับ แต่ถ้าคิดว่ายังไม่พอยาไส้ก็ไปเพิ่มเส้นเอาที่แถวที่สี่เพื่อความจุใจได้เลย จะเอาเป็นขนาดกลาง (中 chuu) หรือใหญ่ (大 dai) ก็ได้ตามใจชอบแต่อย่ามาหาว่าผมไม่เตือนนะครับ ถ้าอยากเพิ่มไข่ต้มก็จัดแถวที่ห้าอันรองขวาสุด (ゆで玉子 yudetamago) ของผมที่สั่งไปน่าจะเป็นแบบเล็ก แล้วก็จัดเกี๊ยวซ่ามาชุดนึงครับ (餃子 Gyoza) หลังจากกดตู้เสร็จเราก็จะได้ตั๋วมา จากนั้นก็เอาตั๋วทั้งหมดมายื่นที่เคาน์เตอร์แล้วก็นั่งรอได้เลยครับ
หลังจากจิบชาข้าวบาเลย์ไปพลางๆ Tsukemen ที่รอคอยก็ได้เวลาออกมาให้ยลโฉมกัน มีหน่อไม้มาให้เป็นเครื่องเคียง
ไม่รอช้าครับ ชิมเส้นเปล่าก่อนเลย ตามด้วยซุป จากนั้นก็ไม่รอช้าคีบเส้นจุ่มในน้ำซุปแล้วสูดเข้าปากอย่างเมามัน มีหยุดพักสลับไปหาเกี๊ยวซ่าบ้าง จิบชาน้ำบ้างจนหมดอิ่มแปล้ โดยรวมแล้วเส้นเหนียวนุ่ม คีบง่าย เคี้ยวง่าย ตัวซุปออกเค็มไปซักนิด แต่จะกลมกล่อมเมื่อทานพร้อมกันกับเส้น ไข่ต้มเป็นแบบสุกทั่วถึงไม่มีอะไรพิเศษ ต้นหอมกับหน่อไม้ช่วยเพิ่มสีสันโดยรวมแต่ไม่ฉูดฉาดเกินไปกำลังดี เป็น tsukemen ที่ดูเรียบง่ายแต่รสชาติลุ่มลึกครับ เสริมนิดนึง เกี๊ยวซ่าอัดแน่นด้วยหมูสับและผักชุ่มฉ่ำอร่อยกำลังดีครับ แต่ชิ้นใหญ่พอตัวเลยเมื่อลองเทียบดูกับมือถือที่วางข้าง ๆ ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็สั่งมาแบ่งกันก็ได้ครับ จะได้ไม่หนักท้องมาก
เอาหล่ะครับ หวังว่าทุก ๆ ท่านคงจะเพลิดเพลินไปกับ Tsukemen ชามนี้ไม่มากก็นอยนะครับ สำหรับผมแล้วร้าน Higashi-Ikebukuro Taishoken นั้นเปรียบเสมือนร้านในตำนานร้านนึงเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีร้านอื่น ๆ ที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย หรือมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากกว่านี้ แต่เรื่องราวความเป็นมาและรสชาติที่สืบทอดกันมายาวนานของ Taishoken นั้นมีความน่าดึงดูดและน่าสนใจไม่แพ้กันเลย นอกจากร้านนี้แล้วยังมีร้านที่ใช้นามสกุล Taishoken อยู่มากมาย ดังนั้นถ้ามีโอกาสผมก็อยากแนะนำให้ลองไปชิมกันดูครับ แต่ถ้าหากอยากสัมผัสถึงความรู้สึกของต้นฉบับหรือสาขาหลัก (本店 honten) แล้วละก็จะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ Higashi-Ikebukuro ครับ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าครับ ขอบคุณครับ
พิกัดร้าน
Address: Japan, 〒171-0022 Tokyo, 豊島区 Minamiikebukuro, 2−42−8
Open 11:00-22:00 ปิดวันพุทธ
เสริม
รูปคุณ Yamagishi [3]
สมัยหนุ่ม ๆ [4]
รูปจากร้านแรกในช่วงก่อนที่จะปิดตัวลง คนยืนต่อคิวกันกันอย่างล้นหลาม [5]
รูปถ่ายกับเหล่าลูกศิษย์ที่หน้าร้านปัจจุบัน [6]
อีกรูปถ่ายกับลูกศิษย์ ส่วนคนที่นั่งข้าง ๆ ก็คือ Tashiro Kouji ศิษย์เอก [7]
มีภาพยนตร์สารคดีที่ทำเกี่ยวกับคุณ Yamagishi ด้วยใครสนใจก็หามาดูได้นะครับแต่รู้สึกว่าจะไม่มีซับเลยเป็นญี่ปุ่นล้วน [8]
รูปถ่ายคุณ Yamagishi ที่นั่งคอยทักทายผู้คนอยู่หน้าร้าน [9]
และขอปิดท้ายด้วยรูปถ่ายคุณ Yamagishi ที่นั่งคอยทักทายผู้คนอยู่หน้าร้านอย่างยิ้มแย้มครับ [10]
References:[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้