คำว่าโลกสวยนี้ ปัจจุบันเป็นคำที่ความหมายหลากหลาย ไม่ว่าจะใช้กล่าวถึงคนมองโลกในแง่ดี คนที่กล่าวถึงสิ่งที่ควรเป็น คนมีคุณธรรม หรือเป็นคำที่คนโลกมืดแขวะคนที่มีความคิดที่ดี ฯลฯ หลายๆครั้ง ก็จะกลืนไปกันคนคิดบวก
แต่สำหรับผมนั้น คำว่าโลกสวย นับว่าแตกต่างจากคนคิดบวกพอสมควร โดยจากนิยามของผมนั้น
คนโลกสวย
1. ศีลธรรมในใจ มีแค่ขาวกับดำ เส้นแบ่งชัดเจน เช่น ฆาตกรคือคนเลวมาก คนโดนฆ่าน่าสงสารมาก
2. ออกแนวฝักไฝ่ศีลธรรมจนออกแนวสุดโต่ง มักชอบอวดอ้างคุณธรรม ความดีงามต่างๆ และมักจะใช้มุมมองตัวเองเป็นไม้บรรทัดวัดคนอื่น
3. แนวคิด-มุมมองค่อนข้างตื้น มองโลกเพียงด้านเดียวจนหลายครั้งกลายเป็นการด่วนสรุปเกินไป
4. บางคนรู้อยู่แล้วว่ามีด้านไม่ดี แต่ก็ไม่ยอมรับว่ามี ซ้ำยังไปพยายามโน้มน้าว(แกมบังคับ)คนอื่นว่าสิ่งไม่ดีดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
5. เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าความคิดตัวเองถูกที่สุด
คนคิดบวก
1. ศีลธรรมในใจมีหลากหลายสี เส้นแบ่งไม่ชัดเจน คิดว่าทุกอย่างมีเหตุผล เช่น ฆาตกรเลวก็จริงที่ฆ่าคน แต่เขาอาจมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น ส่วนคนโดนฆ่าก็น่าสงสารอยู่นะ ที่ต้องมาตายก่อนวัยอันควร แต่เมื่อเขามีชีวิตอยู่ อาจทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะก็ได้
2. คิดถึงเรื่องศีลธรรมแบบพอดี มีการกลั่นกรองตามยุค-สมัย ว่าใช้ได้หรือไม่ และมีการวิเคราะห์ ว่าใช้ได้กับทุกคนรึเปล่า
3. แนวคิด-มุมมองกว้าง มองโลกหลายด้าน หลายแง่มุม
4. รู้ว่าทุกอย่างมีด้านดีและด้านไม่ดี โดยจะคิดด้านดีเป็นหลัก แต่ก็คิดทางแก้ไขด้านไม่ดีไปด้วย
5. เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นทุกคน แต่อาจมีการแย้งในส่วนที่ยังไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
กรณีเปรียบเทียบ
เมื่อมีคนเหยียดเพศที่สาม
คนโลกสวยจะออกแนวปกป้องคนกลุ่มเพศที่สามแบบสุดตัว รวมทั้งยกคุณงามความดีคนเพศที่สาม(ที่ดี)มากล่าวอ้าง และออกแนวแสดงความคิดด้านเดียว เช่น ทอมจริงใจกว่าผู้ชาย ตุ๊ดไม่เคยข่มขืนใคร เกย์ฉลาดกว่าชายแท้ ฯลฯ
ส่วนคนคิดบวก จะตักเตือนทั้งสองฝ่าย โดยจะบอกฝ่ายเหยียดเพศประมาณว่า อย่าไปเหมารวมพวกเขาเลย ตุ๊ด-ทอมดีๆก็มี อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ แต่พวกที่แย่ๆก็ต้องหลีกเลี่ยง จะเพศไหนก็มีคนดี-คนไม่ดีเหมือนกัน และจะบอกทางฝ่ายเพศที่สาม ประมาณว่า อย่าไปหนักใจกับสิ่งที่เขาเหยียดเลย แต่บางที ก็ต้องลองฟังเขาด้วยนะ เพราะเขาอาจเจอคนแบบพวกเธอที่ทำตัวไม่ดีก็ได้ ก็อย่าพึ่งตีโพยตีพาย คุยด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ เพราะถ้ายิ่งออกตัว จะยิ่งทำให้ภาพรวมของพวกเธอยิ่งเสื่อมเสีย แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ยังยืนกรานจะเหยียดพวกเธอ ก็ให้เขาเรียนรู้ชีวิตต่อไป สักวันเขาคงรู้เอง
นิยามของคำว่า "โลกสวย" ของแต่ละคนหมายถึงแบบไหนกันบ้างครับ
แต่สำหรับผมนั้น คำว่าโลกสวย นับว่าแตกต่างจากคนคิดบวกพอสมควร โดยจากนิยามของผมนั้น
คนโลกสวย
1. ศีลธรรมในใจ มีแค่ขาวกับดำ เส้นแบ่งชัดเจน เช่น ฆาตกรคือคนเลวมาก คนโดนฆ่าน่าสงสารมาก
2. ออกแนวฝักไฝ่ศีลธรรมจนออกแนวสุดโต่ง มักชอบอวดอ้างคุณธรรม ความดีงามต่างๆ และมักจะใช้มุมมองตัวเองเป็นไม้บรรทัดวัดคนอื่น
3. แนวคิด-มุมมองค่อนข้างตื้น มองโลกเพียงด้านเดียวจนหลายครั้งกลายเป็นการด่วนสรุปเกินไป
4. บางคนรู้อยู่แล้วว่ามีด้านไม่ดี แต่ก็ไม่ยอมรับว่ามี ซ้ำยังไปพยายามโน้มน้าว(แกมบังคับ)คนอื่นว่าสิ่งไม่ดีดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
5. เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าความคิดตัวเองถูกที่สุด
คนคิดบวก
1. ศีลธรรมในใจมีหลากหลายสี เส้นแบ่งไม่ชัดเจน คิดว่าทุกอย่างมีเหตุผล เช่น ฆาตกรเลวก็จริงที่ฆ่าคน แต่เขาอาจมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น ส่วนคนโดนฆ่าก็น่าสงสารอยู่นะ ที่ต้องมาตายก่อนวัยอันควร แต่เมื่อเขามีชีวิตอยู่ อาจทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะก็ได้
2. คิดถึงเรื่องศีลธรรมแบบพอดี มีการกลั่นกรองตามยุค-สมัย ว่าใช้ได้หรือไม่ และมีการวิเคราะห์ ว่าใช้ได้กับทุกคนรึเปล่า
3. แนวคิด-มุมมองกว้าง มองโลกหลายด้าน หลายแง่มุม
4. รู้ว่าทุกอย่างมีด้านดีและด้านไม่ดี โดยจะคิดด้านดีเป็นหลัก แต่ก็คิดทางแก้ไขด้านไม่ดีไปด้วย
5. เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นทุกคน แต่อาจมีการแย้งในส่วนที่ยังไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
กรณีเปรียบเทียบ
เมื่อมีคนเหยียดเพศที่สาม
คนโลกสวยจะออกแนวปกป้องคนกลุ่มเพศที่สามแบบสุดตัว รวมทั้งยกคุณงามความดีคนเพศที่สาม(ที่ดี)มากล่าวอ้าง และออกแนวแสดงความคิดด้านเดียว เช่น ทอมจริงใจกว่าผู้ชาย ตุ๊ดไม่เคยข่มขืนใคร เกย์ฉลาดกว่าชายแท้ ฯลฯ
ส่วนคนคิดบวก จะตักเตือนทั้งสองฝ่าย โดยจะบอกฝ่ายเหยียดเพศประมาณว่า อย่าไปเหมารวมพวกเขาเลย ตุ๊ด-ทอมดีๆก็มี อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ แต่พวกที่แย่ๆก็ต้องหลีกเลี่ยง จะเพศไหนก็มีคนดี-คนไม่ดีเหมือนกัน และจะบอกทางฝ่ายเพศที่สาม ประมาณว่า อย่าไปหนักใจกับสิ่งที่เขาเหยียดเลย แต่บางที ก็ต้องลองฟังเขาด้วยนะ เพราะเขาอาจเจอคนแบบพวกเธอที่ทำตัวไม่ดีก็ได้ ก็อย่าพึ่งตีโพยตีพาย คุยด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ เพราะถ้ายิ่งออกตัว จะยิ่งทำให้ภาพรวมของพวกเธอยิ่งเสื่อมเสีย แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ยังยืนกรานจะเหยียดพวกเธอ ก็ให้เขาเรียนรู้ชีวิตต่อไป สักวันเขาคงรู้เอง