สุรพศ ทวีศักดิ์
นักวิชาการด้านปรัชญา-ศาสนา
อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตศูนย์การศึกษาหัวหิน
ที่มา เฟซบุ๊ก สุรพศ ทวีศักดิ์
"โทษประหารชีวิต" แนวคิดทางปรัชญาที่มองว่า "มนุษย์คือหุ่นยนต์ที่มีชีวิต" ปฏิเสธโทษประหารชีวิต แต่แนวคิดทางปรัชญาที่ยืนยันว่า "มนุษย์มีหัวใจ" กลับมีแนวโน้มจะเห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต
แนวคิดทางปรัชญาที่รู้จักกันในชื่อ "เหตุวิสัย (determinism)" มองว่ามนุษย์ไม่เป็นอิสระ หรือไม่มีเจตจำนงอิสระ (free will) แต่มนุษย์เป็น "หุ่นยนต์ที่มีชีวิต" การกระทำต่างๆ ของมนุษย์เป็นไปตามที่ถูกโปรแกรมโดยยีนและสิ่งแวดล้อม ไม่มีอะไรในธรรมชาติที่เป็นไปอย่างบังเอิญ การกระทำทุกอย่างของมนุษย์ล้วนแต่มีสาเหตุทั้งสิ้น
ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ จึงสรุปว่า การเป็นอาชญากรก็มีสาเหตุ เช่นอาจเป็นไปได้ที่คนคนนั้นได้รับถ่ายทอดยีนที่ไม่ดีมาแต่กำเนิด หรืออาจเป็นผลของสิ่งแวดล้อม เช่นการเลี้ยงดูในครอบครัว ประสบการณ์ฝังใจเนื่องจากการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ฯลฯ ดังนั้น "อาชญากรคือคนป่วย" การลงโทษไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการป้องปรามและการบำบัด
แต่แนวคิด "อิสรวิสัย (indeterminism)" เห็นว่ามนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่มนุษย์มีเจตจำนงอิสระในการเลือกกระทำสิ่งต่างๆ เมื่อการกระทำทุกอย่างเกิดจากการเลือก ผู้กระทำจึงต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเสมอ เช่น การฆ่าคน คนที่ฆ่าผู้อื่น แปลว่าเขามีเจตจำนงเลือกการฆ่าว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำแก่กันได้ ฉะนั้น การประหารชีวิตคนที่มีเจตจำนงเลือกฆ่าผู้อื่น จึงเท่ากับเป็นการกระทำตามเจตจำนงของเขานั่นเอง
ข้อสังเกตคือ determinism ไม่เชื่อในศีลธรรมที่เป็นนามธรรม ศีลธรรมเป็นสิ่งสมมติ เป็นข้อตกลงทางสังคม หรือกฎหมาย หากต้องการผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องออกกฎหรือวางระบบที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ พวกนี้เชื่อในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มองธรรมชาติของมนุษย์ว่าไม่มีเสรีภาพ (เสรีภาพเป็นเรื่องกำหนดโดยกฎหมายเท่านั้น) มนุษย์คือหุ่นยนต์ที่มีชีวิต แต่แนวคิดนี้กลับมีข้อเสนอเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตอย่างสอดคล้องกับความเมตตากรุณามากกว่า
ขณะที่ indeterminism มองว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอิสระ มีหัวใจ มีเสรีภาพโดยพื้นฐาน เชื่อว่าศีลธรรมมีอยู่จริง ไม่ใช่สิ่งสมมติ แต่ข้อเสนอเรื่องโทษประหารชีวิตกลับไม่ได้สอดคล้องกับความเมตตากรุณา
แน่นอน ศาสนิกของศาสนาที่เห็นว่า "ทำกรรมเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น" มักจะคิดแบบเดียวกับ indeterminism
โทษประหารชีวิตและความยุติธรรม
ความคิดแบบ Determinism ที่มองว่า "อาชญากรคือคนป่วย" การลงโทษไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการป้องปรามและเพื่อบำบัดรักษา แม้จะสอดคล้องกับความเมตตากรุณา แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมาคือ แนวคิดนี้ไม่ได้พูดถึง "ความยุติธรรม" ต่อ "ผู้ถูกกระทำ" แต่กลับให้น้ำหนักเฉพาะสาเหตุที่ทำให้คนกระทำความผิด หรือเป็นอาชญากรมากกว่า
โปรดนึกถึงคำพิพากษาอาจารย์มหาลัยคนหนึ่งใช้ไม้ตีกอล์ฟตีภรรยาตาย ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี(ถ้าจำไม่ผิด) แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยทำผิดมาก่อนจึงให้รอลงอาญาและให้บำเพ็ญประโยชน์ด้วยการสอนหนังสือนักโทษในคุก 250 ชั่วโมง เหตุผลของคำตัดสินเช่นนี้เพราะจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เป็นเรื่องของการ "บันดาลโทสะ"
มองจากทรรศนะของ Determinism การฆ่านี้มีสาเหตุคือ การบันดาลโทสะ แปลว่าการบันดาลโทสะกำหนดหรือบังคับให้จำเลยกระทำการฆ่า จำเลยไม่มี free will ที่จะฆ่า จึงไม่ควรต้องโทษประหาร จะเห็นว่าการวิเคราะห์นี้ไม่ได้พูดถึง "ผู้ถูกกระทำ" ว่าเขาไม่ควรต้องมาตายเพราะการบันดาลโทสะนั้นเลย และเขาควรจะได้รับความยุติธรรมอย่างไรกับการถูกฆ่าตาย
ในกรณีแบบนี้ เราอาจพูดถึงความยุติธรรมได้ 2 แบบ คือ 1) ดูผลลัพธ์ นาย ก.ฆ่านาย ข. ผลลัพธ์คือนาย ข.ตาย ดังนั้นความยุติธรรมก็คือประหารชีวิตนาย ก.ให้ตายตกไปตามกัน และ 2) ดูเจตนา นาย ก.ฆ่านาย ข.ตาย แปลว่านาย ก.มีเจตจำนงเลือกการฆ่าว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำแก่กันได้ ดังนั้น การประหารชีวิตจึงเป็นการกระทำตามการเลือกของนาย ก.นั่นเอง ดูเหมือน Indeterminism จะคิดแบบนี้
แต่เหตุผลของ Determinism ที่ปฏิเสธโทษประหารชีวิต เป็นเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรมโดยตรง เช่น เรื่องการพิจารณ์สาเหตุที่ซับซ้อนของอาชญากรรม (ซึ่งมีทั้งเรื่องยีนและสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายทางสังคม) ที่ผลักดันให้อาชญากรต้องทำ ถ้าจะแก้ปัญหาอาชญากรรม ต้องไปแก้ที่สาเหตุ โทษประหารชีวิตไม่ใช่ "วิธีที่มีประสิทธิภาพ" ในการป้องกันปัญหาอาชญากรรม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ประจำคณะมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา เพจเฟซบุ๊ก ชาติพันธุ์นิพนธ์
สังคมอาชญากรรม
การเสียชีวิตของเด็กหญิงบนรถไฟทำให้สังคมไทยสะเทือนใจกันไปทั่ว แต่ที่น่าสะเทือนใจไม่น้อยไปกว่าความสูญเสียดังกล่าวคือ การแสดงออกของสังคม ซึ่งชี้ให้เห็นความเป็นสังคมอาชญากรรมในหลาย ๆ ประการ
ประการแรก สังคมนี้มีระบบศีลธรรมแบบเลือกปฏิบัติ การให้ความสนใจกว้างขวางต่อกรณีนี้แสดงความเป็นศีลธรรมสองมาตรฐาน หรือที่จริงคือเป็นศีลธรรมไร้มาตรฐานของคนไทยจำนวนมาก เพราะคนไทยส่วนมากไม่ได้ฟูมฟายกับการข่มขืนไปทุกกรณี อย่างการรุมข่มขืนผู้หญิงที่เกิดขึ้นในอินเดียเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วเป็นข่าวไปทั่วโลก ก็ไม่เห็นเป็นกระแสสังคมมากเท่ากรณีนี้ที่เกิดขึ้นในไทยเอง นี่ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องไกลตัว แต่เพราะสังคมไทยเปราะบางกับอาชญากรรมบางลักษณะ แต่กลับเฉยชากับอาชญากรรมหลายๆ ลักษณะ
อาการศีลธรรมเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดกับเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น แต่ยังเกิดกับเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ผู้บริหารประเทศบางคนจะถูกตรวจสอบเข้มงวดมากกว่าผู้บริหารประเทศอีกบางคน การคอร์รัปชั่นโดยคนบางกลุ่มจะกลายเป็น "ทำผิดโดยบริสุทธิ์ใจ" ได้ เพราะความดีงามของสังคมนี้ไม่ได้วางอยู่บนมาตรฐานสากลเดียวกัน
ประการที่สอง สังคมนี้เหยียดเพศหญิง ที่อันตรายไม่น้อยไปกว่ากันคือ พร้อมๆ กับการรุมโทรมฆาตกร หลายคนยังหันลับมารุมโทรมผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปอีก บางคนว่าทำไมเด็กหญิงไม่ร้อง บางคนว่าเด็กหญิงแต่งตัวล่อแหลมไปหรือเปล่า บางคนว่าทำไมพ่อแม่ไม่ดูแล แทนที่จะหาสาเหตุของการทำร้ายหรือว่ากล่าวประณามคนร้าย คนเหล่านี้กลับค่อนขอดผู้ถูกทำร้าย กลายเป็นว่า ผู้หญิงที่ไม่ระวังตัวคือตัวปัญหาของสังคม
ไม่ว่าใครจะแต่งตัวอย่างไร คนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะไปละเมิดร่างกายเขา ถ้าใครเดินมาชกหน้าคุณแล้วบอกว่า เพราะหน้าคุณยั่วโมโหเขา คุณจะยอมรับแล้วไปศัลยกรรมหน้าตาใหม่ เพื่อไม่ให้หน้าตาคุณตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอย่างนั้นหรือ
ประการที่สาม สังคมไทยนิยมความรุนแรง การก่ออาชญากรรมรุนแรงจึงเป็นความผิดขั้นเลวร้ายเฉพาะของคนบางกลุ่มเท่านั้น การกระทำแบบเดียวกันอาจได้รับการยอมรับส่งเสริมได้หากกระทำต่อเหยื่อที่สังคมตัดสินเอาเองแล้วว่าสมควรแก่การรับเคราะห์กรรมเช่น บางคนที่ประณามการข่มขืนครั้งนี้ ก็ยังกลับทำภาพล้อเลียนอดีตนายกฯ พร้อมคำบรรยายว่า อดีตนายยกฯ สมควรถูกข่มขืนมากกว่าเด็กหญิงคนนี้ หรือกรณีข่าวล้อเลียนเหยียดเพศและให้จับผู้มีทัศนะทางการเมืองต่างขั้วกับตนบางคนไปให้นักโทษข่มขืน
สังคมนี้ข่มขืนกระทำชำเรากันทั้งทางกาย วาจา และใจมาตลอด สังคมนี้ก่ออาชญากรรมต่อกันมาตลอด แต่สังคมนี้เลือกที่จะลงโทษการข่มขืนกระทำชำเราใครบางคนเท่านั้น
ประการที่สี่ สังคมนี้แก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง ที่คิดกันว่าการเพิ่มโทษจะทำให้ผู้ที่จะกระทำผิดยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ก็เพราะสังคมนี้เป็นสังคมที่ยกย่องการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา จึงเป็นสังคมมือถือสากปากถือสันติวิธี และดังนั้น สังคมนี้จึงยินดีกับการที่เจ้าหน้าที่รัฐสังหารคนกลางถนนด้วยเพราะตัดสินไปแล้วว่าเขาคือคนเลว เป็นพวกคนเลว
สังคมที่นิยมความรุนแรงจึงยอมรับพร้อมส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงแบบเดียวกับที่ตนเลือกประณาม กับคนที่ตนรังเกียจ กับคนที่อยู่คนละข้างกับตน กับคนที่ต่ำต้อยกว่าตน ไม่ใช่เพื่อลดความรุนแรง แต่เพื่อยกตนเองและเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามตนเองเท่านั้น
ประการสุดท้าย สังคมนี้ไม่ค่อยเห็นเหตุเชิงโครงสร้าง คนในสังคมนี้จำนวนมากเห็นปัญหาเฉพาะระดับบุคคล อาชญากรรมเกิดจากบุคคลกระทำก็จริง แต่เงื่อนไขเชิงระบบ เงื่อนไขโครงสร้างต่างๆ ก็มีส่วนให้เกิดอาชญากรรมได้ คนจำนวนมากรวมทั้งผู้รับผิดชอบโดยตรงจึงกลับปัดความผิด มุ่งประณาม ให้ร้ายกับปัจเจกคนร้ายเพียงด้านเดียว ไม่มองว่าการกระทำวิปริตใด ๆ นั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะอยู่ในเงื่อนไขของความวิปริตของสังคมและระบบที่บกพร่อง
ระบบความปลอดภัยของการเดินทางสาธารณะ ระบบการควบคุมพนักงาน ระบบการออกแบบห้องโดยสาร ตลอดจนระบบการใช้ความเร็ว ความล้าหลังของการรถไฟ และการบริหารงานของหย่วยงาน เหล่านี้มีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมครั้งนี้ด้วย
เมื่อมองปัญหาเฉพาะในระดับบุคคล ก็จึงคิดว่าจะต้องจัดการควบคุมบุคคลที่ชั่วร้าย ต้องกำจัดบุคคลที่ชั่วร้าย แต่ไม่คิดรื้อระบบเพื่อสร้างโครงสร้างใหม่ที่ดีกว่าสำหรับทุกคนขึ้นมา
สังคมไทยไม่ได้ดีขึ้นมาได้ด้วยการเพิ่มโทษประหารชีวิตหรอก การร่วมกันวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องหากันถ้วนหน้าอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา หากจะแก้ปัญหาจริงก็ต้องสร้างระบบการเดินทางที่ดีและปลอดภัย พร้อมทั้งสร้างมาตรฐานศีลธรรมสากล เลิกคิดเหยียดผู้หญิง และเลิกนิยมความรุนแรง แต่สังคมไทยแบบนั้นน่ะ แม้ในนิยายยังไม่มีเลย
เมื่อนักมานุายวิทยา และนักปรัชญา แสดงความคิดเห็นต่อกรณีน้องแก้ม
นักวิชาการด้านปรัชญา-ศาสนา
อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตศูนย์การศึกษาหัวหิน
ที่มา เฟซบุ๊ก สุรพศ ทวีศักดิ์
"โทษประหารชีวิต" แนวคิดทางปรัชญาที่มองว่า "มนุษย์คือหุ่นยนต์ที่มีชีวิต" ปฏิเสธโทษประหารชีวิต แต่แนวคิดทางปรัชญาที่ยืนยันว่า "มนุษย์มีหัวใจ" กลับมีแนวโน้มจะเห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต
แนวคิดทางปรัชญาที่รู้จักกันในชื่อ "เหตุวิสัย (determinism)" มองว่ามนุษย์ไม่เป็นอิสระ หรือไม่มีเจตจำนงอิสระ (free will) แต่มนุษย์เป็น "หุ่นยนต์ที่มีชีวิต" การกระทำต่างๆ ของมนุษย์เป็นไปตามที่ถูกโปรแกรมโดยยีนและสิ่งแวดล้อม ไม่มีอะไรในธรรมชาติที่เป็นไปอย่างบังเอิญ การกระทำทุกอย่างของมนุษย์ล้วนแต่มีสาเหตุทั้งสิ้น
ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ จึงสรุปว่า การเป็นอาชญากรก็มีสาเหตุ เช่นอาจเป็นไปได้ที่คนคนนั้นได้รับถ่ายทอดยีนที่ไม่ดีมาแต่กำเนิด หรืออาจเป็นผลของสิ่งแวดล้อม เช่นการเลี้ยงดูในครอบครัว ประสบการณ์ฝังใจเนื่องจากการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ฯลฯ ดังนั้น "อาชญากรคือคนป่วย" การลงโทษไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการป้องปรามและการบำบัด
แต่แนวคิด "อิสรวิสัย (indeterminism)" เห็นว่ามนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่มนุษย์มีเจตจำนงอิสระในการเลือกกระทำสิ่งต่างๆ เมื่อการกระทำทุกอย่างเกิดจากการเลือก ผู้กระทำจึงต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเสมอ เช่น การฆ่าคน คนที่ฆ่าผู้อื่น แปลว่าเขามีเจตจำนงเลือกการฆ่าว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำแก่กันได้ ฉะนั้น การประหารชีวิตคนที่มีเจตจำนงเลือกฆ่าผู้อื่น จึงเท่ากับเป็นการกระทำตามเจตจำนงของเขานั่นเอง
ข้อสังเกตคือ determinism ไม่เชื่อในศีลธรรมที่เป็นนามธรรม ศีลธรรมเป็นสิ่งสมมติ เป็นข้อตกลงทางสังคม หรือกฎหมาย หากต้องการผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องออกกฎหรือวางระบบที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ พวกนี้เชื่อในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มองธรรมชาติของมนุษย์ว่าไม่มีเสรีภาพ (เสรีภาพเป็นเรื่องกำหนดโดยกฎหมายเท่านั้น) มนุษย์คือหุ่นยนต์ที่มีชีวิต แต่แนวคิดนี้กลับมีข้อเสนอเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตอย่างสอดคล้องกับความเมตตากรุณามากกว่า
ขณะที่ indeterminism มองว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอิสระ มีหัวใจ มีเสรีภาพโดยพื้นฐาน เชื่อว่าศีลธรรมมีอยู่จริง ไม่ใช่สิ่งสมมติ แต่ข้อเสนอเรื่องโทษประหารชีวิตกลับไม่ได้สอดคล้องกับความเมตตากรุณา
แน่นอน ศาสนิกของศาสนาที่เห็นว่า "ทำกรรมเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น" มักจะคิดแบบเดียวกับ indeterminism
โทษประหารชีวิตและความยุติธรรม
ความคิดแบบ Determinism ที่มองว่า "อาชญากรคือคนป่วย" การลงโทษไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการป้องปรามและเพื่อบำบัดรักษา แม้จะสอดคล้องกับความเมตตากรุณา แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมาคือ แนวคิดนี้ไม่ได้พูดถึง "ความยุติธรรม" ต่อ "ผู้ถูกกระทำ" แต่กลับให้น้ำหนักเฉพาะสาเหตุที่ทำให้คนกระทำความผิด หรือเป็นอาชญากรมากกว่า
โปรดนึกถึงคำพิพากษาอาจารย์มหาลัยคนหนึ่งใช้ไม้ตีกอล์ฟตีภรรยาตาย ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี(ถ้าจำไม่ผิด) แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยทำผิดมาก่อนจึงให้รอลงอาญาและให้บำเพ็ญประโยชน์ด้วยการสอนหนังสือนักโทษในคุก 250 ชั่วโมง เหตุผลของคำตัดสินเช่นนี้เพราะจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เป็นเรื่องของการ "บันดาลโทสะ"
มองจากทรรศนะของ Determinism การฆ่านี้มีสาเหตุคือ การบันดาลโทสะ แปลว่าการบันดาลโทสะกำหนดหรือบังคับให้จำเลยกระทำการฆ่า จำเลยไม่มี free will ที่จะฆ่า จึงไม่ควรต้องโทษประหาร จะเห็นว่าการวิเคราะห์นี้ไม่ได้พูดถึง "ผู้ถูกกระทำ" ว่าเขาไม่ควรต้องมาตายเพราะการบันดาลโทสะนั้นเลย และเขาควรจะได้รับความยุติธรรมอย่างไรกับการถูกฆ่าตาย
ในกรณีแบบนี้ เราอาจพูดถึงความยุติธรรมได้ 2 แบบ คือ 1) ดูผลลัพธ์ นาย ก.ฆ่านาย ข. ผลลัพธ์คือนาย ข.ตาย ดังนั้นความยุติธรรมก็คือประหารชีวิตนาย ก.ให้ตายตกไปตามกัน และ 2) ดูเจตนา นาย ก.ฆ่านาย ข.ตาย แปลว่านาย ก.มีเจตจำนงเลือกการฆ่าว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำแก่กันได้ ดังนั้น การประหารชีวิตจึงเป็นการกระทำตามการเลือกของนาย ก.นั่นเอง ดูเหมือน Indeterminism จะคิดแบบนี้
แต่เหตุผลของ Determinism ที่ปฏิเสธโทษประหารชีวิต เป็นเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรมโดยตรง เช่น เรื่องการพิจารณ์สาเหตุที่ซับซ้อนของอาชญากรรม (ซึ่งมีทั้งเรื่องยีนและสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายทางสังคม) ที่ผลักดันให้อาชญากรต้องทำ ถ้าจะแก้ปัญหาอาชญากรรม ต้องไปแก้ที่สาเหตุ โทษประหารชีวิตไม่ใช่ "วิธีที่มีประสิทธิภาพ" ในการป้องกันปัญหาอาชญากรรม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ประจำคณะมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา เพจเฟซบุ๊ก ชาติพันธุ์นิพนธ์
สังคมอาชญากรรม
การเสียชีวิตของเด็กหญิงบนรถไฟทำให้สังคมไทยสะเทือนใจกันไปทั่ว แต่ที่น่าสะเทือนใจไม่น้อยไปกว่าความสูญเสียดังกล่าวคือ การแสดงออกของสังคม ซึ่งชี้ให้เห็นความเป็นสังคมอาชญากรรมในหลาย ๆ ประการ
ประการแรก สังคมนี้มีระบบศีลธรรมแบบเลือกปฏิบัติ การให้ความสนใจกว้างขวางต่อกรณีนี้แสดงความเป็นศีลธรรมสองมาตรฐาน หรือที่จริงคือเป็นศีลธรรมไร้มาตรฐานของคนไทยจำนวนมาก เพราะคนไทยส่วนมากไม่ได้ฟูมฟายกับการข่มขืนไปทุกกรณี อย่างการรุมข่มขืนผู้หญิงที่เกิดขึ้นในอินเดียเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วเป็นข่าวไปทั่วโลก ก็ไม่เห็นเป็นกระแสสังคมมากเท่ากรณีนี้ที่เกิดขึ้นในไทยเอง นี่ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องไกลตัว แต่เพราะสังคมไทยเปราะบางกับอาชญากรรมบางลักษณะ แต่กลับเฉยชากับอาชญากรรมหลายๆ ลักษณะ
อาการศีลธรรมเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดกับเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น แต่ยังเกิดกับเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ผู้บริหารประเทศบางคนจะถูกตรวจสอบเข้มงวดมากกว่าผู้บริหารประเทศอีกบางคน การคอร์รัปชั่นโดยคนบางกลุ่มจะกลายเป็น "ทำผิดโดยบริสุทธิ์ใจ" ได้ เพราะความดีงามของสังคมนี้ไม่ได้วางอยู่บนมาตรฐานสากลเดียวกัน
ประการที่สอง สังคมนี้เหยียดเพศหญิง ที่อันตรายไม่น้อยไปกว่ากันคือ พร้อมๆ กับการรุมโทรมฆาตกร หลายคนยังหันลับมารุมโทรมผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปอีก บางคนว่าทำไมเด็กหญิงไม่ร้อง บางคนว่าเด็กหญิงแต่งตัวล่อแหลมไปหรือเปล่า บางคนว่าทำไมพ่อแม่ไม่ดูแล แทนที่จะหาสาเหตุของการทำร้ายหรือว่ากล่าวประณามคนร้าย คนเหล่านี้กลับค่อนขอดผู้ถูกทำร้าย กลายเป็นว่า ผู้หญิงที่ไม่ระวังตัวคือตัวปัญหาของสังคม
ไม่ว่าใครจะแต่งตัวอย่างไร คนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะไปละเมิดร่างกายเขา ถ้าใครเดินมาชกหน้าคุณแล้วบอกว่า เพราะหน้าคุณยั่วโมโหเขา คุณจะยอมรับแล้วไปศัลยกรรมหน้าตาใหม่ เพื่อไม่ให้หน้าตาคุณตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอย่างนั้นหรือ
ประการที่สาม สังคมไทยนิยมความรุนแรง การก่ออาชญากรรมรุนแรงจึงเป็นความผิดขั้นเลวร้ายเฉพาะของคนบางกลุ่มเท่านั้น การกระทำแบบเดียวกันอาจได้รับการยอมรับส่งเสริมได้หากกระทำต่อเหยื่อที่สังคมตัดสินเอาเองแล้วว่าสมควรแก่การรับเคราะห์กรรมเช่น บางคนที่ประณามการข่มขืนครั้งนี้ ก็ยังกลับทำภาพล้อเลียนอดีตนายกฯ พร้อมคำบรรยายว่า อดีตนายยกฯ สมควรถูกข่มขืนมากกว่าเด็กหญิงคนนี้ หรือกรณีข่าวล้อเลียนเหยียดเพศและให้จับผู้มีทัศนะทางการเมืองต่างขั้วกับตนบางคนไปให้นักโทษข่มขืน
สังคมนี้ข่มขืนกระทำชำเรากันทั้งทางกาย วาจา และใจมาตลอด สังคมนี้ก่ออาชญากรรมต่อกันมาตลอด แต่สังคมนี้เลือกที่จะลงโทษการข่มขืนกระทำชำเราใครบางคนเท่านั้น
ประการที่สี่ สังคมนี้แก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง ที่คิดกันว่าการเพิ่มโทษจะทำให้ผู้ที่จะกระทำผิดยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ก็เพราะสังคมนี้เป็นสังคมที่ยกย่องการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา จึงเป็นสังคมมือถือสากปากถือสันติวิธี และดังนั้น สังคมนี้จึงยินดีกับการที่เจ้าหน้าที่รัฐสังหารคนกลางถนนด้วยเพราะตัดสินไปแล้วว่าเขาคือคนเลว เป็นพวกคนเลว
สังคมที่นิยมความรุนแรงจึงยอมรับพร้อมส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงแบบเดียวกับที่ตนเลือกประณาม กับคนที่ตนรังเกียจ กับคนที่อยู่คนละข้างกับตน กับคนที่ต่ำต้อยกว่าตน ไม่ใช่เพื่อลดความรุนแรง แต่เพื่อยกตนเองและเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามตนเองเท่านั้น
ประการสุดท้าย สังคมนี้ไม่ค่อยเห็นเหตุเชิงโครงสร้าง คนในสังคมนี้จำนวนมากเห็นปัญหาเฉพาะระดับบุคคล อาชญากรรมเกิดจากบุคคลกระทำก็จริง แต่เงื่อนไขเชิงระบบ เงื่อนไขโครงสร้างต่างๆ ก็มีส่วนให้เกิดอาชญากรรมได้ คนจำนวนมากรวมทั้งผู้รับผิดชอบโดยตรงจึงกลับปัดความผิด มุ่งประณาม ให้ร้ายกับปัจเจกคนร้ายเพียงด้านเดียว ไม่มองว่าการกระทำวิปริตใด ๆ นั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะอยู่ในเงื่อนไขของความวิปริตของสังคมและระบบที่บกพร่อง
ระบบความปลอดภัยของการเดินทางสาธารณะ ระบบการควบคุมพนักงาน ระบบการออกแบบห้องโดยสาร ตลอดจนระบบการใช้ความเร็ว ความล้าหลังของการรถไฟ และการบริหารงานของหย่วยงาน เหล่านี้มีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมครั้งนี้ด้วย
เมื่อมองปัญหาเฉพาะในระดับบุคคล ก็จึงคิดว่าจะต้องจัดการควบคุมบุคคลที่ชั่วร้าย ต้องกำจัดบุคคลที่ชั่วร้าย แต่ไม่คิดรื้อระบบเพื่อสร้างโครงสร้างใหม่ที่ดีกว่าสำหรับทุกคนขึ้นมา
สังคมไทยไม่ได้ดีขึ้นมาได้ด้วยการเพิ่มโทษประหารชีวิตหรอก การร่วมกันวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องหากันถ้วนหน้าอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา หากจะแก้ปัญหาจริงก็ต้องสร้างระบบการเดินทางที่ดีและปลอดภัย พร้อมทั้งสร้างมาตรฐานศีลธรรมสากล เลิกคิดเหยียดผู้หญิง และเลิกนิยมความรุนแรง แต่สังคมไทยแบบนั้นน่ะ แม้ในนิยายยังไม่มีเลย