[รีวิว] Hacksaw Ridge - หมอมันบ้าไปแล้วว by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 177] Hacksaw Ridge - หมอมันบ้าไปแล้วว ; (Mel Gibson, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A- *ให้ฉากสนามรบ (จากสเกล D-A)

**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ : สร้างจากเรื่องจริง (ล้วนๆ) เกี่ยวกับชีวิตของ "เดสมันด์ ดอสส์" (Andrew Garfield) หนุ่มน้อยหน้าใสผู้อาสาเกณฑ์ทหารไปรบเพื่อชาติในสงครามโลกครั้งที่สองในฐานะแพทย์สนาม ที่มาพร้อมแนวคิดสุดแหวกแนวที่ว่า "ตัวเขาจะไม่จับปืนเด็ดขาดในสงครามนี้" ซึ่งขัดกับทุกหลักการของสงครามที่ผ่านมาในอดีต แต่ท้ายที่สุดแล้วพลทหารดอสส์ก็เป็นนายทหารคนเดียว ที่ได้รับการประดับเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุดโดยไม่ที่เขาไม่ได้ยิงปืนเลยแม้แต่นัดเดียว

ใครจะว่ายังไงไม่รู้ล่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่านี่ก็เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ถูก "อวยเกินจริง" (overrated) พอสมควร คือดูหน้าหนังแล้วรู้สึกว่าตัวอย่างสนุกกว่าหนังจริงๆเยอะเลยออกจะน่าเบื่อในหลายๆช่วงตอนด้วยซ้ำ โอเคว่าพล็อตมันซาบซึ้งกินใจดี แต่ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นปัญหาจากวิธีเล่าเรื่อง(ว่ะ)

อนึ่งคือต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนไอ้อุดมการณ์ "ไม่จับปืน ไม่ฆ่าคน" ของพระเอกเนี่ย มันเป็นเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่ได้รับอิทธิพลมาจากความเป็นคริสต์สูงมาก ดังนั้นก็ช่วยไม่ได้หากหนังมันจะออกมาในลักษณะ religious จ๋าจนคนที่ไม่อินกับเรื่องแบบนี้มันก็จะไม่อินกับความคิดของพระเอกด้วย และในใจก็ขอกราบขอบคุณลึกๆที่ผู้กำกับไม่ผลักความเป็นศาสนาเข้ามาในหนังไปมากกว่านี้

หนังแบ่งครึ่งเพื่อปูบริบทชีวิตของพระเอกในช่วงก่อนและระหว่างสงครามมาได้อย่างพอเหมาะ (ประมาณครึ่ง/ครึ่ง) แต่ก็น่าเสียดายที่ครึ่งแรก 'ไม่ค่อยนำพา' เท่าไหร่ คือเรารู้นะว่าตัวเดสมันด์เนี่ยมีสภาพครอบครัวแบบนี้ พ่อเป็นทหารผ่านศึกที่มีภาวะ PTSD ,แม่ผู้แสนดีที่เป็นคาโธลิกเข้าเส้น และพี่ชายตัวประกอบ A ... แต่เอาจริงๆแล้วหนังก็ไม่ได้ให้เราไปรู้จักกับ 'ตัวตนที่แท้จริง' ของพระเอกเท่าไหร่เลย คือทุกอย่างมันดูตื้นเขินไปหมด กระทั่งโมเม้นต์ที่พระเอกมีความรักกับพยาบาลสุดสวยอย่าง "โดโรธี" (Teresa Palmer) ก็ยังขายความโรมานซ์ตรงนี้ไม่ได้อยู่ดี

ส่วนที่สนุกของหนังก็จะอยู่ในช่วงพระเอกเข้าค่ายฝึกทหารเกณฑ์ใหม่ ซึ่งก็จะเป็นมุกตลกลูกผู้ชายแบบขำคิกคักๆได้ตามประสาหนังทหาร แล้วก็ช่วยให้เราได้รู้จักตัวละครตัวอื่นแบบคร่าวๆด้วย แล้วก็พลิกกลับมาขยี้ดราม่าด้วยคอนฟลิกต์ทางด้านศีลธรรมของพระเอกที่มันขัดหูขัดตานายทหารคนอื่นเหลือเกิน .. ในส่วนนี้คิดว่าหนังดึงยาวเกินไปหน่อย โดยเฉพาะช่วงของการขึ้นศาลทหารนี่มันโดนยืดดดดแล้วยืดอีกจนเราเริ่มรู้สึกเอียนกับความ 'ชาตินิยม' (over-patriotic)

... หาวๆนอนไปซักพักมาสะดุ้งตื่นกับฉากสนามรบแบบตาสว่าง!! คือต้องยอมรับจริงๆว่าพาร์ทนี้หนังเอาอยู่มากกับการนำเสนอความโหดร้ายในสนามรบออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ยิงเป็นยิง ตายเป็นตาย ตัวขาด ไส้ทะลัก หัวทะลุ คือหนังใช้คุณสมบัติของเรต R ได้คุ้มค่าเอามากๆ บรรยากาศมันชุลมุนไปหมด ถ้าพูดง่ายๆก็คือ 'โคตรมันส์เลย' คือเฉพาะฉากยุทธชิงผาแฮ็กซอว์นี่ก็คุ้มเหลือคุ้มแล้ว มันเป็นหนังสงครามที่ขายความเป็นสงครามได้ถึงพริกถึงขิงจริงๆ ... ส่วนที่เหลือไปดูในหนังเอาเอง มันเป็นไคลแม็กซ์
.
.

แอนดริว การ์ฟิลด์ รับบทบาทพลทหารนักบุญได้กระท่อนกระแท่นจนน่าเป็นห่วง คือต้องบรรยายว่า "เป็นตัวละครที่สามารถดึงความซาบซึ้งกินใจออกมาจากคนดูผ่านแววตาได้ แต่ไม่มีเสน่ห์" ซึ่งไม่รู้ว่านี่เป็นคนเดียวรึเปล่า แต่มีความรู้ว่าไอ้ตัวละครเดสมันด์เนี่ยมันถูกถ่ายทอดออกมาแบบแปลกๆ คือมันเป็นความหล่อแบบไม่ค่อยเต็มเต็งซักเท่าไหร่ ยิ่งฉากจีบนางเอกนี่ยิ่ง awkward เข้าไปอีก คือมันไม่ใช่การเข้าหาที่น่าประทับใจอ่ะ มันเป็นฟีลลิ่งแหยงๆยังไงไม่รู้ คนไหนดูแล้วบรรยายได้ดีกว่านี้ก็มาช่วยทีนะ

ส่วนตัวละครที่เหลือรู้สึกว่าไม่มีตัวไหนสำคัญพอที่จะให้พูดถึงแล้ว คือหนังหยิบคนนู้นคนนี้มาใช้แบบทิ้งๆขว้างๆแล้วก็ไม่ได้สานต่อให้เกิดความเชื่อมโยงใดๆ คืออย่างตัวพี่ชายที่อาสาไปรบก่อนพระเอกนั้นเป็นยังไงบ้าง? มีความเกี่ยวพันกับโครงเรื่องของพระเอกยังไง? ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ได้ถูกเอามาใช้ต่อ มันเลยกลายเป็นหนังที่หวังจะสร้างความประทับใจแบบตื้นๆ (ถึงจะทำออกมาดีพอใช้ได้ก็เถอะ) โดยเน้นหนักไปทางศาสนาแทน ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า 'ไม่ค่อยอิน' .. คือสำหรับเราแล้วตัวพระเอกมันเหยียบเส้นบางๆระหว่างคนบ้ากับคนดีอยู่ ที่บังเอิญโชคดีสามารถสร้างปาฏิหาริย์มากลายเป็นเรื่องราวสุดประทับใจได้ไง

ถ้าไม่มีอะไรจะดูจริงๆก็ลองดูก็ได้นะ ถ้าหนีมิสเตอร์เกรย์มาก็คงได้ป๊ะกับเรื่องนี้แหละ.

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่