นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ระบุ รัฐบาลเปลี่ยนระบบวิธีการบริหารเงินคงคลังใหม่ ไม่ให้มีเงินสด คงคลังสูงเกินไป เพื่อลดภาระค่าดอกเบี้ยจนทำให้ตัวเลขเงินคงคลังเดือนธันวาคม 2559 ตกมาอยู่ในระดับ 7.49 หมื่นล้านบาท จากระดับ 3.8 แสนล้านบาท เมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน ว่าเป็นการบริหารที่สุดโต่งมากเกินไป
วันนี้ (7 ก.พ. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์ ดร.
ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว PPTV โดยระบุว่า เงินคงคลังคือบัญชีเงินสดของรัฐบาล ที่จะเก็บไว้สำหรับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเทศชาติอยู่ในภาวะวิกฤต หรือฉุกเฉิน เปรียบได้กับเงินออมของประชาชนที่จะต้องมีบัญชีเงินออมก้อนนี้ไว้ เพื่อใช้ในช่วงวิกฤตของชีวิต
ซึ่งหากอนาคต เมื่อประเทศเกิดวิกฤต ประชาชนกลุ่มแรกที่จะเดือดร้อนคือกลุ่มข้าราชการ เพราะต่อไปอาจจะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยการโละข้าราชการเป็นลำดับแรก
ดังนั้นการที่รัฐบาลมองแค่การบริหารจัดการดอกเบี้ย โดยไม่เก็บเงินไว้เผื่ออนาคตจึงมองว่าเป็นการบริหารอย่างสุดโต่งมากเกินไป ควรเดินสายกลางมากกว่า โดยรัฐบาล สามารถไปแก้ในส่วนเงินที่ฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ให้แบงก์ชาติให้ดอกเบี้ยกลับคืนมา หรือกรมบัญชีกลางต้องแก้ระเบียบให้รัฐบาลสามารถเอาเงินไปฝากที่สถาบันการเงินอื่นๆ ได้นอกเหนือจากการฝากที่แบงก์ชาติ เพราะจะได้ดอกเบี้ยกลับมาชดเชยภาวะขาดทุนดอกเบี้ยได้บางส่วน จะถูกจุดมากกว่า
ขณะที่ อาจารย์
เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตจากการบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล ชื่อ
“เงิน ไม่คงคลัง” โดยมองว่า รัฐบาลระบุว่าเงินคงคลังเหลือน้อย เพราะไม่อยากกู้มากองไว้ แต่เมื่อดูย้อนหลังไปเมื่อปีงบประมาณก่อน รัฐบาลมีการกู้เงินชดเชยการขาดดุล มาถึง 4 ครั้ง ทั้งๆที่บางช่วงรัฐบาลมีเงินคงคลังอยู่สูงถึง 4.4 แสนล้านบาท ก็มีการกู้ ทั้งนี้เงินคงคลังจะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งเก็บออม และจ่ายออก แต่ในช่วงรัฐบาล คสช. เงินคงคลังทำหน้าที่จ่ายออกแต่เพียงอย่างเดียว แล้วก็มีการกู้มาโปะเงินคงคลังแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท เพียงช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้นจึงขอเสนอว่า รัฐบาล คสช. จะต้องกำหนดกรอบการขาดดุลงบประมาณให้ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาล คสช. เอง เพราะการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นการสร้างภาระให้กับรัฐบาลและประชาชนไทยในอนาคต
JJNY : ศก.ดี๊ดี...ซี้จุกสูญ...รัฐบาลถังแตก! ข้าราชการกลุ่มแรกเสี่ยงตกงาน
วันนี้ (7 ก.พ. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์ ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว PPTV โดยระบุว่า เงินคงคลังคือบัญชีเงินสดของรัฐบาล ที่จะเก็บไว้สำหรับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเทศชาติอยู่ในภาวะวิกฤต หรือฉุกเฉิน เปรียบได้กับเงินออมของประชาชนที่จะต้องมีบัญชีเงินออมก้อนนี้ไว้ เพื่อใช้ในช่วงวิกฤตของชีวิต ซึ่งหากอนาคต เมื่อประเทศเกิดวิกฤต ประชาชนกลุ่มแรกที่จะเดือดร้อนคือกลุ่มข้าราชการ เพราะต่อไปอาจจะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยการโละข้าราชการเป็นลำดับแรก
ดังนั้นการที่รัฐบาลมองแค่การบริหารจัดการดอกเบี้ย โดยไม่เก็บเงินไว้เผื่ออนาคตจึงมองว่าเป็นการบริหารอย่างสุดโต่งมากเกินไป ควรเดินสายกลางมากกว่า โดยรัฐบาล สามารถไปแก้ในส่วนเงินที่ฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ให้แบงก์ชาติให้ดอกเบี้ยกลับคืนมา หรือกรมบัญชีกลางต้องแก้ระเบียบให้รัฐบาลสามารถเอาเงินไปฝากที่สถาบันการเงินอื่นๆ ได้นอกเหนือจากการฝากที่แบงก์ชาติ เพราะจะได้ดอกเบี้ยกลับมาชดเชยภาวะขาดทุนดอกเบี้ยได้บางส่วน จะถูกจุดมากกว่า
ขณะที่ อาจารย์เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตจากการบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล ชื่อ “เงิน ไม่คงคลัง” โดยมองว่า รัฐบาลระบุว่าเงินคงคลังเหลือน้อย เพราะไม่อยากกู้มากองไว้ แต่เมื่อดูย้อนหลังไปเมื่อปีงบประมาณก่อน รัฐบาลมีการกู้เงินชดเชยการขาดดุล มาถึง 4 ครั้ง ทั้งๆที่บางช่วงรัฐบาลมีเงินคงคลังอยู่สูงถึง 4.4 แสนล้านบาท ก็มีการกู้ ทั้งนี้เงินคงคลังจะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งเก็บออม และจ่ายออก แต่ในช่วงรัฐบาล คสช. เงินคงคลังทำหน้าที่จ่ายออกแต่เพียงอย่างเดียว แล้วก็มีการกู้มาโปะเงินคงคลังแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท เพียงช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้นจึงขอเสนอว่า รัฐบาล คสช. จะต้องกำหนดกรอบการขาดดุลงบประมาณให้ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาล คสช. เอง เพราะการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นการสร้างภาระให้กับรัฐบาลและประชาชนไทยในอนาคต