ลูกสาวเราอยู่ ม.2 ผลการเรียนค่อนข้างต่ำ มีเพื่อนค่อนข้างเยอะ ติดเพื่อนมาก แต่เรื่องหนีเรียน เรื่องติดแฟนยังไม่มี
จนวันที่ 25/12/59 ลูกสาวซึ่งมาขอให้เพื่อนมาอยู่บ้านด้วยคน เพราะสงสารเพื่อนที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับบ้านพักนักกีฬาได้(เป็นนักกีฬาโรงเรียนและประจำจังหวัด)
เราและครอบครัวสงสาร จึงให้มาอยู่(ไม่ได้ปรึกษาครูและทางร.ร.เลย) และเราโทรให้ตากับยายเค้ามาทำความรู้จักและมาดูความเป็นอยู่ของบ้านเรา เค้าโอเคและอนุญาตให้อยู่ เราบอกว่าถ้าทำตัวดี พฤติกรรมดี เราจะให้อยู่จนจบม .ต้น แล้วจะพาไปสมัคร ร.ร.กีฬาที่เค้าชอบ ทุกคนก็โอเค
เราซักประวัติเด็กเอง ได้ความว่า พ่อแม่แยกทางกัน มีน้องอีก 3 คน ให้ตากับยายเลี้ยง แล้วที่อยู่บ้านพักนักกีฬาไม่ได้เพราะ เข้ากับเพื่อนร่วมห้องไม่ได้ เอาเปรียบ ใช้ทำงานบ้าน และไม่ให้พกกุญแจห้อง รู้สึกอึดอัด จึงไม่อยากอยู่
การกินการอยู่โดนรวมแล้วกินง่ายอยู่ง่าย ช่วยงานบ้านไดดี แต่ติดโทรศัพท์มากๆ คิดว่าตามวัย ไม่ได้คิดไม่ได้ห้ามอะไร
จนเมื่อวันที่ 5/1/60 เงินในกระเป๋าแม่เราหาย 500 บาท แม่เราว่าตอนไปซื้อของแม่ค้าอาจจะทอนมาผิด เลยไม่คิดไร
ผ่านไปหลายๆวันก็ไม่มีพฤติกรรมไรแปลกๆ แต่สังเกตุว่าเด็กคนนี้มีของใช้ เสื้อผ้าใหม่ๆเข้ามาบ้าน สอบถามได้ความว่า ยายส่งเงินมาให้เหลือใช้ เราก็เลยบอกว่า ใช้เงินประหยัดๆหน่อย แม่หาเงินคนเดียว ตากับยายต้องเลี้ยงน้องอีก 3 คน ให้สงสารแม่กับตายายบ้าง เค้าก็รับคำว่าจะใช้เงินประหยัดๆ
หลังจากนั้น วันที่ 24/1/60 แม่เราบอกให้เราเอาเงินที่ใส่ลิ้นชักหัวเตียงเอาไว้ จำนวน 110,000 บาท เอามาให้แม่ แม่จะเอาไปฝากธนาคาร เราจึงเอาออกมาให้แม่
วันที่ 25/1/60 เราไปทำงานปกติ แม่เราโทรมาประมาณ 10 โมงเช้า บอกว่าเงินหาย 1,000 บาท หายจากปึก 10,000 ส่วนปึก 100,000 ยังครบ แม่บอกว่ายังไม่ได้ไปฝากเพราะลิม เลยเอาไว้ในลิ้นชักพลาสติกที่แม่ใช้เก็บของแม่(ไม่มีกุญแจ) แต่ลิ้นชักอันนั้นอยู่ในห้องลูกแราและเด็กคนนี้นก็นอนด้วยกัน แม่มั่นใจว่าเด็กสองคนคนใดคนนีงขโมยแน่นอน และเอียงไปทางลูกเราว่าลูกเราเอาแน่ๆ เราก็เชื่อแบบนั้นค่ะ แต่แม่บอกว่าทำตำหนิไว้ ลูกเรารู้อยู่แล้วว่าแม่เราจะทำตำหนิไว้
เราจึงรีบโทรหาครูประจำชั้น ให้ครูประจำชั้นช่วยสอบถาม ได้ความว่า....
เราทำไมไม่ปรึกษาทางโรงเรียนและครูก่อนว่าจะพาเด็กไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเรื่องมันก็เกิดแล้ว และได้สอบถามเรื่องเงินได้ความว่า เด็กคนนั้นเอาไปจริงๆ บอกว่าไม่พอใช้ ลูกเราให้ไปแจ้งตำรวจ เราก็สงสารเด็กจึงไม่เอาความอะไร แต่ขอทำเรื่องให้ ร.ร.เอาเด็กคืนไป
ทางร.ร. จะส่งเด็กกลับกลางคัน และโทรให้ยายเค้าติดต่อ ร.ร.ทางโน้น ปรากฎว่ายังไม่มีที่ไหนรับกลางเทอม เพราะใกล้สอบแล้ว รอรับเทอมใหม่ทีเดียว
ทางโรงเรียนจึงติดต่อมาทางเรา และรับทราบมาอีกเรื่องนึงคือชวนกันหนีเรียน ตลอด 1 เดือนที่อยู่ด้วยกัน ทางโรงเรียนสอบถามแล้ว เด็กคนนั้นสารภาพว่าโดดมาเฝ้าแฟน และถามลูกเราได้ความว่า ตามเพื่อนโดดเพราะกลัวเพื่อนโกรธ
และทราบมาอีกเรื่องนึงคือเด็กคนนั้นติดเงินเพื่อนที่อยู่บ้านนักกีฬาด้วยกัน 300 บาท เราโทรบอกยาย ยายโอนเงินผ่านเรามา 1,000 บาท ให้เอามาใช้หนี้ 300 ที่เหลือ 700 บาท ให้ช่วยบริหารเงินให้เด็กด้วยเพราะยายไม่มีเงิน จะโอนให้อีกทีวันที่ 15/2/60 เราก็รับปาก
ทางยายโทรมาขอร้องให้อยู่ต่อจนสอบเสร็จ ทางโรงเรียนก็เห็นด้วย เราจึงตกลง แต่ต้องมีข้อแม้ว่า ให้ใช้เงินวันละ 50 บาท(เรารับส่งเองกินที่ ร.ร.มื้อเดียวคือกลางวัน นอกนั้นกินที่บ้าน)ให้ใช้โทรศัพท์เป็นเวลา แล้วห้ามหนีเรียนอีก ถ้าหนีครูสั่งพักการเรียนทันที เด็กทั้งสองยอมทำตาม
ตั้งแต่วันที่ 30/1/60 ช่วงพักเที่ยง ลูกเราจะไลน์มาบอกตลอดว่าอึดอัด เวลาอยู่ ร.ร.เพื่อนคนนั้นไม่ยอมคุยด้วย เอาแต่ร้องไห้ และไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ เพื่อนๆในห้องเริ่มมองหนูแปลกๆ เราได้แต่บอกให้ลูกอดทน ในเมื่อทำแล้วต้องรับผลของการกระทำนั้นๆ
จนวันที 2/2/60 ช่วงพักเที่ยงลูกเราโทรมาบอกให้เราคอยฟัง (ลูกเราคงถือโทรศัพท์และเข้าไปถามเพื่อนๆ) ได้ยินเสียงลูกเราพูดว่า"มีอะไรกับเค้ารึเปล่า?"
หลังคำถามนั้น เราจับใจความได้ว่า "แม่แกโหดจังวะ ให่เงินมาได้ไง 2 วัน 50 จะไปพออะไร" "แม่แกบีบไม่ให้อยู่ล่ะซิ" "แกทำไมให้ใช้เพื่อนยังกะทาสวะ"
เราได้ยินเสียลูกเราตอบไปว่า "......(ชื่อเพื่อน)ถ้าเอาเราและแม่เราไปพูดแบบนี้ไม่พอใจที่จะอยู่บ้านเราก็ไปได้นะ แกรู้อยู่แก่ใจว่าแกพูดอะไรออกไป"
แล้วลูกเราก็ยกโทรศัพท์พูดกับเราว่า"แม่...ได้ยินทั้งหมดรึยัง?"
หลังจากนั้นเวลาบ่ายสองโมงของวันเดียวกัน เรารีบไป โรงเรียน เพื่อพาเด็กคนนั้นไปพบครู และขอส่งกลับทันที เราตามเข้าไปในห้องเรียน สรุปว่าหนีเรียน
เราจึงไปห้องพบครูประจำชั้น ปรากฎว่าเด็กอยู่กับครู รีบมาบอกครุว่า หนุเข้าหน้าแม่ไม่ติด เพราะหนูพูดถึงแม่มีดี
เราเลยบอกไปว่า "ทำไมไม่พูดความจริง ทำไมไปพูดแบบนั้น รู้ไม่ว่ามันไม่ดีต่อตัวเองเองด้วย ทุกวันนี้แม่ยังทำไม่ดีอีกหรอ แม่ไม่ดีตรงไหน?"
แล้วเราก็ขอส่งคืนเด็กทันที ครูจะรับไปอยู่ด้วย แต่เด็กไม่ยอมไป ขออยู่บ้านเราต่อ มากราบมาขอโทษเรา เรามองหน้าครูเหมือนครูจะขอร้อง ครูโทรหายายเของเด็กคนนั้นล่าให้ยายฟัง ยายรีบโทนมาหาเรา ขอให้รับไว้ก่อนเค้าไม่มีทางไหนแล้ว รถก็ไม่มี เราจึงจำเป็นต้องรับไว้
เรารับมาด้วยความหนักใจ ปล่อยไว้คงลำบากยาย สงสารยายมากๆ ยายบอกว่าเงินไม่ค่อยมี ไม่ค่อยได้ส่ง เพราะหมดไปกับค่าเดินเรื่องค่าไปทำงานเมืองนอกของแม่เด็กคนนั้น และค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้าเงิน 700 ไม่พอให้ออกไปก่อน เราก็ต่องรับปากและรับดูแลต่อไป
เราหนักใจ และต่อจากนี้ควรทำอย่างไรต่อไปดีคะ ....หนักใจมาก กว่าจะสอบเส็ด ปิดเทอมประมาณวันที่ 10/3/60.....เฮ้อ!!!!
ขอบตุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
ปล.ไม่อนุญาตให้นำกระทู้นี้ไปแชร์ในเฟสบุ๊คนะคะ
เมื่อลูกสาว ม.ต้นพาเพื่อนผู้หญิงมาอยู่บ้าน
จนวันที่ 25/12/59 ลูกสาวซึ่งมาขอให้เพื่อนมาอยู่บ้านด้วยคน เพราะสงสารเพื่อนที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับบ้านพักนักกีฬาได้(เป็นนักกีฬาโรงเรียนและประจำจังหวัด)
เราและครอบครัวสงสาร จึงให้มาอยู่(ไม่ได้ปรึกษาครูและทางร.ร.เลย) และเราโทรให้ตากับยายเค้ามาทำความรู้จักและมาดูความเป็นอยู่ของบ้านเรา เค้าโอเคและอนุญาตให้อยู่ เราบอกว่าถ้าทำตัวดี พฤติกรรมดี เราจะให้อยู่จนจบม .ต้น แล้วจะพาไปสมัคร ร.ร.กีฬาที่เค้าชอบ ทุกคนก็โอเค
เราซักประวัติเด็กเอง ได้ความว่า พ่อแม่แยกทางกัน มีน้องอีก 3 คน ให้ตากับยายเลี้ยง แล้วที่อยู่บ้านพักนักกีฬาไม่ได้เพราะ เข้ากับเพื่อนร่วมห้องไม่ได้ เอาเปรียบ ใช้ทำงานบ้าน และไม่ให้พกกุญแจห้อง รู้สึกอึดอัด จึงไม่อยากอยู่
การกินการอยู่โดนรวมแล้วกินง่ายอยู่ง่าย ช่วยงานบ้านไดดี แต่ติดโทรศัพท์มากๆ คิดว่าตามวัย ไม่ได้คิดไม่ได้ห้ามอะไร
จนเมื่อวันที่ 5/1/60 เงินในกระเป๋าแม่เราหาย 500 บาท แม่เราว่าตอนไปซื้อของแม่ค้าอาจจะทอนมาผิด เลยไม่คิดไร
ผ่านไปหลายๆวันก็ไม่มีพฤติกรรมไรแปลกๆ แต่สังเกตุว่าเด็กคนนี้มีของใช้ เสื้อผ้าใหม่ๆเข้ามาบ้าน สอบถามได้ความว่า ยายส่งเงินมาให้เหลือใช้ เราก็เลยบอกว่า ใช้เงินประหยัดๆหน่อย แม่หาเงินคนเดียว ตากับยายต้องเลี้ยงน้องอีก 3 คน ให้สงสารแม่กับตายายบ้าง เค้าก็รับคำว่าจะใช้เงินประหยัดๆ
หลังจากนั้น วันที่ 24/1/60 แม่เราบอกให้เราเอาเงินที่ใส่ลิ้นชักหัวเตียงเอาไว้ จำนวน 110,000 บาท เอามาให้แม่ แม่จะเอาไปฝากธนาคาร เราจึงเอาออกมาให้แม่
วันที่ 25/1/60 เราไปทำงานปกติ แม่เราโทรมาประมาณ 10 โมงเช้า บอกว่าเงินหาย 1,000 บาท หายจากปึก 10,000 ส่วนปึก 100,000 ยังครบ แม่บอกว่ายังไม่ได้ไปฝากเพราะลิม เลยเอาไว้ในลิ้นชักพลาสติกที่แม่ใช้เก็บของแม่(ไม่มีกุญแจ) แต่ลิ้นชักอันนั้นอยู่ในห้องลูกแราและเด็กคนนี้นก็นอนด้วยกัน แม่มั่นใจว่าเด็กสองคนคนใดคนนีงขโมยแน่นอน และเอียงไปทางลูกเราว่าลูกเราเอาแน่ๆ เราก็เชื่อแบบนั้นค่ะ แต่แม่บอกว่าทำตำหนิไว้ ลูกเรารู้อยู่แล้วว่าแม่เราจะทำตำหนิไว้
เราจึงรีบโทรหาครูประจำชั้น ให้ครูประจำชั้นช่วยสอบถาม ได้ความว่า....
เราทำไมไม่ปรึกษาทางโรงเรียนและครูก่อนว่าจะพาเด็กไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเรื่องมันก็เกิดแล้ว และได้สอบถามเรื่องเงินได้ความว่า เด็กคนนั้นเอาไปจริงๆ บอกว่าไม่พอใช้ ลูกเราให้ไปแจ้งตำรวจ เราก็สงสารเด็กจึงไม่เอาความอะไร แต่ขอทำเรื่องให้ ร.ร.เอาเด็กคืนไป
ทางร.ร. จะส่งเด็กกลับกลางคัน และโทรให้ยายเค้าติดต่อ ร.ร.ทางโน้น ปรากฎว่ายังไม่มีที่ไหนรับกลางเทอม เพราะใกล้สอบแล้ว รอรับเทอมใหม่ทีเดียว
ทางโรงเรียนจึงติดต่อมาทางเรา และรับทราบมาอีกเรื่องนึงคือชวนกันหนีเรียน ตลอด 1 เดือนที่อยู่ด้วยกัน ทางโรงเรียนสอบถามแล้ว เด็กคนนั้นสารภาพว่าโดดมาเฝ้าแฟน และถามลูกเราได้ความว่า ตามเพื่อนโดดเพราะกลัวเพื่อนโกรธ
และทราบมาอีกเรื่องนึงคือเด็กคนนั้นติดเงินเพื่อนที่อยู่บ้านนักกีฬาด้วยกัน 300 บาท เราโทรบอกยาย ยายโอนเงินผ่านเรามา 1,000 บาท ให้เอามาใช้หนี้ 300 ที่เหลือ 700 บาท ให้ช่วยบริหารเงินให้เด็กด้วยเพราะยายไม่มีเงิน จะโอนให้อีกทีวันที่ 15/2/60 เราก็รับปาก
ทางยายโทรมาขอร้องให้อยู่ต่อจนสอบเสร็จ ทางโรงเรียนก็เห็นด้วย เราจึงตกลง แต่ต้องมีข้อแม้ว่า ให้ใช้เงินวันละ 50 บาท(เรารับส่งเองกินที่ ร.ร.มื้อเดียวคือกลางวัน นอกนั้นกินที่บ้าน)ให้ใช้โทรศัพท์เป็นเวลา แล้วห้ามหนีเรียนอีก ถ้าหนีครูสั่งพักการเรียนทันที เด็กทั้งสองยอมทำตาม
ตั้งแต่วันที่ 30/1/60 ช่วงพักเที่ยง ลูกเราจะไลน์มาบอกตลอดว่าอึดอัด เวลาอยู่ ร.ร.เพื่อนคนนั้นไม่ยอมคุยด้วย เอาแต่ร้องไห้ และไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ เพื่อนๆในห้องเริ่มมองหนูแปลกๆ เราได้แต่บอกให้ลูกอดทน ในเมื่อทำแล้วต้องรับผลของการกระทำนั้นๆ
จนวันที 2/2/60 ช่วงพักเที่ยงลูกเราโทรมาบอกให้เราคอยฟัง (ลูกเราคงถือโทรศัพท์และเข้าไปถามเพื่อนๆ) ได้ยินเสียงลูกเราพูดว่า"มีอะไรกับเค้ารึเปล่า?"
หลังคำถามนั้น เราจับใจความได้ว่า "แม่แกโหดจังวะ ให่เงินมาได้ไง 2 วัน 50 จะไปพออะไร" "แม่แกบีบไม่ให้อยู่ล่ะซิ" "แกทำไมให้ใช้เพื่อนยังกะทาสวะ"
เราได้ยินเสียลูกเราตอบไปว่า "......(ชื่อเพื่อน)ถ้าเอาเราและแม่เราไปพูดแบบนี้ไม่พอใจที่จะอยู่บ้านเราก็ไปได้นะ แกรู้อยู่แก่ใจว่าแกพูดอะไรออกไป"
แล้วลูกเราก็ยกโทรศัพท์พูดกับเราว่า"แม่...ได้ยินทั้งหมดรึยัง?"
หลังจากนั้นเวลาบ่ายสองโมงของวันเดียวกัน เรารีบไป โรงเรียน เพื่อพาเด็กคนนั้นไปพบครู และขอส่งกลับทันที เราตามเข้าไปในห้องเรียน สรุปว่าหนีเรียน
เราจึงไปห้องพบครูประจำชั้น ปรากฎว่าเด็กอยู่กับครู รีบมาบอกครุว่า หนุเข้าหน้าแม่ไม่ติด เพราะหนูพูดถึงแม่มีดี
เราเลยบอกไปว่า "ทำไมไม่พูดความจริง ทำไมไปพูดแบบนั้น รู้ไม่ว่ามันไม่ดีต่อตัวเองเองด้วย ทุกวันนี้แม่ยังทำไม่ดีอีกหรอ แม่ไม่ดีตรงไหน?"
แล้วเราก็ขอส่งคืนเด็กทันที ครูจะรับไปอยู่ด้วย แต่เด็กไม่ยอมไป ขออยู่บ้านเราต่อ มากราบมาขอโทษเรา เรามองหน้าครูเหมือนครูจะขอร้อง ครูโทรหายายเของเด็กคนนั้นล่าให้ยายฟัง ยายรีบโทนมาหาเรา ขอให้รับไว้ก่อนเค้าไม่มีทางไหนแล้ว รถก็ไม่มี เราจึงจำเป็นต้องรับไว้
เรารับมาด้วยความหนักใจ ปล่อยไว้คงลำบากยาย สงสารยายมากๆ ยายบอกว่าเงินไม่ค่อยมี ไม่ค่อยได้ส่ง เพราะหมดไปกับค่าเดินเรื่องค่าไปทำงานเมืองนอกของแม่เด็กคนนั้น และค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้าเงิน 700 ไม่พอให้ออกไปก่อน เราก็ต่องรับปากและรับดูแลต่อไป
เราหนักใจ และต่อจากนี้ควรทำอย่างไรต่อไปดีคะ ....หนักใจมาก กว่าจะสอบเส็ด ปิดเทอมประมาณวันที่ 10/3/60.....เฮ้อ!!!!
ขอบตุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
ปล.ไม่อนุญาตให้นำกระทู้นี้ไปแชร์ในเฟสบุ๊คนะคะ