One day วันเดียวที่แม่กำปอง
รีวิว บ้านแม่กำปอง จ.เชียงใหม่
ที่พักราคาสูง แต่คุณภาพดี พร้อมไมตรีที่อบอุ่นกับ
เพียวหวน โฮมสเตย์ หรือ บ้านชามา โฮมสเตย์

วันที่เดินทางช่วงปลายเดือนมกราคม 2560 กับอุณหภูมิราว 15 องศาเซลเซียส การเดินทางครั้งนี้ผมไม่ได้ตั้งใจไปแม่กำปองมากนัก และไม่รู้ว่า แม่กำปองมีบรรยากาศดีแค่ไหน แต่ก็มีการพูดถึงในเว็บไซต์ค่อนข้างเยอะ ผมจึงคิดว่ายังไงก็ต้องไปลองสักครั้ง (แบบไม่มีการวางแผนใดๆ) การจองที่พักก่อนไปเพียง 2 ชั่วโมงผ่านทาง booking.com จึงเป็นอะไรที่ลุ้นมากทีเดียว

การเดินทางไปบ้านแม่กำปอง จากเชียงใหม่เป็นเส้นทางที่ง่ายมาก บอกเลยครับว่าตอนไปนั้น เราลุเนมากเพราะเราไม่รู้ว่า ที่พักเป็นอย่างไร ยิ่งเดินทาง ใกล้ถึงแม่กำปองด้วยแล้ว สองข้างทางเราจะเห็นบรรยากาศรีสอร์ท หรือสวยๆที่มีลำธารอยู่ติดกับรีสอร์ทเยอะมากแต่เราก็คิดว่า เอาน่า ลองลุ้นดู

และเมื่อเข้าถึงหมู่บ้านแม่กำปอง ผมก็เปิดแผนที่ หาสถานที่พัก แต่ไม่มีขึ้นบนแผนที่เลย โทรหาก็ไม่ติด (โทรหลายรอบมากครับ) ยิ่งลุ้นหนักกว่าเดิมอีกครับ สุดท้ายผมก็เลย ไปถึงน้ำตกแม่กำปอง และต้องวนรถกลับ แต่ก็ยังดีครับ เพราะว่าจุดแรก ที่ผมได้ถ่ายรูปกับแม่กำปอง ก็คือ ร้านกาแฟชมนกชมไม้ ที่เป็นจุดไฮไลท์ของที่นี่

ตอนนั้นค่อนข้างรีบไม่มีเวลาชิวนานนัก ผมกลัวช้าครับ เพราะตอนนั้นบ่าย2 โมงแล้ว ก็เลยรีบหาที่พักต่อ สุดท้ายผมลงเดินครับ เพราะที่แม่กำปองถนนแคบมากไม่มีที่จอดรถครับ (ผมเดินคนเดียวให้เพื่อนขับรถวนไปครับ) วิธีการคือเอาภาพในเน็ตนี่แหละครับ ถามชาวบ้านไปเรื่อยๆว่าที่พักที่นี่อยู่ตรงไหน สุดท้ายครับ ก็เจอที่พักแห่งนี้ บอกเลยครับว่าตอนแรกถอดใจแล้ว เตรียมหาที่พักที่อื่นแล้ว ถ้าหาไม่เจอ ก็จะเปลี่ยนที่อื่นทันที สุดท้ายก็เจอครับ

นี่คือภาพทางเข้าของที่พักครับ เผื่อใครตามไป ลองเดินๆหาดูนะครับ
เมื่อเราเข้าไปในบ้าน (ชาวบ้านตะลุยพาเข้าบ้านเลยครับ) อาจารย์เจ้าของบ้าน ก็ตกใจ บอกว่าไม่คิดว่าจะมีแขกมาพัก เพราะไม่ได้ดูใน booking และ ไม่ได้ติดโทรศัพท์เอาไว้กับตัว เนื่องจากทำความสะอาดบ้านอยู่ (ผมมาถึงบ่ายโมงบ่ายสองโมงประมาณนี้ แต่ผมจองที่พักตอน 10โมงเช้าครับ) แต่สิ่งที่ทำให้ผม ดีใจมากๆ นั่นคือ บรรยากาศของสถานที่และวิวทิวทัศน์ที่มองออกไป จากระเบียงห้อง บอกเลยครับว่า มันเป็นมุมและวิวที่ที่สวยงามมาก และได้บรรยากาศของการพักผ่อนอย่างเต็มที่เพราะห้องผมอยู่ชั้น3 ไม่มีบ้านอื่นบังเลยครับ
ตอนนี้ผมจะพาดูบรรยากาศ ขอที่พักนะครับ

ภาพระเบียงหน้าห้องพักครับ

ที่นั่งบริเวณชานบ้านอีกฝั่ง

โต๊ะรับแขกของชั้น2 แอบถ่ายมา เพราะวันนั้น บ้านทั้ง3 ชั้นเป็นของผม 555

เตียงนอนของชั้น2 (ผมหารูปห้องนอนผมไม่เจอครับ)

น้ำชา ที่อาจารย์เจ้าของบ้านยกมาต้อนรับครับ ชื่นใจมากๆเลย

ผมขอบรรยายภาพหน่อยครับ
ห้องนอน เป็นห้องนอนขนาด 20 ตารางเมตร ในห้องมีเตียง ที่ นิ่มมากครับและใหม่มาก ที่สำคัญ การดูแลสะอาดมากครับ ไม่เหมือนโฮมสเตย์ทั่วไป ที่เป็นเตียงนอน วางบนพื้น แล้วมีหมอน1ใบกับผ้าห่ม แต่ที่นี่ เป็นที่ นอนระดับดีที่เดียว แถมด้วยผ้าคลุมเตียงผ้าห่ม ที่แลดูสะอาดและดูมีราคามากครับ และที่สำคัญที่พักนี้เป็นกระจกล้อมรอบครับ ทำให้เราได้เห็นบรรยากาศของ บ้านแม่กำปอง ตลอดเวลา พอเดินออกไปด้านนอกจะเป็น...ระเบียง
ระเบียง สำหรับนั่งชิวบรรยากาศ ระเบียงอีกฝั่งหนึ่งของห้อง จะเป็น ที่นอนและที่พักเอนกายแบบชาวเหนือ ที่ ดูโปร่งและโล่งสบาย ที่พักที่นี่มีทั้งหมด 3 ห้อง ชั้น 3 ชั้น 2 และชั้น 1
เมื่อเราไปถึงอาจารย์ก็นำชา ของชาวเหนือ ที่ปลูก ที่แม่กำปองมาบริการ (ที่แม่กำปองไม่มีไร่ชายะครับ แต่เป็นการปลูกแซมกับต้นไม้อื่นๆ เพราะที่นี่จะใช้วิธีรักษาธรรมชาติ ไม่ตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกไร่ชา) ชารสชาติดีมากครับ หลังจากนั้น อาจารย์ ก็แนะนำ กิจกรรมที่จะเกิดขึ้นที่แม่กำปอง และที่พักแห่งนี้ เช่น
- บริการนวด ชั่วโมงละ 150 บาท
- พิธีบายศรีสู่ขวัญ ครั้งละ 600 บาท
- การเดินเที่ยวชมเส้นทางน้ำตกแม่กำปองจากที่พัก แล้ววนขึ้นไปถ่ายภาพมุมสูงที่ ร้านกาแฟชมนกชมไม้ (ร้านเปิด 08.00-17.00น.)
แล้วเดินยาวไปที่วัดคันธาพฤกษา (วัดแม่กำปอง)และตลาดคนเดินที่แม่กำปอง

สำหรับกิจกรรมที่ผมเลือกคือ เดินชมเส้นทางน้ำตกแม่กำปองครับ ก็จะเป็นบรรยากาศตามรูปนะครับ

บอกเลยครับการเดินชมเส้นทางน้ำตกที่เริ่มตั้งแต่ที่พัก คุณจะได้อารมณ์สุนทรีย์มากจริงๆครับ เพราะ ลองนึกถึงที่พักที่แวดล้อมด้วยน้ำตกตลอดแนว พร้อมน้ำใสๆ ไหลเอื่อยๆ เย็นๆตกลงเป็นชั้นๆผ่านโขดหิน พร้อมอากาศที่ดีไร้มลพิษ มันเป็นความสุขที่ดีมากๆจริงๆครับ

และในที่สุดผมก็เดินทางมาถึง "น้ำตกแม่กำปอง"

เส้นทางนี้ เราจะผ่าน
"ร้านชมนกชมไม้"ในตำนานกับภาพถ่ายที่ทุกคนต้องมานั่งชิว กินขนมเค้กแสนอร่อย พร้อมน้ำกาแฟ หรือน้ำผลไม้ปั่นแบบคนไม่เยอะ (ผมไปตอน 17.00น ตอนร้านปิดแล้วไปขอร้องให้เค้าขายครับ)

ต่อจากนั้นผมก็เดินชมโฮมสเตย์ต่างๆไปเรื่อยๆ มันอิ่มเอมมากจริงๆครับ

เดินชิวเรื่อยๆจนถึงที่วัดแม่กำปอง เป็นวัดท่ามกลางธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆครับ วัดแห่งนี้จะมีศาลากลางน้ำ ด้านหน้าศาลาจะเป็นน้ำตกครับ สวยมากๆ (ตามรูปเลยครับ)

ศาลากลางน้ำ จะได้ยินเสียงน้ำตกตลอดเวลา สงบ เย็นสบายมากครับ

(เวลาผมน้อยครับเลยไม่ได้ไปถึงตลาด จะรีบกลับที่พัก เพื่อชื่นชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่หน้าห้องพัก)

เมื่อถึงช่วงค่ำ ขันโตกก็มาบริการ (ราคาท่านละ 250 บาทครับ) แต่เป็นมื้อที่เยี่ยมมากเลยครับ

เริ่มที่เซตแรก ผักสลัด ดูธรรมดา แต่ความสดของผัก ที่ 16 องศาเซลเซียส ทำให้ผักทั้งสด กรอบ หวานอร่อยมากทีเดียวครับ ประกอบกับน้ำสลัดที่เจ้าของปรุงเอง ทำให้กินผักหมดทุกชนิดไม่มีเหลือเลย
เมนูต่อมาที่ชุดขันโตก น้ำพริกปลาและน้ำพริกขิง เป็นมือวางอันดับ1 อร่อยมากครับ

ปิดท้ายด้วย ผลไม้ นั่นก็คือแตงโมครับ มื้อนี้ของเราอิ่มมากครับ
***



ในช่วงเย็นๆแบบนี้ ผมขอรีวิว ที่พักช่วงกลางคืนอีกครั้ง เพราะผมใช้เวลา ในการเดินถ่ายรูปอยู่ระยะหนึ่ง รู้สึกว่ามันสวย เงียบสงบและอากาศดีมากๆครับจากที่พักแห่งนี้

ภาพจากถนนครับ

ทางขึ้นห้องนอน

ลานนั่งรับประทานอาหาร นั่งเล่น

นั่งรับลมชิวๆครับ

ในเช้าวันรุ่งขึ้นเรามีนัดกับรถพาเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้าที่กิ่วฝิ่น แต่ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมารับอากาศบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส มันเป็นความเงียบสงบในยามเช้าบวกกับอากาศสดชื่นแบบเย็นสบาย ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ประทับใจไม่รู้ลืม เมื่อถึงเวลา 6 โมงตรง ที่จุดนัดหมายรถกระบะก็มารับเราไปขึ้นเขา (ปกติแล้วราคาเหมารถกระบะ ขึ้นกิ่วฝิ่นอยู่ที่ราคา 500 บาท แต่อาจารย์เจ้าของที่พักก็ได้ติดต่อเพื่อหาผู้ร่วมสมทบรวม 5 คนให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้เราจ่ายเพียงท่านละ 100 บาทเท่านั้น

ตอนนั่งรถกระบะ เรานั่ง หน้ารถ การขึ้นกิ่วฝิ่น ต้องมีความชำนาญในการขับรถ เนื่องจากเป็นเส้นทางคดเคี้ยวและสูงชัน โดยเฉพาะในช่วงเวลา 6โมงเช้าที่มืดมากอยู่นั้น (ก่อนหน้าผมไป เพิ่งมีอุบัติเหตุคนขึ้นกิ่วฝิ่นตกหน้าผาเสียชีวิต2 ศพ นั่นยิ่งทำให้ผมไม่อยากขับขึ้นไปเองเลย)

เมื่อถึงกิ่วฝิ่น เราจะได้เจอด่านเชื่อมต่อ เชียงใหม่-ลำปาง แล้วเราก็ต้องเดินไปอีก 300-400เมตร ท่ามกลางความมืด ตรงนี้ผมไม่รู้เลยไม่ได้เตรียมไป แต่ก็ยังดีมีไฟฉายบนมือถือที่สว่างมาก
เช้าวันนั้นเราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า แต่เราได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากชั้นเมฆ แต่ผมพูดได้คำเดียวว่า ใครไม่ไปถือว่าพลาดมาก เพราะกิ่วฝิ่นนั้นจะทำให้คุณได้เห็นวิวสองฝั่งทั้งจากฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ภาพอาทิตย์ทอแสงแสงพุ่งขึ้นสู่ฟ้าทะลุแนวก้อนเมฆ โดยมีต้นไม้ที่โดนฟ้าผ่าเป็นโฟร์กราว

อีกฝั่งนึงจะเป็นแนวทิวเขาสลับซับซ้อนเรียงรายเป็นแนวยาว สวยงามและดูสบายตา
หลังพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินทางลงจาก กิ่วฝิ่น ครั้งนี้ผมขอเลือกนั่ง หลังกระบะ เพราะต้องการซึมซับบรรยากาศ อย่างเต็มที่ ตลอดทางลงเรามีโอกาส ได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งเป็นระยะ
เมื่อลงมาถึงที่พัก อาหารเช้าของเราก็พร้อมต้อนรับ เมนูเช้าวันนี้ท่านละ 150 บาท ซึ่งเราแจ้งเจ้าของบ้านไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

ขอฟินก่อนกลับนะครับ
[CR] One day วันเดียว ที่บ้านแม่กำปอง (พักสบาย สไตล์หรู ในแบบโฮมสเตย์)
รีวิว บ้านแม่กำปอง จ.เชียงใหม่
ที่พักราคาสูง แต่คุณภาพดี พร้อมไมตรีที่อบอุ่นกับ
เพียวหวน โฮมสเตย์ หรือ บ้านชามา โฮมสเตย์
เมื่อเราเข้าไปในบ้าน (ชาวบ้านตะลุยพาเข้าบ้านเลยครับ) อาจารย์เจ้าของบ้าน ก็ตกใจ บอกว่าไม่คิดว่าจะมีแขกมาพัก เพราะไม่ได้ดูใน booking และ ไม่ได้ติดโทรศัพท์เอาไว้กับตัว เนื่องจากทำความสะอาดบ้านอยู่ (ผมมาถึงบ่ายโมงบ่ายสองโมงประมาณนี้ แต่ผมจองที่พักตอน 10โมงเช้าครับ) แต่สิ่งที่ทำให้ผม ดีใจมากๆ นั่นคือ บรรยากาศของสถานที่และวิวทิวทัศน์ที่มองออกไป จากระเบียงห้อง บอกเลยครับว่า มันเป็นมุมและวิวที่ที่สวยงามมาก และได้บรรยากาศของการพักผ่อนอย่างเต็มที่เพราะห้องผมอยู่ชั้น3 ไม่มีบ้านอื่นบังเลยครับ
ตอนนี้ผมจะพาดูบรรยากาศ ขอที่พักนะครับ
ผมขอบรรยายภาพหน่อยครับ
ห้องนอน เป็นห้องนอนขนาด 20 ตารางเมตร ในห้องมีเตียง ที่ นิ่มมากครับและใหม่มาก ที่สำคัญ การดูแลสะอาดมากครับ ไม่เหมือนโฮมสเตย์ทั่วไป ที่เป็นเตียงนอน วางบนพื้น แล้วมีหมอน1ใบกับผ้าห่ม แต่ที่นี่ เป็นที่ นอนระดับดีที่เดียว แถมด้วยผ้าคลุมเตียงผ้าห่ม ที่แลดูสะอาดและดูมีราคามากครับ และที่สำคัญที่พักนี้เป็นกระจกล้อมรอบครับ ทำให้เราได้เห็นบรรยากาศของ บ้านแม่กำปอง ตลอดเวลา พอเดินออกไปด้านนอกจะเป็น...ระเบียง
ระเบียง สำหรับนั่งชิวบรรยากาศ ระเบียงอีกฝั่งหนึ่งของห้อง จะเป็น ที่นอนและที่พักเอนกายแบบชาวเหนือ ที่ ดูโปร่งและโล่งสบาย ที่พักที่นี่มีทั้งหมด 3 ห้อง ชั้น 3 ชั้น 2 และชั้น 1
เมื่อเราไปถึงอาจารย์ก็นำชา ของชาวเหนือ ที่ปลูก ที่แม่กำปองมาบริการ (ที่แม่กำปองไม่มีไร่ชายะครับ แต่เป็นการปลูกแซมกับต้นไม้อื่นๆ เพราะที่นี่จะใช้วิธีรักษาธรรมชาติ ไม่ตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกไร่ชา) ชารสชาติดีมากครับ หลังจากนั้น อาจารย์ ก็แนะนำ กิจกรรมที่จะเกิดขึ้นที่แม่กำปอง และที่พักแห่งนี้ เช่น
- บริการนวด ชั่วโมงละ 150 บาท
- พิธีบายศรีสู่ขวัญ ครั้งละ 600 บาท
- การเดินเที่ยวชมเส้นทางน้ำตกแม่กำปองจากที่พัก แล้ววนขึ้นไปถ่ายภาพมุมสูงที่ ร้านกาแฟชมนกชมไม้ (ร้านเปิด 08.00-17.00น.)
แล้วเดินยาวไปที่วัดคันธาพฤกษา (วัดแม่กำปอง)และตลาดคนเดินที่แม่กำปอง
สำหรับกิจกรรมที่ผมเลือกคือ เดินชมเส้นทางน้ำตกแม่กำปองครับ ก็จะเป็นบรรยากาศตามรูปนะครับ
และในที่สุดผมก็เดินทางมาถึง "น้ำตกแม่กำปอง"
เส้นทางนี้ เราจะผ่าน"ร้านชมนกชมไม้"ในตำนานกับภาพถ่ายที่ทุกคนต้องมานั่งชิว กินขนมเค้กแสนอร่อย พร้อมน้ำกาแฟ หรือน้ำผลไม้ปั่นแบบคนไม่เยอะ (ผมไปตอน 17.00น ตอนร้านปิดแล้วไปขอร้องให้เค้าขายครับ)
เมนูต่อมาที่ชุดขันโตก น้ำพริกปลาและน้ำพริกขิง เป็นมือวางอันดับ1 อร่อยมากครับ
***
เช้าวันนั้นเราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า แต่เราได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากชั้นเมฆ แต่ผมพูดได้คำเดียวว่า ใครไม่ไปถือว่าพลาดมาก เพราะกิ่วฝิ่นนั้นจะทำให้คุณได้เห็นวิวสองฝั่งทั้งจากฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ภาพอาทิตย์ทอแสงแสงพุ่งขึ้นสู่ฟ้าทะลุแนวก้อนเมฆ โดยมีต้นไม้ที่โดนฟ้าผ่าเป็นโฟร์กราว
หลังพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินทางลงจาก กิ่วฝิ่น ครั้งนี้ผมขอเลือกนั่ง หลังกระบะ เพราะต้องการซึมซับบรรยากาศ อย่างเต็มที่ ตลอดทางลงเรามีโอกาส ได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งเป็นระยะ
เมื่อลงมาถึงที่พัก อาหารเช้าของเราก็พร้อมต้อนรับ เมนูเช้าวันนี้ท่านละ 150 บาท ซึ่งเราแจ้งเจ้าของบ้านไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น