[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/36047476
บทที่ 2 การก่อกวนครั้งที่สอง
รักตปักษ์ขับเจ้าคามุยอิ จักรยานยนต์คันโปรดไปทำงานในตอนเช้า เหมือนทุกครั้ง
หากความรู้สึกในตอนนี้ของเขา ต่างไปจากทุกวัน ความหงุดหงิดที่คอยก่อกวนอยู่ในใจกับภาพใบหน้าหล่อเหลาละม้ายคล้ายทาเคชิ คาเนชิโร่ของเจ้าเชฟที่ชื่อ ไอระซัง มันคอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา
โทษที่หมอนั่นบังอาจเอามือสกปรกมาแตะหมวกกันน็อกสุดรักสุดหวงนั้น หนักหนาสาหัสนัก เรียกได้ว่าหากคว้าตัวได้ตั้งแต่ทีแรก เขาคงอัดนำไปก่อนสักหมัด แล้วค่อยสั่งให้มันนั่งคุกเข่ากับพื้น กราบหมวกของเขางามๆ ในท่าเบญจางค์ประดิษฐ์ร้อยเที่ยว แต่หมอนั่นดันเผ่นหนีไปได้ ตรงนี้เองที่ทำให้รักตปักษ์แค้นแทบคลั่ง ร่ำๆจะขี่มอเตอร์ไซด์ตระเวนไปทั่วกรุง ตามหาเจ้าตัวแสบแล้วลากคอกลับมาลงโทษ
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่พอเอาเข้าจริงมันก็เป็นเรื่องที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการควานหาตัวผู้ชายเพียงคนเดียวท่ามกลางประชากรอันล้นหลามของกรุงเทพมหานคร มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการหาเข็มเย็บผ้าในกองเข็มหมุด คือไม่มีวันเจอ
รักตปักษ์พ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนบิดความเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นมาอีกนิด อุตส่าห์ถอดใจแล้วเชียว แต่จะเป็นเพราะบาปกรรมตามทันหรือพรหมลิขิตก็ไม่รู้ ทำให้เขาเจอเจ้าคนไร้มารยาทแบบฟลุคสุดๆ ที่ร้านซูชิ แถมยังเป็นเชฟที่มีชื่อสุดแต๋วว่าไอระซัง ชายหนุ่มดีใจเสียยิ่งกว่าถูกหวยและคิดว่าจะแก้แค้นด้วยวิธีง่ายๆ คือยัดข้อหาเอาของเน่ามาเสิร์ฟลูกค้า แต่เจ้าเชฟตัวแสบกลับแก้ลำด้วยการนำซูชิปลาราคาแพงมาให้ แถมยังตบท้ายด้วยรอยยิ้มเยาะที่เห็นแล้วรักตปักษ์ต้องบังเกิดอาการคันเท้าตงิด อยากจะเตะหน้าหล่อๆ นั่นสักเปรี้ยง มาเสียเส้นตรงพวกรุ่นพี่ที่ยอมให้อภัยกันง่ายๆ
โอเค ไม่เป็นไร ยกแรกถือว่านายชนะ ไอระซัง
ปากรูปกระจับเม้มแน่นด้วยความโมโห จังหวะเดียวกันนั้นมอเตอร์ไซคันเก่งก็วิ่งเข้าไปใต้ตึกพอดี รักตปักษ์เสียบรถเข้าซอง บิดคันเร่งเบิ้ลเครื่องหนึ่งครั้งเพื่อระบายความหงุดหงิดก่อนดึงกุญแจ ถอดหมวกเดินไปกดลิฟต์ ตอกบัตรเข้างานเรียบร้อยแล้ววินัยซึ่งเดินผ่านมาพอดีจึงเอ่ยเรียก
“อ้าวมาพอดีเลย คุณตะวันเรียกพบแน่ะ รีบไปเร็ว”
รักตปักษ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะคุณตะวันที่วินัยเอ่ยถึง คือนายตะวัน โทชิโอะ สึกิยาม่า ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศหุ้นส่วนสำคัญของบริษัท โดยปกติแล้วคุณตะวันมักนั่งทำงานอยู่ในห้อง ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใคร คนในบริษัทจะมีก็เพียงพวกผู้บริหาร หรือพนักงานตำแหน่งสูงเท่านั้นที่มีสิทธิเข้าพบ แล้วทำไมจู่ๆ คนสำคัญระดับนั้นจึงเรียกพนักงานส่งเอกสารสุดต๊อกต๋อยเข้าไปหา หรือเขาทำงานพลาด!
เป็นไปไม่ได้
ความคิดอีกด้านสวนคำค้านขึ้นมาทันควัน ทุกครั้งก่อนวิ่งออกไปส่งของให้กับบริษัทต่างๆ เขาต้องตรวจเอกสารอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการผิดพลาด และเมื่อของเหล่านั้นถึงที่หมาย เขาจะมีสมุดอีกเล่มสำหรับให้ผู้รับเซ็น เพื่อป้องกันข้ออ้างเรื่องของหายหรือไม่ได้รับ ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่าเหตุผลในการเรียกตัวครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องงาน
ตอนนั้นเองที่รักตปักษ์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สามวันก่อนเขาได้ทำการติดต่อลูกค้าชาวจีนแทนรุ้งมณี พนักงานสาวผู้มีหน้าที่ประสานงานโดยตรง แต่การเจรจาก็ประสบความสำเร็จดีนี่นา
หรือเขาเข้าใจผิด ?
มือที่กำลังเคาะประตูชะงักค้าง คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างกังวล แต่แล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจยืดอกยอมรับอย่างเด็ดเดี่ยวว่า เป็นไงเป็นกันเพราะการกระทำในครั้งนั้นถือเป็นเหตุสุดวิสัย และตัวเขาเองก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท คิดได้แบบนั้นชายหนุ่มจึงเคาะสามครั้งตามมารยาทพร้อมกับรายงานตัว
“รักตปักษ์ครับ”
“เชิญ” เสียงทุ้มของชายวัย 50 ตอบกลับมาไม่ดังนัก เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง ปิดประตูเรียบร้อย นายตะวันจึงผายมือไปด้านข้างโดยไม่ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า “นั่งรอตรงนั้นก่อน”
เสียงพูดราบเรียบค่อนไปทางขรึมทำเอาคนได้ยินอดสั่นไม่ได้ แต่ความมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด รักตปักษ์จึงเดินไปนั่งตัวตรงบนเก้าอี้หนัง วางมือไว้บนตัก พยายามควบคุมอาการของตัวเองด้วยการมองทิวทัศน์นอกอาคารผ่านกระจก แต่ก็อดชำเลืองตาไปทางผู้บริหารคนสำคัญที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านข้อมูลบนโต๊ะอย่างจริงจังไม่ได้
เวลาผ่านไปอย่างน่าอึดอัดราวสิบนาที นายตะวันจึงปิดแฟ้ม ถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะ
“ขอโทษที่ทำให้รอ” เขาออกตัวอย่างสุภาพก่อนหันหน้ามาทางชายหนุ่มที่กำลังก้มศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ “คุณรักตปักษ์?”
“ครับ”
คนถูกเรียนขานรับ ใจอดตุ้มต่อมไม่ได้ว่าตัวเองจะโดนตำหนิเรื่องอะไร ยิ่งถูกมองด้วยสายตาที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ของนายตะวันด้วยแล้ว รักตปักษ์รู้สึกตัวของเขาค่อยๆ หดลงทีละน้อย ชายหนุ่มยอมรับว่ากลัว ไม่ใช่เรื่องความบกพร่องในการทำงานหากเป็นแรงกดดันบางอย่างที่กำลังโอบล้อมอยู่รอบตัวเขาในเวลานี้
“เอ้อ...” ตั้งใจจะถามไปตามตรงว่า ที่ถูกเรียกให้มาพบสาเหตุมาจากเรื่องงานหรือเปล่า แต่นายตะวันกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
ลองเปิดหัวข้อสนทนาแบบนี้แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ รักตปักษ์คิดในใจแต่ก็ตอบไปตามตรง
“สบายดีครับ”
นายตะวันพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไรตอบกลับมาในทันที เขาหันไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลมาพลิกดูชื่อบริษัทที่ถูกเขียนเป็นภาษาจีน นิ่งไปอึดใจคล้ายกำลังไตร่ตรองก่อนเอ่ยปาก
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณทำงานบริษัทนี้ในหน้าที่ Messenger”
เอาแล้วไง เรื่องที่เขาเสนอหน้าไปติดต่อกับลูกค้าจริงด้วย รักตปักษ์นึกในใจก่อนตอบ
“ครับ”
นายตะวันพยักหน้าช้าๆ อย่างใจเย็นก่อนหันหน้ากลับมาและใช้สายตาของผู้บริหารจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมว่า ทำไมเมื่อสามวันก่อนคุณถึงโยนแจ็คเก็ต สวมสูทไปเจรจากับลูกค้าแทนพนักงานที่ควรทำหน้าที่นี้”
รักตปักษ์แปลกใจตัวเองที่จู่ๆ ความกลัวก่อนหน้านั้นมลายหายไปสิ้น เขารู้ตัวว่าผิดแต่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำไปเป็นเรื่องถูกต้อง วันนั้นทางบริษัทมีการนัดเจรจาเรื่องการขนส่งสินค้ากับนักธุรกิจชาวจีน แต่เพราะการจราจรเป็นอัมพาตทำให้รถติดยาวชนกันถึงสามแยก คนที่ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาติดแหง็กอยู่ระหว่างทาง เลยโทร.บอกเขาซึ่งบังเอิญอยู่ในตึกนั้นพอดีช่วยแก้ไขสถานการณ์ รักตปักษ์จึงตัดสินใจสวมสูท เดินเข้าไปพบนักธุรกิจทั้งสาม เพราะหากปล่อยให้รอต่อไปอีกแค่สามนาที การติดต่อครั้งนี้คงล้มเหลว
“มันจำเป็นครับ” เขาตอบไปตามความจริง “ลูกค้ารอมาเป็นชั่วโมง ผมเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้รอต่อไปทางบริษัทของเราจะเสียหายเลยตัดสินใจทำแบบนั้น”
“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่า หากทางนั้นรู้ว่าเขากำลังคุยอยู่กับใคร ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ทางเราแย่” นายตะวันย้อนถามโดยตาจ้องสบกับดวงตาของรักตปักษ์เขม็ง “กล้ามากเลยนะเป็นแค่ messenger แท้ๆ”
เขาหยุด มองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องก่อนพูดต่อ “เท่าที่รู้มานักธุรกิจพวกนั้นไม่ใช้ภาษาอังกฤษ แล้วคุณคุยกับพวกเขายังไง”
“ภาษาจีนสิครับ” รักตปักษ์ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ นายตะวันทำหน้าแปลกใจ
“คุณพูดได้ด้วยหรือ”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยืดอกน้อยๆ อย่างภาคภูมิใจ คนเป็นนายนิ่งอีกครั้งก่อนถามคำถามสำคัญ
“แล้วคุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
ความหมายของนายตะวันคือการเจรจาต่อรองเรื่องการรับส่งสินค้าจำนวนมหาศาล เพราะบริษัทของเขาดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ รักตปักษ์จึงอธิบาย
“ผมศึกษาจากรุ่นพี่ครับ เอ้อ กรุณาอย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ต้องการจะก้าวก่ายหน้าที่หรือสอดรู้สอดเห็นในเรื่องที่ไม่ใช่งานของตัว แต่ผมคิดว่าการทำงานที่ดี ควรรู้อะไรหลายอย่างจะได้ช่วยกันเวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกละหุก” เขาเว้นคำพูดตัวเองก่อนถามเสียงอ่อนลง “หรือว่าผมตัดสินใจผิด”
นายตะวันไม่ตอบ เขาลุกขึ้นเดินไปยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลส่งให้รักตปักษ์ “ลองอ่านดู”
ถึงยังตกอยู่ในอาการงง รักตปักษ์ก็รับซองมาเปิด ข้างในเป็นเอกสารซึ่งเป็นตัวอักษรจีน เขาไม่กล้าพอที่จะดึงมันออกมาอ่าน แต่พิจารณาจากลักษณะของรูปแบบพอจะเดาได้ว่า มันคือหนังสือสัญญา
“นี่มัน”
“ทางนั้นตอบตกลงทำธุรกิจร่วมกับเรา” นายตะวันซึ่งยืนสังเกตปฏิกิริยาของพนักงานหนุ่มพูด “และเขาฝากชมเจ้าหน้าที่ในวันนั้นมาด้วย”
น้ำเสียงของคนเป็นนายฟังแล้วใจชื้น ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมองรักตปักษ์อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อถือโชคลาง ดังนั้นเรื่องในคราวนี้จะยกให้เป็นความสามารถของคุณ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าครั้งหน้าถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากผม ห้ามทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม”
“ครับคุณตะวัน” รักตปักษ์รับคำพร้อมกับก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความขอโทษและขอบคุณไปพร้อมกัน ส่วนนายตะวันพอเห็นลูกน้องเข้าใจดีแล้วจึงกลับไปยังเก้าอี้ประจำตำแหน่ง สวมแว่นตาเพื่อเตรียมทำงานต่อ มือเลื่อนไปดึงแฟ้มหนา ส่วนปากก็พูดไปด้วย
“ไปทำงานของคุณได้แล้ว”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
รักตปักษ์ลุกขึ้นและโค้งให้อีกครั้งก่อนออกจากห้อง พอปิดประตู เขาก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก วินัยซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่แถวนั้นรีบปรี่เข้ามาทันที
“โดนเรื่องอะไรหรือรัก”
ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ เพราะเขาเองนั่นแหละที่บอกให้รักตปักษ์ติดต่อลูกค้าแทนรุ้งมณี พนักงานสาวที่ควรเป็นผู้ประสานงาน ความจริงเขาแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้จัดการแผนกได้ทราบแล้ว แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะเข้าถึงหูนายตะวัน
“ก็เรื่องที่ผมไปติดต่อลูกค้าแทนคุณรุ้งไงครับ ดีที่ทางนั้นเขาพอใจ นายเลยไม่ว่าอะไร”
คำตอบของรุ่นน้องทำให้วินัยถอนใจออกมา “ค่อยยังชั่ว ผมกลัวแทบตายว่าคุณจะโดนเล่น”
เป็นคำพูดที่กล่าวออกมาจากใจจริง เพราะวินัยเอ็นดูพนักงานรุ่นน้องคนนี้มาก ตอนได้ยินว่าถูกนายตะวันเรียก เขานึกรู้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องนี้แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นบวกหรือลบเพราะยังไม่ได้ข่าวว่าลูกค้าบอกปฏิเสธหรือตอบตกลง
“โทษด้วยนะที่ผมบอกให้คุณเป็นคนจัดการ” วินัยออกตัวเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเดือดร้อนแต่รักตปักษ์กลับยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากต้องขอโทษที่ทำให้พี่ต้องเป็นห่วง”
“แบบนั้นผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่” วินัยทำหน้าจ๋อยขณะพูด รักตปักษ์จึงอธิบายเพื่อให้คนฟังสบายใจ
“อย่าคิดแบบนั้นเลยครับพี่วินัย เพราะพี่ผมถึงมีโอกาสเรียนรู้อะไรมากมาย ได้เจรจากับนักธุรกิจต่างชาติ ได้เจอกับผู้บริหารของบริษัท ซึ่งโดยปกติแล้วพนักงานส่งเอกสารธรรมดาคงไม่โชคดีอย่างนั้นแน่ ใช่ไหมครับ”
เขาส่งประโยคท้ายด้วยรอยยิ้มกวน ใบหน้าเคร่งเครียดของวินัยจึงคลาย
“มองโลกในแง่ดีจังนะเรา” เขาพูดพลางตบไหล่รักตปักษ์ “โอเค จบเรื่องแล้ว แยกย้ายกันไปทำงาน”
สรุปง่ายๆก่อนทั้งสองจะกลับไปประจำที่โต๊ะ วินัยลงมือทำงานในส่วนของตัวเองทันที ในขณะที่รักตปักษ์ไปยืนอ่านข้อมูลย่อยบนบอร์ดประจำสำนักงาน ระหว่างที่ดูอะไรไปเรื่อยๆ เขาก็ได้ยินเสียงพูดของใครบางคนดังข้างตัว
“ขอโทษด้วยนะคะคุณรักตปักษ์”
ชายหนุ่มรู้ว่าคนพูดคือรุ้งมณี พนักงานสาวที่เป็นต้นเหตุให้เขาถูกคุณตะวันเรียกพบ แต่เขาไม่ได้นึกโกรธเธอเลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าเรื่องในวันนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัย รักตปักษ์จึงหันไปส่งยิ้มให้กับเธอ
เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 2 การก่อกวนครั้งที่สอง
บทที่ 2 การก่อกวนครั้งที่สอง
รักตปักษ์ขับเจ้าคามุยอิ จักรยานยนต์คันโปรดไปทำงานในตอนเช้า เหมือนทุกครั้ง
หากความรู้สึกในตอนนี้ของเขา ต่างไปจากทุกวัน ความหงุดหงิดที่คอยก่อกวนอยู่ในใจกับภาพใบหน้าหล่อเหลาละม้ายคล้ายทาเคชิ คาเนชิโร่ของเจ้าเชฟที่ชื่อ ไอระซัง มันคอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา
โทษที่หมอนั่นบังอาจเอามือสกปรกมาแตะหมวกกันน็อกสุดรักสุดหวงนั้น หนักหนาสาหัสนัก เรียกได้ว่าหากคว้าตัวได้ตั้งแต่ทีแรก เขาคงอัดนำไปก่อนสักหมัด แล้วค่อยสั่งให้มันนั่งคุกเข่ากับพื้น กราบหมวกของเขางามๆ ในท่าเบญจางค์ประดิษฐ์ร้อยเที่ยว แต่หมอนั่นดันเผ่นหนีไปได้ ตรงนี้เองที่ทำให้รักตปักษ์แค้นแทบคลั่ง ร่ำๆจะขี่มอเตอร์ไซด์ตระเวนไปทั่วกรุง ตามหาเจ้าตัวแสบแล้วลากคอกลับมาลงโทษ
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่พอเอาเข้าจริงมันก็เป็นเรื่องที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการควานหาตัวผู้ชายเพียงคนเดียวท่ามกลางประชากรอันล้นหลามของกรุงเทพมหานคร มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการหาเข็มเย็บผ้าในกองเข็มหมุด คือไม่มีวันเจอ
รักตปักษ์พ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนบิดความเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นมาอีกนิด อุตส่าห์ถอดใจแล้วเชียว แต่จะเป็นเพราะบาปกรรมตามทันหรือพรหมลิขิตก็ไม่รู้ ทำให้เขาเจอเจ้าคนไร้มารยาทแบบฟลุคสุดๆ ที่ร้านซูชิ แถมยังเป็นเชฟที่มีชื่อสุดแต๋วว่าไอระซัง ชายหนุ่มดีใจเสียยิ่งกว่าถูกหวยและคิดว่าจะแก้แค้นด้วยวิธีง่ายๆ คือยัดข้อหาเอาของเน่ามาเสิร์ฟลูกค้า แต่เจ้าเชฟตัวแสบกลับแก้ลำด้วยการนำซูชิปลาราคาแพงมาให้ แถมยังตบท้ายด้วยรอยยิ้มเยาะที่เห็นแล้วรักตปักษ์ต้องบังเกิดอาการคันเท้าตงิด อยากจะเตะหน้าหล่อๆ นั่นสักเปรี้ยง มาเสียเส้นตรงพวกรุ่นพี่ที่ยอมให้อภัยกันง่ายๆ
โอเค ไม่เป็นไร ยกแรกถือว่านายชนะ ไอระซัง
ปากรูปกระจับเม้มแน่นด้วยความโมโห จังหวะเดียวกันนั้นมอเตอร์ไซคันเก่งก็วิ่งเข้าไปใต้ตึกพอดี รักตปักษ์เสียบรถเข้าซอง บิดคันเร่งเบิ้ลเครื่องหนึ่งครั้งเพื่อระบายความหงุดหงิดก่อนดึงกุญแจ ถอดหมวกเดินไปกดลิฟต์ ตอกบัตรเข้างานเรียบร้อยแล้ววินัยซึ่งเดินผ่านมาพอดีจึงเอ่ยเรียก
“อ้าวมาพอดีเลย คุณตะวันเรียกพบแน่ะ รีบไปเร็ว”
รักตปักษ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะคุณตะวันที่วินัยเอ่ยถึง คือนายตะวัน โทชิโอะ สึกิยาม่า ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศหุ้นส่วนสำคัญของบริษัท โดยปกติแล้วคุณตะวันมักนั่งทำงานอยู่ในห้อง ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใคร คนในบริษัทจะมีก็เพียงพวกผู้บริหาร หรือพนักงานตำแหน่งสูงเท่านั้นที่มีสิทธิเข้าพบ แล้วทำไมจู่ๆ คนสำคัญระดับนั้นจึงเรียกพนักงานส่งเอกสารสุดต๊อกต๋อยเข้าไปหา หรือเขาทำงานพลาด!
เป็นไปไม่ได้
ความคิดอีกด้านสวนคำค้านขึ้นมาทันควัน ทุกครั้งก่อนวิ่งออกไปส่งของให้กับบริษัทต่างๆ เขาต้องตรวจเอกสารอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการผิดพลาด และเมื่อของเหล่านั้นถึงที่หมาย เขาจะมีสมุดอีกเล่มสำหรับให้ผู้รับเซ็น เพื่อป้องกันข้ออ้างเรื่องของหายหรือไม่ได้รับ ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่าเหตุผลในการเรียกตัวครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องงาน
ตอนนั้นเองที่รักตปักษ์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สามวันก่อนเขาได้ทำการติดต่อลูกค้าชาวจีนแทนรุ้งมณี พนักงานสาวผู้มีหน้าที่ประสานงานโดยตรง แต่การเจรจาก็ประสบความสำเร็จดีนี่นา
หรือเขาเข้าใจผิด ?
มือที่กำลังเคาะประตูชะงักค้าง คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างกังวล แต่แล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจยืดอกยอมรับอย่างเด็ดเดี่ยวว่า เป็นไงเป็นกันเพราะการกระทำในครั้งนั้นถือเป็นเหตุสุดวิสัย และตัวเขาเองก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท คิดได้แบบนั้นชายหนุ่มจึงเคาะสามครั้งตามมารยาทพร้อมกับรายงานตัว
“รักตปักษ์ครับ”
“เชิญ” เสียงทุ้มของชายวัย 50 ตอบกลับมาไม่ดังนัก เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง ปิดประตูเรียบร้อย นายตะวันจึงผายมือไปด้านข้างโดยไม่ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า “นั่งรอตรงนั้นก่อน”
เสียงพูดราบเรียบค่อนไปทางขรึมทำเอาคนได้ยินอดสั่นไม่ได้ แต่ความมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด รักตปักษ์จึงเดินไปนั่งตัวตรงบนเก้าอี้หนัง วางมือไว้บนตัก พยายามควบคุมอาการของตัวเองด้วยการมองทิวทัศน์นอกอาคารผ่านกระจก แต่ก็อดชำเลืองตาไปทางผู้บริหารคนสำคัญที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านข้อมูลบนโต๊ะอย่างจริงจังไม่ได้
เวลาผ่านไปอย่างน่าอึดอัดราวสิบนาที นายตะวันจึงปิดแฟ้ม ถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะ
“ขอโทษที่ทำให้รอ” เขาออกตัวอย่างสุภาพก่อนหันหน้ามาทางชายหนุ่มที่กำลังก้มศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ “คุณรักตปักษ์?”
“ครับ”
คนถูกเรียนขานรับ ใจอดตุ้มต่อมไม่ได้ว่าตัวเองจะโดนตำหนิเรื่องอะไร ยิ่งถูกมองด้วยสายตาที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ของนายตะวันด้วยแล้ว รักตปักษ์รู้สึกตัวของเขาค่อยๆ หดลงทีละน้อย ชายหนุ่มยอมรับว่ากลัว ไม่ใช่เรื่องความบกพร่องในการทำงานหากเป็นแรงกดดันบางอย่างที่กำลังโอบล้อมอยู่รอบตัวเขาในเวลานี้
“เอ้อ...” ตั้งใจจะถามไปตามตรงว่า ที่ถูกเรียกให้มาพบสาเหตุมาจากเรื่องงานหรือเปล่า แต่นายตะวันกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
ลองเปิดหัวข้อสนทนาแบบนี้แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ รักตปักษ์คิดในใจแต่ก็ตอบไปตามตรง
“สบายดีครับ”
นายตะวันพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไรตอบกลับมาในทันที เขาหันไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลมาพลิกดูชื่อบริษัทที่ถูกเขียนเป็นภาษาจีน นิ่งไปอึดใจคล้ายกำลังไตร่ตรองก่อนเอ่ยปาก
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณทำงานบริษัทนี้ในหน้าที่ Messenger”
เอาแล้วไง เรื่องที่เขาเสนอหน้าไปติดต่อกับลูกค้าจริงด้วย รักตปักษ์นึกในใจก่อนตอบ
“ครับ”
นายตะวันพยักหน้าช้าๆ อย่างใจเย็นก่อนหันหน้ากลับมาและใช้สายตาของผู้บริหารจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมว่า ทำไมเมื่อสามวันก่อนคุณถึงโยนแจ็คเก็ต สวมสูทไปเจรจากับลูกค้าแทนพนักงานที่ควรทำหน้าที่นี้”
รักตปักษ์แปลกใจตัวเองที่จู่ๆ ความกลัวก่อนหน้านั้นมลายหายไปสิ้น เขารู้ตัวว่าผิดแต่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำไปเป็นเรื่องถูกต้อง วันนั้นทางบริษัทมีการนัดเจรจาเรื่องการขนส่งสินค้ากับนักธุรกิจชาวจีน แต่เพราะการจราจรเป็นอัมพาตทำให้รถติดยาวชนกันถึงสามแยก คนที่ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาติดแหง็กอยู่ระหว่างทาง เลยโทร.บอกเขาซึ่งบังเอิญอยู่ในตึกนั้นพอดีช่วยแก้ไขสถานการณ์ รักตปักษ์จึงตัดสินใจสวมสูท เดินเข้าไปพบนักธุรกิจทั้งสาม เพราะหากปล่อยให้รอต่อไปอีกแค่สามนาที การติดต่อครั้งนี้คงล้มเหลว
“มันจำเป็นครับ” เขาตอบไปตามความจริง “ลูกค้ารอมาเป็นชั่วโมง ผมเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้รอต่อไปทางบริษัทของเราจะเสียหายเลยตัดสินใจทำแบบนั้น”
“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่า หากทางนั้นรู้ว่าเขากำลังคุยอยู่กับใคร ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ทางเราแย่” นายตะวันย้อนถามโดยตาจ้องสบกับดวงตาของรักตปักษ์เขม็ง “กล้ามากเลยนะเป็นแค่ messenger แท้ๆ”
เขาหยุด มองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องก่อนพูดต่อ “เท่าที่รู้มานักธุรกิจพวกนั้นไม่ใช้ภาษาอังกฤษ แล้วคุณคุยกับพวกเขายังไง”
“ภาษาจีนสิครับ” รักตปักษ์ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ นายตะวันทำหน้าแปลกใจ
“คุณพูดได้ด้วยหรือ”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยืดอกน้อยๆ อย่างภาคภูมิใจ คนเป็นนายนิ่งอีกครั้งก่อนถามคำถามสำคัญ
“แล้วคุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
ความหมายของนายตะวันคือการเจรจาต่อรองเรื่องการรับส่งสินค้าจำนวนมหาศาล เพราะบริษัทของเขาดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ รักตปักษ์จึงอธิบาย
“ผมศึกษาจากรุ่นพี่ครับ เอ้อ กรุณาอย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ต้องการจะก้าวก่ายหน้าที่หรือสอดรู้สอดเห็นในเรื่องที่ไม่ใช่งานของตัว แต่ผมคิดว่าการทำงานที่ดี ควรรู้อะไรหลายอย่างจะได้ช่วยกันเวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกละหุก” เขาเว้นคำพูดตัวเองก่อนถามเสียงอ่อนลง “หรือว่าผมตัดสินใจผิด”
นายตะวันไม่ตอบ เขาลุกขึ้นเดินไปยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลส่งให้รักตปักษ์ “ลองอ่านดู”
ถึงยังตกอยู่ในอาการงง รักตปักษ์ก็รับซองมาเปิด ข้างในเป็นเอกสารซึ่งเป็นตัวอักษรจีน เขาไม่กล้าพอที่จะดึงมันออกมาอ่าน แต่พิจารณาจากลักษณะของรูปแบบพอจะเดาได้ว่า มันคือหนังสือสัญญา
“นี่มัน”
“ทางนั้นตอบตกลงทำธุรกิจร่วมกับเรา” นายตะวันซึ่งยืนสังเกตปฏิกิริยาของพนักงานหนุ่มพูด “และเขาฝากชมเจ้าหน้าที่ในวันนั้นมาด้วย”
น้ำเสียงของคนเป็นนายฟังแล้วใจชื้น ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมองรักตปักษ์อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อถือโชคลาง ดังนั้นเรื่องในคราวนี้จะยกให้เป็นความสามารถของคุณ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าครั้งหน้าถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากผม ห้ามทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม”
“ครับคุณตะวัน” รักตปักษ์รับคำพร้อมกับก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความขอโทษและขอบคุณไปพร้อมกัน ส่วนนายตะวันพอเห็นลูกน้องเข้าใจดีแล้วจึงกลับไปยังเก้าอี้ประจำตำแหน่ง สวมแว่นตาเพื่อเตรียมทำงานต่อ มือเลื่อนไปดึงแฟ้มหนา ส่วนปากก็พูดไปด้วย
“ไปทำงานของคุณได้แล้ว”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
รักตปักษ์ลุกขึ้นและโค้งให้อีกครั้งก่อนออกจากห้อง พอปิดประตู เขาก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก วินัยซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่แถวนั้นรีบปรี่เข้ามาทันที
“โดนเรื่องอะไรหรือรัก”
ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ เพราะเขาเองนั่นแหละที่บอกให้รักตปักษ์ติดต่อลูกค้าแทนรุ้งมณี พนักงานสาวที่ควรเป็นผู้ประสานงาน ความจริงเขาแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้จัดการแผนกได้ทราบแล้ว แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะเข้าถึงหูนายตะวัน
“ก็เรื่องที่ผมไปติดต่อลูกค้าแทนคุณรุ้งไงครับ ดีที่ทางนั้นเขาพอใจ นายเลยไม่ว่าอะไร”
คำตอบของรุ่นน้องทำให้วินัยถอนใจออกมา “ค่อยยังชั่ว ผมกลัวแทบตายว่าคุณจะโดนเล่น”
เป็นคำพูดที่กล่าวออกมาจากใจจริง เพราะวินัยเอ็นดูพนักงานรุ่นน้องคนนี้มาก ตอนได้ยินว่าถูกนายตะวันเรียก เขานึกรู้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องนี้แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นบวกหรือลบเพราะยังไม่ได้ข่าวว่าลูกค้าบอกปฏิเสธหรือตอบตกลง
“โทษด้วยนะที่ผมบอกให้คุณเป็นคนจัดการ” วินัยออกตัวเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเดือดร้อนแต่รักตปักษ์กลับยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากต้องขอโทษที่ทำให้พี่ต้องเป็นห่วง”
“แบบนั้นผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่” วินัยทำหน้าจ๋อยขณะพูด รักตปักษ์จึงอธิบายเพื่อให้คนฟังสบายใจ
“อย่าคิดแบบนั้นเลยครับพี่วินัย เพราะพี่ผมถึงมีโอกาสเรียนรู้อะไรมากมาย ได้เจรจากับนักธุรกิจต่างชาติ ได้เจอกับผู้บริหารของบริษัท ซึ่งโดยปกติแล้วพนักงานส่งเอกสารธรรมดาคงไม่โชคดีอย่างนั้นแน่ ใช่ไหมครับ”
เขาส่งประโยคท้ายด้วยรอยยิ้มกวน ใบหน้าเคร่งเครียดของวินัยจึงคลาย
“มองโลกในแง่ดีจังนะเรา” เขาพูดพลางตบไหล่รักตปักษ์ “โอเค จบเรื่องแล้ว แยกย้ายกันไปทำงาน”
สรุปง่ายๆก่อนทั้งสองจะกลับไปประจำที่โต๊ะ วินัยลงมือทำงานในส่วนของตัวเองทันที ในขณะที่รักตปักษ์ไปยืนอ่านข้อมูลย่อยบนบอร์ดประจำสำนักงาน ระหว่างที่ดูอะไรไปเรื่อยๆ เขาก็ได้ยินเสียงพูดของใครบางคนดังข้างตัว
“ขอโทษด้วยนะคะคุณรักตปักษ์”
ชายหนุ่มรู้ว่าคนพูดคือรุ้งมณี พนักงานสาวที่เป็นต้นเหตุให้เขาถูกคุณตะวันเรียกพบ แต่เขาไม่ได้นึกโกรธเธอเลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าเรื่องในวันนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัย รักตปักษ์จึงหันไปส่งยิ้มให้กับเธอ