หัตถ์เทพ ไอราวัตโกญจนาท เชฟวัย 28 รูปหล่อมาดนิ่งเสียงนุ่ม ผู้เผลอไปก่อคดีกับหนุ่มรุ่นน้อง เลยต้องเจอกับความเกรียนแบบอันลิมิตเป็นผลตอบแทน
รักตปักษ์ ว่องไวพาณิชย์รุ่งเรือง พนักงานส่งเอกสารวัย 24 เจ้าของคาวาซากิสีม่วงดำสุดจี๊ด ถูกเบรกด้วยมือของเชฟซูชิจนหน้าทิ่ม เลยหาทางแก้แค้นด้วยการไปนั่งกวนประสาทถึงร้านทุกวันหลังเลิกงาน
ทั้งคู่ต่อปากต่อคำกันทุกวันไม่เว้นวันหยุด จนเกิดความรู้สึกผูกพันบางอย่างระหว่างกันโดยไม่รู้ตัว
**********
เชฟหล่อ ห่อกลับบ้าน
บทที่ 1 การปะทะกันครั้งแรก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงหวานของพนักงานสาวประจำออฟฟิศเอ่ยขึ้นขณะเดียวกันก็ใช้สายตาจ้องชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าลงดูสมุดบันทึกว่ามีการเซ็นต์รับเอกสารที่เขานำมาส่งอย่างถูกต้องอย่างมีความนัย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนเพราะเมื่อแน่ใจว่ามีลายมือชื่อของเธอแล้ว เขาจึงเงยหน้าส่งยิ้มให้พร้อมกับพูด
“ขอบคุณครับ”
บอกแค่นั้นก่อนหมุนตัวเพื่อเตรียมไปยังลิฟต์แต่สาวสวยกลับรีบหาทางรั้งเขาไว้
“ไม่พักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนหรือคะ” ขนตาสีดำเป็นแผงเหมือนกันสาดหน้าต่างกระพือขึ้นลงในลักษณะเชิญชวน เพราะไม่บ่อยนักที่เจ้าหล่อนจะได้มีโอกาสเจอพนักงานส่งเอกสารที่ทั้งหล่อและเท่แบบนี้ พอเห็นชายหนุ่มหันหน้ากลับมาหญิงสาวก็ฉีกยิ้มกว้างแต่ต้องหุบฉับลงเมื่อได้ยินคำกล่าวปฏิเสธ
“ขอบคุณครับ แต่ผมต้องรีบไปที่อื่นต่อ อีกอย่างผมเป็นพวกรักสุขภาพเลยชอบพกน้ำดื่มของตัวเอง”
พูดจบก็หันไปกดลิฟต์อย่างไม่สนปฏิกิริยาของคนฟัง เมื่อลงไปยังชั้นล่าง เขาจึงเดินตรงไปยังรถจักรยานยนต์คู่ชีพซึ่งจอดไว้ใต้ร่มไม้ หลังจากเก็บเอกสารลงกล่องพิเศษที่ติดไว้ตรงถังน้ำมัน เขาจึงปัดเศษผงและใบไม้ออกจากเบาะก่อนนั่ง หยิบหมวกกันน็อค Shark Spartan สีม่วงดำขึ้นมาสวม สตาร์ทเครื่องปล่อยให้ล้อหมุนพาทั้งเขาและบิ๊กไบค์สีเดียวกับหมวกวิ่งออกจากลาน
หลังออกจากอาคาร พนักงานส่งเอกสารรูปหล่อผู้มีนามว่ารักตปักษ์ บิดคาวาซากินินจาไปตามทางเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นถนนที่กำลังวิ่งเป็นซอยเล็กๆ สองข้างทางมีทั้งร้านค้าและสำนักงาน เขาจึงใช้ความเร็วไม่มากนัก แต่ในระหว่างที่กำลังขี่เพลินๆ รักตปักษ์ต้องสะดุ้งเมื่อมีถุงก๊อบแก๊บสีขาวปลิววูบมาติดรองเท้า ความกลัวว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการขับขี่ เขาจึงชะลอความเร็วจนเกือบหยุดเพื่อสะบัดมันออก พอเงยหน้าขึ้นเตรียมบิดคันเร่งกลับต้องแตะเบรกอีกครั้งจนหน้าทิ่ม เมื่อมีมือของใครบางคนตะปบลงบนหมวกกันน็อค
“เฮ้ย!”
รักตปักษ์อุทานลั่น วินาทีเดียวกันนั้นความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อเห็นตัวต้นเหตุ ซึ่งเป็นผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันกำลังโบกมือบ๊าย บายให้ ก่อนกลับหลังหันเดินไปยังวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดหนีเลยรีบร้องเรียก
“อ้าว เฮ้!เดี๋ยวสิคุณ จะไม่ขอโทษกันสักคำก่อนเหรอ”
เขาพยายามข่มใจใช้คำพูดสุภาพมากที่สุด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ เพราะพอบอกที่หมายกับคนขี่มอเตอร์ไซค์แล้วชายคนนั้นก็ขึ้นนั่งซ้อนท้าย หันมาส่งยิ้มกวนประสาทให้ก่อนคนขับจะบิดคันเร่งพาทั้งรถและคนพุ่งออกจากวิน พอเห็นคู่กรณีทำท่าจะหนี รักตปักษ์จึงเร่งเครื่องตาม
“ไม่ยอมให้หนีไปได้หรอก” เขาคำรามด้วยความโกรธและเพิ่มความเร็วของรถเพราะมั่นใจว่าความแรงของบิ๊กไบค์คงตามรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างรุ่นแม่บ้านทัน แต่พอเอาเข้าจริง ความชำนาญในเส้นทางของคนขับกับขนาดของรถที่เหมาะต่อการเลี้ยวซิกแซกแทรกผ่านช่องว่างระหว่างรถยนต์ ไม่ถึงอึดใจจักรยานยนต์รับจ้างกับผู้ชายคันนั้นก็หายไป ตอนแรกรักตปักษ์พยายามขับตามแต่ด้วยขนาดของบิ๊กไบค์ที่ใหญ่กว่าจักรยานยนต์ทั่วไป นินจาคันเก่งจึงติดแหงกอยู่ตรงกลางระหว่างรถประจำทางกับรถยนต์ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายรอดพ้นเงื้อมมือไปได้ ชายหนุ่มจึงทุบกำปั้นเปรี้ยงบนแฮนด์รถตัวเอง
“โธ่เว้ย!” เขาสบถลั่นด้วยความเจ็บใจ เป็นจังหวะเดียวกับการจราจรเริ่มเคลื่อนตัว ชายหนุ่มจึงเร่งเครื่องแซงรถยนต์ไปข้ามไฟแดงไปอีกสองแยกด้วยหวังว่าอาจจะตามหมอนั่นทัน แต่ต้องพบกับความผิดหวัง รักตปักษ์จึงจำต้องล้มเลิกความคิดและเบนเข็มกลับที่ทำงาน
รักตปักษ์ทำงานกับบริษัทนำเข้า-ส่งออกสินค้าแห่งหนึ่ง มีหน้าที่เป็นพนักงานส่งเอกสาร หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า messenger มันเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับคนจบปริญญาโทในหลักสูตร International Management แถมพูดได้สามภาษาเท่าใดนัก แต่เจ้าตัวไม่สน เพราะเขาคิดว่าการทำงานเปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ เริ่มจากเพาะเมล็ด ปล่อยรากแก้วให้หยั่งลึกลงไปในดิน ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้น กลายเป็นไม้ใหญ่มีลำต้นมั่นคง แตกกิ่งก้านสาขาสร้างร่มเงาเป็นที่พักอาศัยของสรรพสัตว์นานับชนิด
ฟังเหมือนเหตุผลของคนอายุเกิน 40 แต่สำหรับรักตปักษ์แล้ว ความเย้ายวนใจของงานในตำแหน่งนี้อยู่ตรงการได้พบปะกับผู้คนมากหน้า ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาสามารถสวมแจ็คเก็ตใส่หมวกกันน็อคยี่ห้อชาร์คสปาตันอันโปรด ขี่รถจักรยานยนต์สุดรักสุดหวงไปตามที่ต่างๆ ได้อย่างเสรี ไม่ต้องมากังวลว่าจะต้องรักษาภาพพจน์ ใส่สูทผูกไทขับรถยนต์หรูไปติดต่องานเหมือนพนักงานออฟฟิศคนอื่น
การทำงานในแต่ละวันมีทั้งความราบรื่นและปัญหาขลุกขลักบ้างสลับกันไป หากรักตปักษ์กลับไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดใจเลยสักครั้ง ยกเว้นวันนี้ การถูกคนแปลกหน้าตะปบหมวกกันน็อคที่เขานั่งขัดถูทำความสะอาดจนขึ้นเงามันวับ แถมยังส่งยิ้มกวนประสาทส่งท้าย ถือเป็นการหลู่เกียรติอย่างไม่น่าให้อภัย ที่น่าเจ็บใจคือทั้งที่เจ้าคามุยอิของเขาแรงกว่ามอเตอร์ไซด์แม่บ้าน แต่ดันทำพลาดปล่อยให้หมอนั่นหนีรอดไปได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห !
คาวาซากินินจาพุ่งปราดเข้าที่จอดตามความแรงของอารมณ์คนขับ แถมยังเบิ้ลเครื่องเป็นการส่งท้ายก่อนดับเครื่องยนต์ ระหว่างง่วนอยู่กับการหยิบกระเป๋าเก็บหมวกกันน็อค ยามซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าพอเห็นท่าทางแปลกๆ ของรักตปักษ์ จึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบเหวี่ยงอารมณ์ใส่คนอื่น ชายหนุ่มจึงปัดความขุ่นมัวทิ้ง ทำเป็นตีหน้าเซ่อหันไปส่งยิ้มกวนให้ก่อนตอบ
“เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอ”
“ทุกทีคุณจะเข้ามาเงียบๆ” ยามพูดพลางชำเลืองตามองรถจักรยานยนต์ของรักตปักษ์ ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง
“มาแบบเดียวกันทุกวันมันก็เบื่อแย่สิครับ นี่ผมกำลังคิดว่าครั้งต่อไปจะลองยกล้อหน้าวิ่งเข้ามา”
เป็นการบอกเชิงทีเล่นทีจริงแต่กลับทำให้คนฟังตกใจจนต้องรีบโบกมือ
“โอย อย่าเชียวนะครับ ขืนทำแบบนั้นจริงมีหวังผมได้หัวใจวายตายกันพอดี”
สีหน้าตระหนกของยามวัยเฉียด 50 ทำให้รักตปักษ์ขำจนต้องหัวเราะออกมา
“ผมพูดเล่นน่ะลุง” พูดพลางหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องไหล่ “ผมต้องรีบเอาเอกสารขึ้นไปส่ง ไว้คุยกันวันหลังนะครับ”
ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนเดินไปขึ้นลิฟต์ ส่งเอกสารที่ได้รับมาทั้งหมดรวมถึงแสดงหลักฐานการตอบรับจากบริษัทคู่ค้าแล้วเขาจึงกลับไปนั่งโต๊ะเพื่อทำรายงานและสรุปข้อเสนอบางอย่างที่เขาได้รับมาจากบริษัทแห่งหนึ่ง มันอาจจะเป็นงานนอกเหนือหน้าที่ของ messenger หากความเชื่อใจในฝีมือรวมถึงคารมของรักตปักษ์ ผู้จัดการฝ่ายจึงแนะนำให้เขาพกสูทติดตัวไปด้วยทุกครั้งเพื่อที่ว่าจะได้ติดต่อกับลูกค้าแทนพนักงานที่ทำหน้าที่นี้โดยตรงแต่ไปไม่ทันเนื่องจากติดงานอื่นหรือค้างแหงกอยู่กลางการจราจรอันแออัด ซึ่งรักตปักษ์เองก็ยินดีและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างไม่มีที่ติ พักหลังงานส่วนใหญ่ของเขาจึงเน้นหนักไปในด้านการติดต่อมากกว่าส่งเอกสาร วันนี้เองก็เช่นกัน เขาได้พบกับนักธุรกิจชาวเยอรมัน โน้มน้าวให้บริษัทแม่ทางฝั่งตะวันตกตอบตกลงส่งสินค้าผ่านบริษัทเขาได้สำเร็จ
เขียนรายงานส่งผู้จัดการฝ่ายเสร็จก็เป็นเวลาเลิกงานพอดี รักตปักษ์จึงฉวยแจ็คเก็ตตัวเก่งมาสวม ตอนกำลังก้าวออกจากห้อง วินัย รุ่นพี่ในแผนกได้เอ่ยถามขึ้น
“รีบกลับเหรอรัก”
ชายหนุ่มชะงักมือที่เตรียมรูดบัตรผ่านเครื่องตอกเวลา หันหน้าไปย้อนคำถามกลับ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายมีงานด่วน
“ก็ไม่รีบหรอกครับ พี่นัยจะให้ผมทำอะไร”
“เฮ้ย เปล่า พอดีวันนี้พวกผมนัดไปกินเบียร์กัน รักจะไปด้วยมั้ยล่ะ” วินัยถาม พอเห็นรักตปักษ์ทำท่าคิด เลยหยอดของล่อใจ “เบียร์ลาเวนเดอร์จากฮอกไกโดเชียวนะ เห็นว่าหมดฤดูนี้แล้วกว่าจะได้กินอีกทีก็ปีหน้า นั่นแน่ ! ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าสนใจขึ้นมาแล้วละสิ ถ้าจะไปเดี๋ยวผมส่งพิกัดให้”
ไม่พูดเปล่ายังดึงสมาร์ตโฟนส่งชื่อร้านอาหารเข้าไลน์ของรักตปักษ์ ชายหนุ่มรีบเปิดจีพีเอสเพื่อหาตำแหน่งแล้วพยักหน้า
“แถวอโศกนี่เอง ว่าแต่พวกพี่จะไปกันยังไง” ถามไปแบบนั้นเพราะกลุ่มของวินัยมีด้วยกันห้าคน อีกฝ่ายหันไปตบบ่าเพื่อนตัวท้วมแก้มยุ้ยที่กำลังถือกุญแจรถอยู่ข้างๆ
“ไปรถไอ้ปลาทองมันน่ะ ขับไปคันเดียวจะได้ไม่ต้องมัวมานั่งรอกว่าจะครบ รักขี่มอเตอร์ไซด์ล่วงหน้าไปก่อนเลยไม่ต้องห่วงพวกผมหรอก”
ปลาทองที่พูดถึงคือสุทธิพงศ์ หัวหน้างานขายและจัดส่งสินค้า ที่ถูกเรียกแบบนั้นเพราะรูปร่างกับใบหน้าอวบอูมดูเผินๆคล้ายปลาหัววุ้น ได้ยินแบบนั้นแล้วรักตปักษ์จึงพยักหน้ารับ
“โอเค งั้นเจอกันที่ร้านนะครับ”
เขากดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง เดินรอบรถจักรยานยนต์ไปพลางสวมถุงมือไปพลางเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีวัตถุประหลาดบนพื้น เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเจอตะปูยาวสามนิ้วใต้ล้อ ในความคิดของรักตปักษ์มันอาจเป็นไปได้ทั้งเรื่องบังเอิญและถูกคนแกล้ง เพราะตึกแห่งนี้ไม่ได้มีแค่บริษัทที่เขาทำงานด้วยเท่านั้น ใครบางคนคงไม่ชอบหรือหมั่นไส้ที่พนักงานส่งเอกสารธรรมดาบังอาจขี่บิ๊กไบค์ราคาแพงแถมแต่งตัวเต็มยศไม่ต่างจากนักแข่งโมโตครอสมาทำงาน
มุมปากของรักตปักษ์ยกขึ้นเล็กน้อย ขนาดบิ๊กไบค์ธรรมดายังมีคนหาเรื่องแกล้ง ถ้าเขาเอาบีเอ็มอีกคันมาใช้แล้วละก็ มีหวังได้อกแตกตายกันเป็นแถว
หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มจึงสวมหมวก ติดเครื่อง บิดคันเร่งพาคาวาซากิคันงามวิ่งออกจากลานจอดรถเข้าสู่ถนนมุ่งหน้าตรงไปยังที่หมาย ใช้เวลาไม่นานรถของเขาก็หยุดตรงที่จอดของร้านซึ่งมีป้ายเป็นอักษรญี่ปุ่นตัวโตว่า ฮิราเมะ ด้านบนเป็นไม้แกะสลักรูปปลาตาเดียวอันเป็นที่มาของชื่อร้าน ลงจากรถเก็บหมวกเข้ากล่องแล้ว รักตปักษ์จึงเดินไปยังประตูทางเข้า พนักงานสาวในชุดกิโมโนหน้าตาน่ารักโค้งให้เขาอย่างนอบน้อม
“อิรัชชัยมะเซ” เธอกล่าวในภาษาญี่ปุ่นก่อน “ยินดีต้อนรับ เชิญด้านในเลยค่ะ” พูดประโยคหลังด้วยภาษาไทยพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ก่อนตอบอย่างสุภาพ
“ผมขอรอเพื่อนก่อนนะครับ”
เธอคนนั้นก้มศีรษะลงเชิงตอบรับก่อนเลื่อนมือข้างนั้นไปยังด้านข้างที่มีเก้าอี้วางเรียงไว้ “ถ้าอย่างนั้นเชิญนั่งรอตรงนี้ก่อนค่ะ จะถอดแจ็คเก็ตก็ได้นะคะ ทางร้านเรามีล็อคเกอร์บริการฟรีค่ะ”
ตอนแรกรักตปักษ์จะกล่าวปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าวแล้ว เขาจึงถอดเสื้อคลุมตัวเก่งส่งให้พนักงาน เธอนำมันเข้าไปในร้านและกลับออกมาพร้อมแผ่นพลาสติกที่มีหมายเลขกำกับ ชายหนุ่มนัดมันลงกระเป๋ากางเกงก่อนหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อเล่นเกมฆ่าเวลา โชคดีที่การจราจรในช่วงนั้นยังไม่คับคั่งมากนัก รอไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพรรคพวกก็ตามมาสมทบ พอลงจากรถและเห็นคนมาก่อนกำลังนั่งเล่นเกมอย่างเอาเป็นเอาตาย วินัยจึงเอ่ยเรียก
“รัก”
เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 1 การปะทะครั้งแรก
รักตปักษ์ ว่องไวพาณิชย์รุ่งเรือง พนักงานส่งเอกสารวัย 24 เจ้าของคาวาซากิสีม่วงดำสุดจี๊ด ถูกเบรกด้วยมือของเชฟซูชิจนหน้าทิ่ม เลยหาทางแก้แค้นด้วยการไปนั่งกวนประสาทถึงร้านทุกวันหลังเลิกงาน
ทั้งคู่ต่อปากต่อคำกันทุกวันไม่เว้นวันหยุด จนเกิดความรู้สึกผูกพันบางอย่างระหว่างกันโดยไม่รู้ตัว
**********
เชฟหล่อ ห่อกลับบ้าน
บทที่ 1 การปะทะกันครั้งแรก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงหวานของพนักงานสาวประจำออฟฟิศเอ่ยขึ้นขณะเดียวกันก็ใช้สายตาจ้องชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าลงดูสมุดบันทึกว่ามีการเซ็นต์รับเอกสารที่เขานำมาส่งอย่างถูกต้องอย่างมีความนัย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนเพราะเมื่อแน่ใจว่ามีลายมือชื่อของเธอแล้ว เขาจึงเงยหน้าส่งยิ้มให้พร้อมกับพูด
“ขอบคุณครับ”
บอกแค่นั้นก่อนหมุนตัวเพื่อเตรียมไปยังลิฟต์แต่สาวสวยกลับรีบหาทางรั้งเขาไว้
“ไม่พักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนหรือคะ” ขนตาสีดำเป็นแผงเหมือนกันสาดหน้าต่างกระพือขึ้นลงในลักษณะเชิญชวน เพราะไม่บ่อยนักที่เจ้าหล่อนจะได้มีโอกาสเจอพนักงานส่งเอกสารที่ทั้งหล่อและเท่แบบนี้ พอเห็นชายหนุ่มหันหน้ากลับมาหญิงสาวก็ฉีกยิ้มกว้างแต่ต้องหุบฉับลงเมื่อได้ยินคำกล่าวปฏิเสธ
“ขอบคุณครับ แต่ผมต้องรีบไปที่อื่นต่อ อีกอย่างผมเป็นพวกรักสุขภาพเลยชอบพกน้ำดื่มของตัวเอง”
พูดจบก็หันไปกดลิฟต์อย่างไม่สนปฏิกิริยาของคนฟัง เมื่อลงไปยังชั้นล่าง เขาจึงเดินตรงไปยังรถจักรยานยนต์คู่ชีพซึ่งจอดไว้ใต้ร่มไม้ หลังจากเก็บเอกสารลงกล่องพิเศษที่ติดไว้ตรงถังน้ำมัน เขาจึงปัดเศษผงและใบไม้ออกจากเบาะก่อนนั่ง หยิบหมวกกันน็อค Shark Spartan สีม่วงดำขึ้นมาสวม สตาร์ทเครื่องปล่อยให้ล้อหมุนพาทั้งเขาและบิ๊กไบค์สีเดียวกับหมวกวิ่งออกจากลาน
หลังออกจากอาคาร พนักงานส่งเอกสารรูปหล่อผู้มีนามว่ารักตปักษ์ บิดคาวาซากินินจาไปตามทางเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นถนนที่กำลังวิ่งเป็นซอยเล็กๆ สองข้างทางมีทั้งร้านค้าและสำนักงาน เขาจึงใช้ความเร็วไม่มากนัก แต่ในระหว่างที่กำลังขี่เพลินๆ รักตปักษ์ต้องสะดุ้งเมื่อมีถุงก๊อบแก๊บสีขาวปลิววูบมาติดรองเท้า ความกลัวว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการขับขี่ เขาจึงชะลอความเร็วจนเกือบหยุดเพื่อสะบัดมันออก พอเงยหน้าขึ้นเตรียมบิดคันเร่งกลับต้องแตะเบรกอีกครั้งจนหน้าทิ่ม เมื่อมีมือของใครบางคนตะปบลงบนหมวกกันน็อค
“เฮ้ย!”
รักตปักษ์อุทานลั่น วินาทีเดียวกันนั้นความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อเห็นตัวต้นเหตุ ซึ่งเป็นผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันกำลังโบกมือบ๊าย บายให้ ก่อนกลับหลังหันเดินไปยังวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดหนีเลยรีบร้องเรียก
“อ้าว เฮ้!เดี๋ยวสิคุณ จะไม่ขอโทษกันสักคำก่อนเหรอ”
เขาพยายามข่มใจใช้คำพูดสุภาพมากที่สุด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ เพราะพอบอกที่หมายกับคนขี่มอเตอร์ไซค์แล้วชายคนนั้นก็ขึ้นนั่งซ้อนท้าย หันมาส่งยิ้มกวนประสาทให้ก่อนคนขับจะบิดคันเร่งพาทั้งรถและคนพุ่งออกจากวิน พอเห็นคู่กรณีทำท่าจะหนี รักตปักษ์จึงเร่งเครื่องตาม
“ไม่ยอมให้หนีไปได้หรอก” เขาคำรามด้วยความโกรธและเพิ่มความเร็วของรถเพราะมั่นใจว่าความแรงของบิ๊กไบค์คงตามรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างรุ่นแม่บ้านทัน แต่พอเอาเข้าจริง ความชำนาญในเส้นทางของคนขับกับขนาดของรถที่เหมาะต่อการเลี้ยวซิกแซกแทรกผ่านช่องว่างระหว่างรถยนต์ ไม่ถึงอึดใจจักรยานยนต์รับจ้างกับผู้ชายคันนั้นก็หายไป ตอนแรกรักตปักษ์พยายามขับตามแต่ด้วยขนาดของบิ๊กไบค์ที่ใหญ่กว่าจักรยานยนต์ทั่วไป นินจาคันเก่งจึงติดแหงกอยู่ตรงกลางระหว่างรถประจำทางกับรถยนต์ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายรอดพ้นเงื้อมมือไปได้ ชายหนุ่มจึงทุบกำปั้นเปรี้ยงบนแฮนด์รถตัวเอง
“โธ่เว้ย!” เขาสบถลั่นด้วยความเจ็บใจ เป็นจังหวะเดียวกับการจราจรเริ่มเคลื่อนตัว ชายหนุ่มจึงเร่งเครื่องแซงรถยนต์ไปข้ามไฟแดงไปอีกสองแยกด้วยหวังว่าอาจจะตามหมอนั่นทัน แต่ต้องพบกับความผิดหวัง รักตปักษ์จึงจำต้องล้มเลิกความคิดและเบนเข็มกลับที่ทำงาน
รักตปักษ์ทำงานกับบริษัทนำเข้า-ส่งออกสินค้าแห่งหนึ่ง มีหน้าที่เป็นพนักงานส่งเอกสาร หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า messenger มันเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับคนจบปริญญาโทในหลักสูตร International Management แถมพูดได้สามภาษาเท่าใดนัก แต่เจ้าตัวไม่สน เพราะเขาคิดว่าการทำงานเปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ เริ่มจากเพาะเมล็ด ปล่อยรากแก้วให้หยั่งลึกลงไปในดิน ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้น กลายเป็นไม้ใหญ่มีลำต้นมั่นคง แตกกิ่งก้านสาขาสร้างร่มเงาเป็นที่พักอาศัยของสรรพสัตว์นานับชนิด
ฟังเหมือนเหตุผลของคนอายุเกิน 40 แต่สำหรับรักตปักษ์แล้ว ความเย้ายวนใจของงานในตำแหน่งนี้อยู่ตรงการได้พบปะกับผู้คนมากหน้า ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาสามารถสวมแจ็คเก็ตใส่หมวกกันน็อคยี่ห้อชาร์คสปาตันอันโปรด ขี่รถจักรยานยนต์สุดรักสุดหวงไปตามที่ต่างๆ ได้อย่างเสรี ไม่ต้องมากังวลว่าจะต้องรักษาภาพพจน์ ใส่สูทผูกไทขับรถยนต์หรูไปติดต่องานเหมือนพนักงานออฟฟิศคนอื่น
การทำงานในแต่ละวันมีทั้งความราบรื่นและปัญหาขลุกขลักบ้างสลับกันไป หากรักตปักษ์กลับไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดใจเลยสักครั้ง ยกเว้นวันนี้ การถูกคนแปลกหน้าตะปบหมวกกันน็อคที่เขานั่งขัดถูทำความสะอาดจนขึ้นเงามันวับ แถมยังส่งยิ้มกวนประสาทส่งท้าย ถือเป็นการหลู่เกียรติอย่างไม่น่าให้อภัย ที่น่าเจ็บใจคือทั้งที่เจ้าคามุยอิของเขาแรงกว่ามอเตอร์ไซด์แม่บ้าน แต่ดันทำพลาดปล่อยให้หมอนั่นหนีรอดไปได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห !
คาวาซากินินจาพุ่งปราดเข้าที่จอดตามความแรงของอารมณ์คนขับ แถมยังเบิ้ลเครื่องเป็นการส่งท้ายก่อนดับเครื่องยนต์ ระหว่างง่วนอยู่กับการหยิบกระเป๋าเก็บหมวกกันน็อค ยามซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าพอเห็นท่าทางแปลกๆ ของรักตปักษ์ จึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบเหวี่ยงอารมณ์ใส่คนอื่น ชายหนุ่มจึงปัดความขุ่นมัวทิ้ง ทำเป็นตีหน้าเซ่อหันไปส่งยิ้มกวนให้ก่อนตอบ
“เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอ”
“ทุกทีคุณจะเข้ามาเงียบๆ” ยามพูดพลางชำเลืองตามองรถจักรยานยนต์ของรักตปักษ์ ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง
“มาแบบเดียวกันทุกวันมันก็เบื่อแย่สิครับ นี่ผมกำลังคิดว่าครั้งต่อไปจะลองยกล้อหน้าวิ่งเข้ามา”
เป็นการบอกเชิงทีเล่นทีจริงแต่กลับทำให้คนฟังตกใจจนต้องรีบโบกมือ
“โอย อย่าเชียวนะครับ ขืนทำแบบนั้นจริงมีหวังผมได้หัวใจวายตายกันพอดี”
สีหน้าตระหนกของยามวัยเฉียด 50 ทำให้รักตปักษ์ขำจนต้องหัวเราะออกมา
“ผมพูดเล่นน่ะลุง” พูดพลางหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องไหล่ “ผมต้องรีบเอาเอกสารขึ้นไปส่ง ไว้คุยกันวันหลังนะครับ”
ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนเดินไปขึ้นลิฟต์ ส่งเอกสารที่ได้รับมาทั้งหมดรวมถึงแสดงหลักฐานการตอบรับจากบริษัทคู่ค้าแล้วเขาจึงกลับไปนั่งโต๊ะเพื่อทำรายงานและสรุปข้อเสนอบางอย่างที่เขาได้รับมาจากบริษัทแห่งหนึ่ง มันอาจจะเป็นงานนอกเหนือหน้าที่ของ messenger หากความเชื่อใจในฝีมือรวมถึงคารมของรักตปักษ์ ผู้จัดการฝ่ายจึงแนะนำให้เขาพกสูทติดตัวไปด้วยทุกครั้งเพื่อที่ว่าจะได้ติดต่อกับลูกค้าแทนพนักงานที่ทำหน้าที่นี้โดยตรงแต่ไปไม่ทันเนื่องจากติดงานอื่นหรือค้างแหงกอยู่กลางการจราจรอันแออัด ซึ่งรักตปักษ์เองก็ยินดีและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างไม่มีที่ติ พักหลังงานส่วนใหญ่ของเขาจึงเน้นหนักไปในด้านการติดต่อมากกว่าส่งเอกสาร วันนี้เองก็เช่นกัน เขาได้พบกับนักธุรกิจชาวเยอรมัน โน้มน้าวให้บริษัทแม่ทางฝั่งตะวันตกตอบตกลงส่งสินค้าผ่านบริษัทเขาได้สำเร็จ
เขียนรายงานส่งผู้จัดการฝ่ายเสร็จก็เป็นเวลาเลิกงานพอดี รักตปักษ์จึงฉวยแจ็คเก็ตตัวเก่งมาสวม ตอนกำลังก้าวออกจากห้อง วินัย รุ่นพี่ในแผนกได้เอ่ยถามขึ้น
“รีบกลับเหรอรัก”
ชายหนุ่มชะงักมือที่เตรียมรูดบัตรผ่านเครื่องตอกเวลา หันหน้าไปย้อนคำถามกลับ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายมีงานด่วน
“ก็ไม่รีบหรอกครับ พี่นัยจะให้ผมทำอะไร”
“เฮ้ย เปล่า พอดีวันนี้พวกผมนัดไปกินเบียร์กัน รักจะไปด้วยมั้ยล่ะ” วินัยถาม พอเห็นรักตปักษ์ทำท่าคิด เลยหยอดของล่อใจ “เบียร์ลาเวนเดอร์จากฮอกไกโดเชียวนะ เห็นว่าหมดฤดูนี้แล้วกว่าจะได้กินอีกทีก็ปีหน้า นั่นแน่ ! ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าสนใจขึ้นมาแล้วละสิ ถ้าจะไปเดี๋ยวผมส่งพิกัดให้”
ไม่พูดเปล่ายังดึงสมาร์ตโฟนส่งชื่อร้านอาหารเข้าไลน์ของรักตปักษ์ ชายหนุ่มรีบเปิดจีพีเอสเพื่อหาตำแหน่งแล้วพยักหน้า
“แถวอโศกนี่เอง ว่าแต่พวกพี่จะไปกันยังไง” ถามไปแบบนั้นเพราะกลุ่มของวินัยมีด้วยกันห้าคน อีกฝ่ายหันไปตบบ่าเพื่อนตัวท้วมแก้มยุ้ยที่กำลังถือกุญแจรถอยู่ข้างๆ
“ไปรถไอ้ปลาทองมันน่ะ ขับไปคันเดียวจะได้ไม่ต้องมัวมานั่งรอกว่าจะครบ รักขี่มอเตอร์ไซด์ล่วงหน้าไปก่อนเลยไม่ต้องห่วงพวกผมหรอก”
ปลาทองที่พูดถึงคือสุทธิพงศ์ หัวหน้างานขายและจัดส่งสินค้า ที่ถูกเรียกแบบนั้นเพราะรูปร่างกับใบหน้าอวบอูมดูเผินๆคล้ายปลาหัววุ้น ได้ยินแบบนั้นแล้วรักตปักษ์จึงพยักหน้ารับ
“โอเค งั้นเจอกันที่ร้านนะครับ”
เขากดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง เดินรอบรถจักรยานยนต์ไปพลางสวมถุงมือไปพลางเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีวัตถุประหลาดบนพื้น เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเจอตะปูยาวสามนิ้วใต้ล้อ ในความคิดของรักตปักษ์มันอาจเป็นไปได้ทั้งเรื่องบังเอิญและถูกคนแกล้ง เพราะตึกแห่งนี้ไม่ได้มีแค่บริษัทที่เขาทำงานด้วยเท่านั้น ใครบางคนคงไม่ชอบหรือหมั่นไส้ที่พนักงานส่งเอกสารธรรมดาบังอาจขี่บิ๊กไบค์ราคาแพงแถมแต่งตัวเต็มยศไม่ต่างจากนักแข่งโมโตครอสมาทำงาน
มุมปากของรักตปักษ์ยกขึ้นเล็กน้อย ขนาดบิ๊กไบค์ธรรมดายังมีคนหาเรื่องแกล้ง ถ้าเขาเอาบีเอ็มอีกคันมาใช้แล้วละก็ มีหวังได้อกแตกตายกันเป็นแถว
หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มจึงสวมหมวก ติดเครื่อง บิดคันเร่งพาคาวาซากิคันงามวิ่งออกจากลานจอดรถเข้าสู่ถนนมุ่งหน้าตรงไปยังที่หมาย ใช้เวลาไม่นานรถของเขาก็หยุดตรงที่จอดของร้านซึ่งมีป้ายเป็นอักษรญี่ปุ่นตัวโตว่า ฮิราเมะ ด้านบนเป็นไม้แกะสลักรูปปลาตาเดียวอันเป็นที่มาของชื่อร้าน ลงจากรถเก็บหมวกเข้ากล่องแล้ว รักตปักษ์จึงเดินไปยังประตูทางเข้า พนักงานสาวในชุดกิโมโนหน้าตาน่ารักโค้งให้เขาอย่างนอบน้อม
“อิรัชชัยมะเซ” เธอกล่าวในภาษาญี่ปุ่นก่อน “ยินดีต้อนรับ เชิญด้านในเลยค่ะ” พูดประโยคหลังด้วยภาษาไทยพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ก่อนตอบอย่างสุภาพ
“ผมขอรอเพื่อนก่อนนะครับ”
เธอคนนั้นก้มศีรษะลงเชิงตอบรับก่อนเลื่อนมือข้างนั้นไปยังด้านข้างที่มีเก้าอี้วางเรียงไว้ “ถ้าอย่างนั้นเชิญนั่งรอตรงนี้ก่อนค่ะ จะถอดแจ็คเก็ตก็ได้นะคะ ทางร้านเรามีล็อคเกอร์บริการฟรีค่ะ”
ตอนแรกรักตปักษ์จะกล่าวปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าวแล้ว เขาจึงถอดเสื้อคลุมตัวเก่งส่งให้พนักงาน เธอนำมันเข้าไปในร้านและกลับออกมาพร้อมแผ่นพลาสติกที่มีหมายเลขกำกับ ชายหนุ่มนัดมันลงกระเป๋ากางเกงก่อนหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อเล่นเกมฆ่าเวลา โชคดีที่การจราจรในช่วงนั้นยังไม่คับคั่งมากนัก รอไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพรรคพวกก็ตามมาสมทบ พอลงจากรถและเห็นคนมาก่อนกำลังนั่งเล่นเกมอย่างเอาเป็นเอาตาย วินัยจึงเอ่ยเรียก
“รัก”