หนี
สายฝนเย็นเฉียบสาดกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตลอดบ่าย ร่างน้อยสะดุ้งทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่า ด้วยหวาดกลัวคมขวานรามสูรซึ่งวิ่งไล่ตามนางเมขลาจะพลาดพลั้งลงมาใส่ร่างตน ทั้งที่หนาวเหน็บใจจะขาดยังกัดฟันฝืนเพราะทิฐิแรงกล้าว่าอย่างไรก็ต้องหนีให้พ้น
ในที่สุดค่ำวันนั้นก็ถึงจุดหมายอันเป็นหลุมใต้ดินของเจ้าลูกครึ่งยักษ์กับมารดา
“อะ...อกิญจน์!”
นางผู้บินตากฝนมาแต่ไกลทั้งทุบประตูทั้งร้องเรียกแข่งเสียงมรสุม “ดะ...ได้โปรดเถิด ข้าหนาวจนจะทนไม่ไหวละ...แล้ว” นางน้อยเสียงสั่น ดึงผ้าชุบน้ำมันกันฝนกระชับเข้าแนบร่าง
“ปณารี!!! เจ้ามาได้อย่างไรกัน ฝนตกหนักเพียงนี้”
สวรรค์ทรงโปรด...ในที่สุดผู้ที่นางเฝ้ารอก็ปรากฏร่าง...อกิญจน์ “ช่วยข้าด้วย ข้า...หนาวเหลือกะ...เกิน”
ชายหนุ่มรีบพานางกินรีเข้ามาในโพรงพัก บรรยากาศภายในห้องใต้ดินอบอุ่นผิดกับภายนอกช่วยทำให้ผู้ที่กำลังตัวซีดปากสั่นรู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก
“คุณพระช่วย! ปณารี!” นางนนทรีอุทาน รีบเดินเข้ามาหาพร้อมผ้าแห้งผืนหนึ่ง “ถอดปีกออกก่อนเถิด ป้าจะได้ช่วยเช็ดตัวให้เจ้า” แล้วหันไปทางลูกชาย “ลูกก็ออกไปปิดปากโพรงกันน้ำมิให้ไหลเข้ามาเถิด นางจะได้ผลัดผ้า”
หลังร่างผอมสูงจากไปนางกินรีจึงสลัดปีกออก ปลดชุดเปียกแฉะแล้วรับผ้าแห้งมาพันร่าง
“เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดรึเจ้าจึงได้บินฝ่าพายุหนักมาเช่นนี้”
“เออ...” นางน้อยกระอักกระอ่วน “คือว่า...ข้า ข้าหนีออกจากบ้านมาจ้ะท่านป้า”
“จริงหรือนี่!” นางอัปสรสีหะถึงกับยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก
รอจนอกิญจน์กลับมา ปณารีจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เจ้าบ้านฟังเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ท่านแม่คงอยากให้ข้าไปเป็นสนมของพระโอรสกัณฐ์กีรติอันใดนั่นจนตัวสั่น ข้าไม่ไปดอก ให้ตายข้าก็ไม่ไป!” นางปีกขาวข่มความหนาวเย็นกล่าวออกมาด้วยดวงตารื้นน้ำ
“เฮ้อ...” นางนนทรีถอนใจแรง ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำปฏิเสธเสียงแข็งนี้
“ทั่วทั้งกามภูมิ นอกจากสามเทพตรีมูรติแล้วยังจะมีผู้ใดมีฤทธิ์เหนือกว่าพญาเวนไตยราชปักษีอีกเล่า แม้พญาอัศกัณฐ์จะไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้นหากก็สืบสายเลือดเป็นเหลนโดยตรง เจ้าหนีมาเช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการทำลายน้ำใจเผ่าพันธุ์พระสุบรรณอย่างไม่ไว้หน้าดอกรึ”
น้ำเสียงกังวลนี้ทำเอาผู้มาขออาศัยก้มหน้าสำนึกผิด ปณารีบีบมือตัวเองแน่น “ข้าหนีมาที่นี่อาจทำให้ท่านป้าและ อกิญจน์เดือดร้อนได้ โปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้า...ข้าไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งผู้ใดจริงๆ”
บ้านพักใต้ดินเงียบกริบ มีเพียงเสียงฟืนลั่นดังลอดมาจากกองเพลิงเบาๆ คล้ายกลัวผู้ใดจะได้ยิน สองแม่ลูกได้แต่มองหน้ากันไปมา
“เจ้าบินมาไกลคงล้านัก นอนพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้หายเหนื่อยแล้วค่อยคิดอ่านกันอีกหน” ในที่สุดนางอัปสรสีหะก็ลุกขึ้นปัดเตียงจัดผ้าห่ม “บ้านข้าไม่มีฟูกหวังว่าเจ้าคงไม่รังเกียจ มานอนตรงนี้เถิดหนา ข้าจะไปนอนกับ อกิญจน์เอง”
“ได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยจ้ะท่านป้า ข้าไม่ต้องเกาะกิ่งไม้นอนตากฝนก็บุญเท่าใดแล้ว” ว่าแล้วนางผู้หนีออกจากบ้านมาจึงล้มตัวลงนอน เนื่องด้วยเหนื่อยจัดเพียงครู่เดียวก็เผลอหลับ หากเพราะความกังวลใจอุปทานจึงตามมาหลอกหลอน นางฝันว่ากัณฐ์กีรติพิโรธยิ่ง ตามมาเข่นฆ่าทุกชีวิตในคณะปาจารีย์พิลาส นางตกใจตื่นขึ้นเบิกตาโพลงเหงื่อผุดท่วมร่าง ดีว่าขณะนี้ในห้องมืดสนิท คงไม่มีผู้ใดมองเห็นความหวาดกลัวของนางได้ แต่ขณะกำลังข่มตาให้หลับลงอีกครั้งกลับได้ยินสองแม่ลูกกระซิบคำแก่กัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ พานางหนีไปเถิด”
“เหตุใดแม่จึงกล่าวเช่นนี้!” เจ้ายักษ์อุทาน “หากลูกไป ใครจะอยู่ดูแลแม่เล่า!”
“ไม่มีเจ้า แม่ก็กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านอัปสรสีหะเหมือนเดิมได้ ลุงป้าของเจ้าไม่รังเกียจแม่ดอก”
“แม่...แต่ว่า...แต่ว่า...” อกิญจน์อ้ำอึ้ง
“อกิญจน์ เจ้าคิดอย่างไรกับปณารีแม้ไม่เคยพูดออกมาก็ใช่ว่าแม่จะไม่รู้...หากเจ้าไม่อยากไป แม่จะเป็นผู้ขอร้องเจ้าให้พานางหนีไปเอง” เสียงนางอัปสรสีหะฟังดูอ่อนโยนนัก
“แม่...รู้แล้วรึ” เจ้าลูกครึ่งบีบเสียงคล้ายว่าแปลกใจยิ่ง
“ใช่ แม่รู้...แปดสิบปีที่เลี้ยงดูเจ้ามา เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าจะหลบสายตาแม่ได้”
ปณารีซึ่งแอบฟังความอยู่เขินอายจนใจเต้นแรง แท้จริงแล้วอกิญจน์เองก็แอบมีใจให้นางหรือนี่ นางรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของท่านป้าเหลือเกินที่อนุญาตให้บุตรชายเพียงคนเดียวช่วยเหลือตน
พลัน แสงแห่งสายฟ้าก็แปลบปลาบเข้ามาตามด้วยเสียงดังเปรี้ยง สองแม่ลูกจึงเงียบเสียงลง

เช้าวันใหม่มาถึง ฝนซึ่งตกลงมาดั่งฟ้ารั่วแต่เมื่อวานยังคงตกอยู่
หลังส่งมารดาเรียบร้อย ในดึกวันเดียวกันเจ้าลูกครึ่งยักษ์ก็กลับมาหาปณารี รอจนพายุฝนสงบในวันต่อมา เขาก็จัดการเก็บข้าวของเผาทำลายโพรงใต้ดิน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะอันตรายนักด้วยอาจมีเส้นผมหรือเศษเล็บหลงเหลืออยู่ สิ่งเหล่านี้สามารถใช้คาถาติดตามค้นหาผู้เป็นเจ้าของได้
นางกินรียืนมองชายร่างผอมซึ่งเดินไปมาตรวจตราเปลวไฟด้วยดวงตารื้นน้ำ แม้เขาไม่กล่าวสิ่งใด แต่อาการเหม่อลอยเป็นบางครั้งทำให้นางรู้ว่า เขาเศร้าใจไม่น้อยที่ต้องพลัดพรากจากมารดาผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
“ต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าช่างเห็นแก่ตัวนัก” นางกินรีเดินเข้ามาสัมผัสแขนเขาหวังปลอบโยน
“เรื่องอันใดรึ” อกิญจน์หันถามด้วยเสียงเบาหวิว
“เรื่องที่ทำให้เจ้ากับแม่ต้องแยกจากกัน”
“อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีก ข้ากับแม่บอกแล้วว่ายินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า”
นางผู้รู้ว่าตนเองผิดจับมืออันหยาบกร้านคู่นั้นขึ้นมากุมไว้แน่นแล้วรวบรวมความกล้ากล่าวถ้อยคำสำคัญ “แม้ไม่มีป้านนทรีแล้วแต่เจ้าก็ยังมีข้านะ อกิญจน์ ต่อแต่นี้ ข้า...เออ...ข้าคงต้องฝากชีวิตไว้ให้เจ้าดูแล”
คำฝากชีวิตของปณารีทำเอาฝ่ายตรงข้ามถึงกับเบิกตากว้างขยับใบหู กิริยาดังกล่าวทำนางกินรีใจสั่น หากใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงนั้นอ้ำอึ้งพักใหญ่ก็ตัดสินใจพูดบางสิ่ง
“ข้ามีความลับเรื่องหนึ่งยังไม่เคยบอกเจ้า”
“เรื่องอันใด”
“เจ้าคงรู้เรื่องที่พ่อข้าเป็นรากษสหนีมาจากกรุงลงกาแล้ว” เขากุมมือนางตอบ “เหตุที่พ่อต้องหนีมามิใช่ไม่ต้องการทำสงครามกับพระรามเท่านั้น แต่เพราะท่านมีของวิเศษสิ่งหนึ่งซึ่งทศกัณฐ์อยากได้แต่ไม่ยอมให้”
“จริงหรือนี่ ของวิเศษนั่นคือสิ่งใด”
“คือสิ่งนี้”
อกิญจน์ยกนิ้วหัวแม่มือมือซ้ายซึ่งสวมแหวนทองเหลืองวงโตให้ปณารีดู นางจำได้ทันทีว่าเป็นวงเดียวกับที่นางนนทรีใส่เป็นประจำ มันดูธรรมดาอย่างยิ่ง มีลักษณะเป็นแหวนเล็กๆ สามวงเรียงติดกันโดยแต่ละวงมีช่องว่างอยู่
“แหวนของท่านป้านั่นเอง มันวิเศษอย่างไรรึ”
แทนคำตอบ ผู้ใส่แหวนเอามือขวาขยับหมุนช่องว่างของแต่ละวงให้ตรงกัน ทันใดนั้นร่างผอมสูงตรงหน้าก็อันตรธานหายไปทันที
“คุณพระคุณเจ้า...เจ้า...” นางกินรีถึงกับก้าวถอยหลัง
อกิญจน์กลับมาปรากฏร่างใหม่แล้วอธิบายว่า “ของวิเศษสิ่งนี้คือธำมรงค์ล่องหน ครั้งสุดท้ายที่พ่อถูกตามล่า เพราะยกแหวนให้แม่ใช้อุ้มข้าหนีท่านจึงถูกจับได้ มาวันนี้...แม่ยกแหวนให้ข้าเพื่อพาเจ้าหนี” สิ้นเสียงก็มีน้ำหยดหนึ่งร่วงลงมาจากดวงตากวางคู่งาม
นางกินรียกมือขึ้นเช็ดน้ำตาหยดนั้น คำบอกเล่าของเขานำความตื้นตันใจใหญ่หลวงมาสู่นางยิ่งนัก ดูเถิด...แม้แต่มารดาและพี่ชายยังไม่ยอมเสียสละเพื่อช่วยเหลือนางถึงเพียงนี้ น้ำตาแห่งความปีติไหลเอ่อออกมาจากดวงตาหงส์คู่งามเช่นกัน นางกางแขนออกโผเข้ากอดชายตรงหน้าอย่างไม่อายอีกแล้ว
“อกิญจน์...ชั่วชีวิตต่อจากนี้ของข้า...ข้าจะไปกับเจ้า...ไปกับเจ้าเท่านั้น...”

ยังไม่จบค่ะ เดี๋ยวมาต่อนะคะ
ขอขอบคุณทุกคะแนนโหวตและทุกท่านที่คลิกเข้ามาอ่าน
ขอบคุณ คุณมานีโอลา, คุณแววตา ใสใส, คุณอุรุเวลา, คุณ GTW, คุณ Lady Star 919, คุณเป่าชาง, คุณลายลิขิต, คุณดาบ อนุชา, คุณสมาชิกหมายเลข 1520032, คุณมินตรา monที่ร่วมแสดงความรู้สึก
ขอขอบคุณคุณGTW เช่นเคยค่ะสำหรับความคิดเห็น
ปีกหิมพานต์ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1) ลานาง และ สู่หิมพานต์ (ความคิดเห็นที่ 8, 9, 10) http://pantip.com/topic/35870827
2) อุบาสกสิงขร http://pantip.com/topic/35891401
3) ซากศพในหุบเหว http://pantip.com/topic/35910776
4) กลอนอัปยศ http://pantip.com/topic/35937670
5) ราชนิกุลรากษส 1 https://pantip.com/topic/35968594
6) ราชนิกุลรากษส 2 https://pantip.com/topic/35983356
7) คำมั่นสัญญา https://pantip.com/topic/36024501
FB Page เหรียญจันทร์ https://www.facebook.com/Thewingsofmydreams/
ภาพประกอบ กราฟิก และการ์ตูนต่างๆ เหรียญได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของให้สามารถนำมาเผยแพร่ได้เรียบร้อยแล้ว
และขอแจ้งให้ทราบว่า หากไม่มีข้อผิดพลาด เหรียญจันทร์ขออนุญาตโพสปีกหิมพานต์เพียง 75% ของเรื่องเท่านั้น ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
ปีกหิมพานต์...8 หนี
หนี
สายฝนเย็นเฉียบสาดกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตลอดบ่าย ร่างน้อยสะดุ้งทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่า ด้วยหวาดกลัวคมขวานรามสูรซึ่งวิ่งไล่ตามนางเมขลาจะพลาดพลั้งลงมาใส่ร่างตน ทั้งที่หนาวเหน็บใจจะขาดยังกัดฟันฝืนเพราะทิฐิแรงกล้าว่าอย่างไรก็ต้องหนีให้พ้น
ในที่สุดค่ำวันนั้นก็ถึงจุดหมายอันเป็นหลุมใต้ดินของเจ้าลูกครึ่งยักษ์กับมารดา
“อะ...อกิญจน์!”
นางผู้บินตากฝนมาแต่ไกลทั้งทุบประตูทั้งร้องเรียกแข่งเสียงมรสุม “ดะ...ได้โปรดเถิด ข้าหนาวจนจะทนไม่ไหวละ...แล้ว” นางน้อยเสียงสั่น ดึงผ้าชุบน้ำมันกันฝนกระชับเข้าแนบร่าง
“ปณารี!!! เจ้ามาได้อย่างไรกัน ฝนตกหนักเพียงนี้”
สวรรค์ทรงโปรด...ในที่สุดผู้ที่นางเฝ้ารอก็ปรากฏร่าง...อกิญจน์ “ช่วยข้าด้วย ข้า...หนาวเหลือกะ...เกิน”
ชายหนุ่มรีบพานางกินรีเข้ามาในโพรงพัก บรรยากาศภายในห้องใต้ดินอบอุ่นผิดกับภายนอกช่วยทำให้ผู้ที่กำลังตัวซีดปากสั่นรู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก
“คุณพระช่วย! ปณารี!” นางนนทรีอุทาน รีบเดินเข้ามาหาพร้อมผ้าแห้งผืนหนึ่ง “ถอดปีกออกก่อนเถิด ป้าจะได้ช่วยเช็ดตัวให้เจ้า” แล้วหันไปทางลูกชาย “ลูกก็ออกไปปิดปากโพรงกันน้ำมิให้ไหลเข้ามาเถิด นางจะได้ผลัดผ้า”
หลังร่างผอมสูงจากไปนางกินรีจึงสลัดปีกออก ปลดชุดเปียกแฉะแล้วรับผ้าแห้งมาพันร่าง
“เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดรึเจ้าจึงได้บินฝ่าพายุหนักมาเช่นนี้”
“เออ...” นางน้อยกระอักกระอ่วน “คือว่า...ข้า ข้าหนีออกจากบ้านมาจ้ะท่านป้า”
“จริงหรือนี่!” นางอัปสรสีหะถึงกับยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก
รอจนอกิญจน์กลับมา ปณารีจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เจ้าบ้านฟังเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ท่านแม่คงอยากให้ข้าไปเป็นสนมของพระโอรสกัณฐ์กีรติอันใดนั่นจนตัวสั่น ข้าไม่ไปดอก ให้ตายข้าก็ไม่ไป!” นางปีกขาวข่มความหนาวเย็นกล่าวออกมาด้วยดวงตารื้นน้ำ
“เฮ้อ...” นางนนทรีถอนใจแรง ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำปฏิเสธเสียงแข็งนี้
“ทั่วทั้งกามภูมิ นอกจากสามเทพตรีมูรติแล้วยังจะมีผู้ใดมีฤทธิ์เหนือกว่าพญาเวนไตยราชปักษีอีกเล่า แม้พญาอัศกัณฐ์จะไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้นหากก็สืบสายเลือดเป็นเหลนโดยตรง เจ้าหนีมาเช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการทำลายน้ำใจเผ่าพันธุ์พระสุบรรณอย่างไม่ไว้หน้าดอกรึ”
น้ำเสียงกังวลนี้ทำเอาผู้มาขออาศัยก้มหน้าสำนึกผิด ปณารีบีบมือตัวเองแน่น “ข้าหนีมาที่นี่อาจทำให้ท่านป้าและ อกิญจน์เดือดร้อนได้ โปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้า...ข้าไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งผู้ใดจริงๆ”
บ้านพักใต้ดินเงียบกริบ มีเพียงเสียงฟืนลั่นดังลอดมาจากกองเพลิงเบาๆ คล้ายกลัวผู้ใดจะได้ยิน สองแม่ลูกได้แต่มองหน้ากันไปมา
“เจ้าบินมาไกลคงล้านัก นอนพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้หายเหนื่อยแล้วค่อยคิดอ่านกันอีกหน” ในที่สุดนางอัปสรสีหะก็ลุกขึ้นปัดเตียงจัดผ้าห่ม “บ้านข้าไม่มีฟูกหวังว่าเจ้าคงไม่รังเกียจ มานอนตรงนี้เถิดหนา ข้าจะไปนอนกับ อกิญจน์เอง”
“ได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยจ้ะท่านป้า ข้าไม่ต้องเกาะกิ่งไม้นอนตากฝนก็บุญเท่าใดแล้ว” ว่าแล้วนางผู้หนีออกจากบ้านมาจึงล้มตัวลงนอน เนื่องด้วยเหนื่อยจัดเพียงครู่เดียวก็เผลอหลับ หากเพราะความกังวลใจอุปทานจึงตามมาหลอกหลอน นางฝันว่ากัณฐ์กีรติพิโรธยิ่ง ตามมาเข่นฆ่าทุกชีวิตในคณะปาจารีย์พิลาส นางตกใจตื่นขึ้นเบิกตาโพลงเหงื่อผุดท่วมร่าง ดีว่าขณะนี้ในห้องมืดสนิท คงไม่มีผู้ใดมองเห็นความหวาดกลัวของนางได้ แต่ขณะกำลังข่มตาให้หลับลงอีกครั้งกลับได้ยินสองแม่ลูกกระซิบคำแก่กัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ พานางหนีไปเถิด”
“เหตุใดแม่จึงกล่าวเช่นนี้!” เจ้ายักษ์อุทาน “หากลูกไป ใครจะอยู่ดูแลแม่เล่า!”
“ไม่มีเจ้า แม่ก็กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านอัปสรสีหะเหมือนเดิมได้ ลุงป้าของเจ้าไม่รังเกียจแม่ดอก”
“แม่...แต่ว่า...แต่ว่า...” อกิญจน์อ้ำอึ้ง
“อกิญจน์ เจ้าคิดอย่างไรกับปณารีแม้ไม่เคยพูดออกมาก็ใช่ว่าแม่จะไม่รู้...หากเจ้าไม่อยากไป แม่จะเป็นผู้ขอร้องเจ้าให้พานางหนีไปเอง” เสียงนางอัปสรสีหะฟังดูอ่อนโยนนัก
“แม่...รู้แล้วรึ” เจ้าลูกครึ่งบีบเสียงคล้ายว่าแปลกใจยิ่ง
“ใช่ แม่รู้...แปดสิบปีที่เลี้ยงดูเจ้ามา เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าจะหลบสายตาแม่ได้”
ปณารีซึ่งแอบฟังความอยู่เขินอายจนใจเต้นแรง แท้จริงแล้วอกิญจน์เองก็แอบมีใจให้นางหรือนี่ นางรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของท่านป้าเหลือเกินที่อนุญาตให้บุตรชายเพียงคนเดียวช่วยเหลือตน
พลัน แสงแห่งสายฟ้าก็แปลบปลาบเข้ามาตามด้วยเสียงดังเปรี้ยง สองแม่ลูกจึงเงียบเสียงลง
เช้าวันใหม่มาถึง ฝนซึ่งตกลงมาดั่งฟ้ารั่วแต่เมื่อวานยังคงตกอยู่
หลังส่งมารดาเรียบร้อย ในดึกวันเดียวกันเจ้าลูกครึ่งยักษ์ก็กลับมาหาปณารี รอจนพายุฝนสงบในวันต่อมา เขาก็จัดการเก็บข้าวของเผาทำลายโพรงใต้ดิน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะอันตรายนักด้วยอาจมีเส้นผมหรือเศษเล็บหลงเหลืออยู่ สิ่งเหล่านี้สามารถใช้คาถาติดตามค้นหาผู้เป็นเจ้าของได้
นางกินรียืนมองชายร่างผอมซึ่งเดินไปมาตรวจตราเปลวไฟด้วยดวงตารื้นน้ำ แม้เขาไม่กล่าวสิ่งใด แต่อาการเหม่อลอยเป็นบางครั้งทำให้นางรู้ว่า เขาเศร้าใจไม่น้อยที่ต้องพลัดพรากจากมารดาผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
“ต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าช่างเห็นแก่ตัวนัก” นางกินรีเดินเข้ามาสัมผัสแขนเขาหวังปลอบโยน
“เรื่องอันใดรึ” อกิญจน์หันถามด้วยเสียงเบาหวิว
“เรื่องที่ทำให้เจ้ากับแม่ต้องแยกจากกัน”
“อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีก ข้ากับแม่บอกแล้วว่ายินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า”
นางผู้รู้ว่าตนเองผิดจับมืออันหยาบกร้านคู่นั้นขึ้นมากุมไว้แน่นแล้วรวบรวมความกล้ากล่าวถ้อยคำสำคัญ “แม้ไม่มีป้านนทรีแล้วแต่เจ้าก็ยังมีข้านะ อกิญจน์ ต่อแต่นี้ ข้า...เออ...ข้าคงต้องฝากชีวิตไว้ให้เจ้าดูแล”
คำฝากชีวิตของปณารีทำเอาฝ่ายตรงข้ามถึงกับเบิกตากว้างขยับใบหู กิริยาดังกล่าวทำนางกินรีใจสั่น หากใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงนั้นอ้ำอึ้งพักใหญ่ก็ตัดสินใจพูดบางสิ่ง
“ข้ามีความลับเรื่องหนึ่งยังไม่เคยบอกเจ้า”
“เรื่องอันใด”
“เจ้าคงรู้เรื่องที่พ่อข้าเป็นรากษสหนีมาจากกรุงลงกาแล้ว” เขากุมมือนางตอบ “เหตุที่พ่อต้องหนีมามิใช่ไม่ต้องการทำสงครามกับพระรามเท่านั้น แต่เพราะท่านมีของวิเศษสิ่งหนึ่งซึ่งทศกัณฐ์อยากได้แต่ไม่ยอมให้”
“จริงหรือนี่ ของวิเศษนั่นคือสิ่งใด”
“คือสิ่งนี้”
อกิญจน์ยกนิ้วหัวแม่มือมือซ้ายซึ่งสวมแหวนทองเหลืองวงโตให้ปณารีดู นางจำได้ทันทีว่าเป็นวงเดียวกับที่นางนนทรีใส่เป็นประจำ มันดูธรรมดาอย่างยิ่ง มีลักษณะเป็นแหวนเล็กๆ สามวงเรียงติดกันโดยแต่ละวงมีช่องว่างอยู่
“แหวนของท่านป้านั่นเอง มันวิเศษอย่างไรรึ”
แทนคำตอบ ผู้ใส่แหวนเอามือขวาขยับหมุนช่องว่างของแต่ละวงให้ตรงกัน ทันใดนั้นร่างผอมสูงตรงหน้าก็อันตรธานหายไปทันที
“คุณพระคุณเจ้า...เจ้า...” นางกินรีถึงกับก้าวถอยหลัง
อกิญจน์กลับมาปรากฏร่างใหม่แล้วอธิบายว่า “ของวิเศษสิ่งนี้คือธำมรงค์ล่องหน ครั้งสุดท้ายที่พ่อถูกตามล่า เพราะยกแหวนให้แม่ใช้อุ้มข้าหนีท่านจึงถูกจับได้ มาวันนี้...แม่ยกแหวนให้ข้าเพื่อพาเจ้าหนี” สิ้นเสียงก็มีน้ำหยดหนึ่งร่วงลงมาจากดวงตากวางคู่งาม
นางกินรียกมือขึ้นเช็ดน้ำตาหยดนั้น คำบอกเล่าของเขานำความตื้นตันใจใหญ่หลวงมาสู่นางยิ่งนัก ดูเถิด...แม้แต่มารดาและพี่ชายยังไม่ยอมเสียสละเพื่อช่วยเหลือนางถึงเพียงนี้ น้ำตาแห่งความปีติไหลเอ่อออกมาจากดวงตาหงส์คู่งามเช่นกัน นางกางแขนออกโผเข้ากอดชายตรงหน้าอย่างไม่อายอีกแล้ว
“อกิญจน์...ชั่วชีวิตต่อจากนี้ของข้า...ข้าจะไปกับเจ้า...ไปกับเจ้าเท่านั้น...”
ยังไม่จบค่ะ เดี๋ยวมาต่อนะคะ
ขอขอบคุณทุกคะแนนโหวตและทุกท่านที่คลิกเข้ามาอ่าน
ขอบคุณ คุณมานีโอลา, คุณแววตา ใสใส, คุณอุรุเวลา, คุณ GTW, คุณ Lady Star 919, คุณเป่าชาง, คุณลายลิขิต, คุณดาบ อนุชา, คุณสมาชิกหมายเลข 1520032, คุณมินตรา monที่ร่วมแสดงความรู้สึก
ขอขอบคุณคุณGTW เช่นเคยค่ะสำหรับความคิดเห็น
ปีกหิมพานต์ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้