หลังจากที่หายเงียบไปเป็นอาทิตย์ตอนนี้ว่างที่จะมาเล่าประสบการณ์เที่ยวจีนให้ทุกคนได้ฟังต่อแล้วนะคับ สำหรับตอนอื่นๆสามารถติดตามได้ที่ลิ้งค์ด้านล่าง
ตอนที่ 1
https://pantip.com/topic/35919511
ตอนที่ 2
https://pantip.com/topic/35963853
DAY 5 : Adventurous Life
เพื่อนๆยังจำได้ไหมวันที่เรากับเพื่อนอีกคนไปเดินเขาป๋ายหยุนที่กวางโจว อันนั้นถือว่าเหนื่อยที่สุดในชีวิตละแต่พอมาเจอเขาอวตาล (อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย) บอกเลยว่าเขาป๋ายหยุนนี่โคตรจิ๊บ อิพ่ออิแม่ แทบอยากนอนทรุดลงกับหญ้าริมคลองในอุทยาน จะเป็นไงเกิดอะไรขึ้นไปดูกันเลยยย...
วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้น มีแรง เพราะนอนหลับสบายมาก สงสัยเหนื่อยจากการไปเที่ยวเขาเทียนเหมินชานมาเมื่อวาน พากันแต่งตัวกินข้าวและออกจากโฮสเทลที่อยู่ห่างจากทางเข้าหลักของอุทยานประมาณ 2-3 กิโล ตัดสินใจกันว่าจะนั่งแท็กซี่ไปเพราะมันใกล้ๆและฝนก็ตกหนักมาก อีดวก --" เนื่องจากที่พักเราอยู่ในซอยเลยต้องเดินออกไปถนนใหญ่ 5 นาที โบกรถกว่าจะได้เพราะต้องการ 3 คัน ถึงจะพอกัน 10 คน หนาวก็หนาว ลมก็พัด วันนี้มันเป็นเชี่ยอะไร เล่นกุแต่เช้าเลย 55+
พอไปถึงหน้าประตูทางเข้าก็ต้องเดินไปจุดซื้อตั๋วอีก 5 นาที ใช้บัตร นศ. ซื้อบัตรประเภทเหมาเที่ยว 4 วัน ราคา 160 หยวน บัตรนี้รวมค่าเข้า ค่ารถบัสที่วิ่งข้างในอุทยานจะขึ้นกี่รอบก็ได้ แต่ไม่รวมค่าลิฟกับกระเช้า ตอนแรกพากันหาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เดินไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มึนตึบ เดินวนไปเดี๋ยวก็เจอเอง อุทยานใหญ่มากมีทางเข้าหลายทางและถ้าจะเที่ยวให้ครบทุกจุดสำคัญก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน พอผ่านประตูเข้ามาจะมีที่ขึ้นรถบัส ดูด้วยว่าจะไปลงที่ไหนเพราะมันไปหลายจุด หลายเส้นทาง ขึ้นผิดชีวิตบัดซบ มีสติด้วย ส่วนของเราจะไปจุดขึ้นลิฟแก้วที่สูงที่สุด


ตอนนั่งอยู่บนรถก็เปิดแผนที่ตลอดเพราะต้องมั่นใจว่าจะไม่เลยป้ายที่จะลง ขอบอกว่าที่จีนเท่าที่เคยไปมาไม่ว่าเราจะอยู่บนเขาในป่าในซอกหลืบ จะมีคลื่นโทรศัพท์ทุกที่ เก๋เว่อร์ เส้นทางรถบัสก็จะลอดช่องเขา โค้งหลายโค้งมาก ผ่านแม่น้ำ ดูแปลกตาสวยดีคับ คนขับรถเซียนมาก วางใจได้ไม่พาเบรกกับต้นไม้แน่นอน
พอมาถึงป้ายตรงทางขึ้นลิฟก็ปรึกษากันว่าเรามาขนาดนี้ทั้งที จะขึ้นลิฟหรือจะลองเดิน ถ้าเดินจะใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ไม่รู้มันเอาจิตเอาสมองส่วนไหนมาคิด สรุปเดินคับ (หารู้ไม่ว่า....) ฝนก็ตกปอยๆกางร่มเดินเขาคิดสภาพดูเอา ตอนแรกสนุกมาก โอ๊ยโคตรคิดถูกเลยตัดสินใจเดิน ระหว่างทางเห็นวิวทิวทัศน์สวย ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำสายเล็กๆตลอดทาง มีสะพานให้ข้าม โคตรได้ฟีล

เดินไปได้ซักชั่วโมงก็พากันพักเที่ยงแปป ซื้อของกินตามร้านอาหารระหว่างทาง ถ้าใครคิดจะเดินไม่ต้องกลัวเหงา คนเดินเยอะมาก คนแก่ คนหนุ่มสาว หรือแม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังมา พอเติมพลังเสร็จก็พากันเดินต่อ แต่มันเริ่มไม่ชิลอย่างที่คิด เพราะมันเริ่มปีนเขาแล้ว ถามว่าชันมากไหม ตอบเลยว่าไม่ เพราะมันแนวดิ่งเลยคับ สวัสดี ฝนก็ปอยๆบ้างหยุดๆบ้าง ร่มนี่ทั้งกางทั้งหุบสลับไปมา พอเดินมาได้ครึ่งทางถามเพื่อนจะกลับไปขึ้นลิฟดีไหม 55+ สรุปด้วยเลือดนักสู้ ก็พากันเดินต่อ อีพ่ออีแม่ ช่วยลูกช้างด้วย ทางขึ้นนี่เป็นแนวดิ่งเลยจ้า อีเชี่ย พากันเอาสมองส่วนไหมมาคิดว่าจะเดินขึ้น เป็นไงล่ะ สมใจเมิงไหม เดินขึ้นแนวดิ่งอยู่ 2 ชม. ไม่ต้องถามว่าหนาวไหม บอกเลยเสื้อกันหนาว 3 ชั้นที่ใส่มานี่ถอดออกแทบไม่ทัน
ขึ้นมาจนถึงจุดพักมีการหิวกระหายก็แวะซื้อไอติมแดรก ซื้อส้มเขียวหวานกิน ไอติมก็แข็งมากกัดก็ไม่เข้า ด้วยความหิวต้องเอาฟันกรามกัด ชีวิตฉัน!! 55+ แล้วเดินต่อไปรอเพื่อนที่กำลังเดินตามมาที่ศาลาข้างถนนคอนกรีด ช่วงนี้ไม่ถ่ายรูปเลย เอาชีวตรอดมาได้ก็บุญหัวละ อากาศหนาว 10 กว่าองศา แต่ทุกคนร้อนตับแตกถอดเสื้อกันสนั่น จุดนี้ได้ยินข่าวว่าเพื่อน 2 คนขอยกธงขาวเดินกลับไปรอตรงขึ้นลิฟตั้งแต่ช่วงแรกๆ
พอขึ้นมากันครบ 8 คน ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรืออะไร ดูในผนที่แล้วว่าจุดขึ้นรถตรงไหนใกล้สุด มีทางซ้ายกับขวา แล้วเราเองก็พาเพื่อนๆเดินไปทางขวา สรุปเดินอีกเกือบชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าทางซ้ายเดินอีก 5 นาทีก็ถึงเลย จิกเล็บเบาๆ ปล.เพื่อนไม่ตบคว่ำก็บุญมากละ ไอ้บุญรอด แต่ว่าในดีมีเสียในเสียมีดี ระหว่างที่พากันเดินไปขึ้นรถเราได้เจอหมอกเต็มทางสวยมาก โรแมนติก
พอขึ้นรถมาลงจุดชมวิวจุดแรก แทบทรุด เพราะหมอกหนามาก มองไม่เห็นเชี่ยอะไรเลย ขาวโพลนจ้าาา แต่ไม่รู้ว่าความโชคดีหรืออะไร ผ่านไปซัก 10 นาที มีลมแรงๆมาพัดหมอกออกไป โห นี่กรีดร้องเรียกเพื่อนรีบมาถ่ายรูปมาชื่นชมความอลัง


ความรู้สึกมันเหมือนเราลอยอยู่ในสวรรค์ มองด้วยตาจริงสวยกว่าในรูป ตอนแรกนึกว่าจะมาเสียเที่ยวไม่ได้เห็นซะแล้ว แต่ในใจลึกๆก็ยังมีความหวังอยู่ สรุปได้เห็นจริงๆ ภูเขาจะเป็นแหลมๆ ตั้งตระหง่านสลับไปมาและมีหมอกบางๆไปจนถึงหนาๆ เหมือนในภาพวาดจีนโบราณเลย


ถ้าไปช่วงฤดูร้อนมันก็จะเขียวทั้งเขา ฟ้าสว่าง แดดร้อน ไม่มีหมอก ถ้าไปช่วงใบไม้ร่วงก็จะแดงเหลืองเต็มเขา ถ้าไปช่วงหนาวก็หิมะขาวโพลนพร้อมหมอก และถ้าไปช่วงที่พวกเราไปกันซึ่งก็คือช่วงใบไม้ผลิกจะมีดอกซากุระ ดอกท้อ หมอกบ้าง ฝนบ้างแล้วแต่วัน

วันนี้บอกเลยว่าหมดแรง ไปต่อไม่ไหวละ โคตรง่วง ก็เลยพากันไปซื้อบัตรลงลิฟ เที่ยวละ 100 กว่าหยวนมั้ง จำไม่ได้ และใช้บัตร นศ. ซื้อไม่ได้ ต้องจ่ายราคาเต็ม ปล. ถ้าซื้อแบบไปกลับราคาจะถูกกว่า เค้าบอกว่าเป็นลิฟแก้วที่สูงที่สุด 326 เมตร มั้ง ยืนเข้าคิวอยู่พักนึง พอก้าวเข้าไปในลิฟแอบเสียว เพราะมันสูง มันคล้ายๆว่าเราเดินออกไปนอกตึกสูงๆอ่ะ เห็นทุกอย่าง พอลงไปได้ซักพักก็มองไม่เห็นอะไรเพราะมันเจาะลงเข้าไปในภูเขา

พอลงมาข้างล่างก็ถ่ายรูปกับวิวอีกนิดหน่อย เพราะฟ้าเริ่มเปิดบ้างละ ต้องรีบถ่ายเดี๋ยวหมอกมาอีก 55+


โคตรตลกเลยไม่รู้ว่ากล้าตัดสินใจเดินกันได้ยังไง สรุปเดินไป 4-5 ชม. แต่ข้อดีของการเดินคือเราได้เห็นอะไรมากมายหลายอย่างระหว่างทาง มุมที่หลายคนไม่เคยเห็น หลายคนไม่เคยไป นี่แหละมันคือความพิเศษ มันเหมือนว่าเราเข้าไปเดินในหุบเขามหัศจรรย์เหมือนในหนัง ถ้าใครไปหลายวันก็อยากให้ลองเดิน แต่ถ้าใครไปเที่ยววันเดียวก็ขึ้นลิฟขึ้นกระเช้าไปเลย แต่ไม่ว่าจะเดินหรือจะขึ้นลิฟหรือกระเช้า สุดท้ายแล้วก็ได้ไปถึงจุดชมวิวเหมือนกัน
พอกลับถึงโฮสเทลเพื่อนบางคนที่ถึงกับล้มป่วยวัวตายควายล้ม ออเซาะบอบบาง เข็ดไหมล่ะเมิงทีนี้ มายากให้กุป้อนยาป้อนน้ำอีก 55+
จบแล้วคับสำหรับการผจญภัยวันนี้ พวกเราถือว่าประสบความสำเร็จมากในการแปะรอยเท้าไว้ในทางที่อาจจะยังไม่ค่อยมีใครกล้าไปเดิน (เหนื่อยชิ๊บหาย...หลาบจำ) ส่วนตอนต่อไป DAY 6 ก็จะเล่าถึงการเดินทางจากเมืองจางเจียเจี้ยไปเมืองฉางซา เหตุการณ์วันนั้นยังจำติดตาติดใจ ฉางซาต้อนรับเราด้วยสถานการณ์ใด ขอบอกมันรุนแรงที่สุดในชีวิตของการเดินทาง ไว้จะรีบมาเขียนต่อนะค้าบ
ขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านมาจนจบ ขอให้มีพลัง ขอให้ไปลอง ขอให้กล้า ขอให้ไปเจอสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
[CR] ตะลอนเที่ยวจีนกับเพื่อน โคตรลุย โคตรมัน 7 คืน 8 วัน กุ้ยหลิน - กวางโจว - จางเจียเจี้ย - ฉางซา ตอนที่ 3
ตอนที่ 1 https://pantip.com/topic/35919511
ตอนที่ 2 https://pantip.com/topic/35963853
DAY 5 : Adventurous Life
เพื่อนๆยังจำได้ไหมวันที่เรากับเพื่อนอีกคนไปเดินเขาป๋ายหยุนที่กวางโจว อันนั้นถือว่าเหนื่อยที่สุดในชีวิตละแต่พอมาเจอเขาอวตาล (อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย) บอกเลยว่าเขาป๋ายหยุนนี่โคตรจิ๊บ อิพ่ออิแม่ แทบอยากนอนทรุดลงกับหญ้าริมคลองในอุทยาน จะเป็นไงเกิดอะไรขึ้นไปดูกันเลยยย...
วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้น มีแรง เพราะนอนหลับสบายมาก สงสัยเหนื่อยจากการไปเที่ยวเขาเทียนเหมินชานมาเมื่อวาน พากันแต่งตัวกินข้าวและออกจากโฮสเทลที่อยู่ห่างจากทางเข้าหลักของอุทยานประมาณ 2-3 กิโล ตัดสินใจกันว่าจะนั่งแท็กซี่ไปเพราะมันใกล้ๆและฝนก็ตกหนักมาก อีดวก --" เนื่องจากที่พักเราอยู่ในซอยเลยต้องเดินออกไปถนนใหญ่ 5 นาที โบกรถกว่าจะได้เพราะต้องการ 3 คัน ถึงจะพอกัน 10 คน หนาวก็หนาว ลมก็พัด วันนี้มันเป็นเชี่ยอะไร เล่นกุแต่เช้าเลย 55+
พอไปถึงหน้าประตูทางเข้าก็ต้องเดินไปจุดซื้อตั๋วอีก 5 นาที ใช้บัตร นศ. ซื้อบัตรประเภทเหมาเที่ยว 4 วัน ราคา 160 หยวน บัตรนี้รวมค่าเข้า ค่ารถบัสที่วิ่งข้างในอุทยานจะขึ้นกี่รอบก็ได้ แต่ไม่รวมค่าลิฟกับกระเช้า ตอนแรกพากันหาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เดินไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มึนตึบ เดินวนไปเดี๋ยวก็เจอเอง อุทยานใหญ่มากมีทางเข้าหลายทางและถ้าจะเที่ยวให้ครบทุกจุดสำคัญก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน พอผ่านประตูเข้ามาจะมีที่ขึ้นรถบัส ดูด้วยว่าจะไปลงที่ไหนเพราะมันไปหลายจุด หลายเส้นทาง ขึ้นผิดชีวิตบัดซบ มีสติด้วย ส่วนของเราจะไปจุดขึ้นลิฟแก้วที่สูงที่สุด
ตอนนั่งอยู่บนรถก็เปิดแผนที่ตลอดเพราะต้องมั่นใจว่าจะไม่เลยป้ายที่จะลง ขอบอกว่าที่จีนเท่าที่เคยไปมาไม่ว่าเราจะอยู่บนเขาในป่าในซอกหลืบ จะมีคลื่นโทรศัพท์ทุกที่ เก๋เว่อร์ เส้นทางรถบัสก็จะลอดช่องเขา โค้งหลายโค้งมาก ผ่านแม่น้ำ ดูแปลกตาสวยดีคับ คนขับรถเซียนมาก วางใจได้ไม่พาเบรกกับต้นไม้แน่นอน
พอมาถึงป้ายตรงทางขึ้นลิฟก็ปรึกษากันว่าเรามาขนาดนี้ทั้งที จะขึ้นลิฟหรือจะลองเดิน ถ้าเดินจะใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ไม่รู้มันเอาจิตเอาสมองส่วนไหนมาคิด สรุปเดินคับ (หารู้ไม่ว่า....) ฝนก็ตกปอยๆกางร่มเดินเขาคิดสภาพดูเอา ตอนแรกสนุกมาก โอ๊ยโคตรคิดถูกเลยตัดสินใจเดิน ระหว่างทางเห็นวิวทิวทัศน์สวย ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำสายเล็กๆตลอดทาง มีสะพานให้ข้าม โคตรได้ฟีล
เดินไปได้ซักชั่วโมงก็พากันพักเที่ยงแปป ซื้อของกินตามร้านอาหารระหว่างทาง ถ้าใครคิดจะเดินไม่ต้องกลัวเหงา คนเดินเยอะมาก คนแก่ คนหนุ่มสาว หรือแม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังมา พอเติมพลังเสร็จก็พากันเดินต่อ แต่มันเริ่มไม่ชิลอย่างที่คิด เพราะมันเริ่มปีนเขาแล้ว ถามว่าชันมากไหม ตอบเลยว่าไม่ เพราะมันแนวดิ่งเลยคับ สวัสดี ฝนก็ปอยๆบ้างหยุดๆบ้าง ร่มนี่ทั้งกางทั้งหุบสลับไปมา พอเดินมาได้ครึ่งทางถามเพื่อนจะกลับไปขึ้นลิฟดีไหม 55+ สรุปด้วยเลือดนักสู้ ก็พากันเดินต่อ อีพ่ออีแม่ ช่วยลูกช้างด้วย ทางขึ้นนี่เป็นแนวดิ่งเลยจ้า อีเชี่ย พากันเอาสมองส่วนไหมมาคิดว่าจะเดินขึ้น เป็นไงล่ะ สมใจเมิงไหม เดินขึ้นแนวดิ่งอยู่ 2 ชม. ไม่ต้องถามว่าหนาวไหม บอกเลยเสื้อกันหนาว 3 ชั้นที่ใส่มานี่ถอดออกแทบไม่ทัน
ขึ้นมาจนถึงจุดพักมีการหิวกระหายก็แวะซื้อไอติมแดรก ซื้อส้มเขียวหวานกิน ไอติมก็แข็งมากกัดก็ไม่เข้า ด้วยความหิวต้องเอาฟันกรามกัด ชีวิตฉัน!! 55+ แล้วเดินต่อไปรอเพื่อนที่กำลังเดินตามมาที่ศาลาข้างถนนคอนกรีด ช่วงนี้ไม่ถ่ายรูปเลย เอาชีวตรอดมาได้ก็บุญหัวละ อากาศหนาว 10 กว่าองศา แต่ทุกคนร้อนตับแตกถอดเสื้อกันสนั่น จุดนี้ได้ยินข่าวว่าเพื่อน 2 คนขอยกธงขาวเดินกลับไปรอตรงขึ้นลิฟตั้งแต่ช่วงแรกๆ
พอขึ้นมากันครบ 8 คน ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรืออะไร ดูในผนที่แล้วว่าจุดขึ้นรถตรงไหนใกล้สุด มีทางซ้ายกับขวา แล้วเราเองก็พาเพื่อนๆเดินไปทางขวา สรุปเดินอีกเกือบชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าทางซ้ายเดินอีก 5 นาทีก็ถึงเลย จิกเล็บเบาๆ ปล.เพื่อนไม่ตบคว่ำก็บุญมากละ ไอ้บุญรอด แต่ว่าในดีมีเสียในเสียมีดี ระหว่างที่พากันเดินไปขึ้นรถเราได้เจอหมอกเต็มทางสวยมาก โรแมนติก
พอขึ้นรถมาลงจุดชมวิวจุดแรก แทบทรุด เพราะหมอกหนามาก มองไม่เห็นเชี่ยอะไรเลย ขาวโพลนจ้าาา แต่ไม่รู้ว่าความโชคดีหรืออะไร ผ่านไปซัก 10 นาที มีลมแรงๆมาพัดหมอกออกไป โห นี่กรีดร้องเรียกเพื่อนรีบมาถ่ายรูปมาชื่นชมความอลัง
ความรู้สึกมันเหมือนเราลอยอยู่ในสวรรค์ มองด้วยตาจริงสวยกว่าในรูป ตอนแรกนึกว่าจะมาเสียเที่ยวไม่ได้เห็นซะแล้ว แต่ในใจลึกๆก็ยังมีความหวังอยู่ สรุปได้เห็นจริงๆ ภูเขาจะเป็นแหลมๆ ตั้งตระหง่านสลับไปมาและมีหมอกบางๆไปจนถึงหนาๆ เหมือนในภาพวาดจีนโบราณเลย
ถ้าไปช่วงฤดูร้อนมันก็จะเขียวทั้งเขา ฟ้าสว่าง แดดร้อน ไม่มีหมอก ถ้าไปช่วงใบไม้ร่วงก็จะแดงเหลืองเต็มเขา ถ้าไปช่วงหนาวก็หิมะขาวโพลนพร้อมหมอก และถ้าไปช่วงที่พวกเราไปกันซึ่งก็คือช่วงใบไม้ผลิกจะมีดอกซากุระ ดอกท้อ หมอกบ้าง ฝนบ้างแล้วแต่วัน
วันนี้บอกเลยว่าหมดแรง ไปต่อไม่ไหวละ โคตรง่วง ก็เลยพากันไปซื้อบัตรลงลิฟ เที่ยวละ 100 กว่าหยวนมั้ง จำไม่ได้ และใช้บัตร นศ. ซื้อไม่ได้ ต้องจ่ายราคาเต็ม ปล. ถ้าซื้อแบบไปกลับราคาจะถูกกว่า เค้าบอกว่าเป็นลิฟแก้วที่สูงที่สุด 326 เมตร มั้ง ยืนเข้าคิวอยู่พักนึง พอก้าวเข้าไปในลิฟแอบเสียว เพราะมันสูง มันคล้ายๆว่าเราเดินออกไปนอกตึกสูงๆอ่ะ เห็นทุกอย่าง พอลงไปได้ซักพักก็มองไม่เห็นอะไรเพราะมันเจาะลงเข้าไปในภูเขา
พอลงมาข้างล่างก็ถ่ายรูปกับวิวอีกนิดหน่อย เพราะฟ้าเริ่มเปิดบ้างละ ต้องรีบถ่ายเดี๋ยวหมอกมาอีก 55+
โคตรตลกเลยไม่รู้ว่ากล้าตัดสินใจเดินกันได้ยังไง สรุปเดินไป 4-5 ชม. แต่ข้อดีของการเดินคือเราได้เห็นอะไรมากมายหลายอย่างระหว่างทาง มุมที่หลายคนไม่เคยเห็น หลายคนไม่เคยไป นี่แหละมันคือความพิเศษ มันเหมือนว่าเราเข้าไปเดินในหุบเขามหัศจรรย์เหมือนในหนัง ถ้าใครไปหลายวันก็อยากให้ลองเดิน แต่ถ้าใครไปเที่ยววันเดียวก็ขึ้นลิฟขึ้นกระเช้าไปเลย แต่ไม่ว่าจะเดินหรือจะขึ้นลิฟหรือกระเช้า สุดท้ายแล้วก็ได้ไปถึงจุดชมวิวเหมือนกัน
พอกลับถึงโฮสเทลเพื่อนบางคนที่ถึงกับล้มป่วยวัวตายควายล้ม ออเซาะบอบบาง เข็ดไหมล่ะเมิงทีนี้ มายากให้กุป้อนยาป้อนน้ำอีก 55+
จบแล้วคับสำหรับการผจญภัยวันนี้ พวกเราถือว่าประสบความสำเร็จมากในการแปะรอยเท้าไว้ในทางที่อาจจะยังไม่ค่อยมีใครกล้าไปเดิน (เหนื่อยชิ๊บหาย...หลาบจำ) ส่วนตอนต่อไป DAY 6 ก็จะเล่าถึงการเดินทางจากเมืองจางเจียเจี้ยไปเมืองฉางซา เหตุการณ์วันนั้นยังจำติดตาติดใจ ฉางซาต้อนรับเราด้วยสถานการณ์ใด ขอบอกมันรุนแรงที่สุดในชีวิตของการเดินทาง ไว้จะรีบมาเขียนต่อนะค้าบ
ขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านมาจนจบ ขอให้มีพลัง ขอให้ไปลอง ขอให้กล้า ขอให้ไปเจอสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด