สวัสดีค้าบทุกคน เท่เอง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารับงานล่าม English-Thai-Chinese และทำคลิปลง Youtube (ติดตามได้ที่ Youtube Channel: ManatPii TV) เพิ่งมีเวลาอ่ะ เลยจะมาเขียนทริปจีนสุดมันต่อให้ทุกคนได้ลุ้นผจญภัยไปด้วยกัน จะรออะไรล่ะ ไปอ่านกันโลดดดด...!!!
ตอนที่ 1 ตามลิ้งค์นี้ไปเลยครับ
https://pantip.com/topic/35919511
DAY 4 : The Most Impressive Scenic Point
สารภาพตามตรงว่าก่อนหน้าที่จะมาเมืองนี้ ไม่เคยรู้เลยว่ามันมีที่เที่ยวอะไร แค่หาๆในเน็ตแล้วเห็นที่เที่ยวหลักๆ 2 แห่ง คือ
1. เขาเทียนเหมินชาน (เขาประตูสวรรค์) ที่เค้าบอกกันมาว่ามีกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกกับบันได 999 ขั้น
2. อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยที่หนังเรื่องอวตารมาถ่ายทำ
พอรู้แบบนี้ปั๊บบอกตัวเองทันทีว่ากรูต้องไปพิสูจน์กับตาตัวเอง แค่นั้น...จากที่ได้ใช้ชีวิตบนรถไฟแบบนอนของจีนครั้งแรกเป็นเวลา 13 ชม. ระยะทางประมาณ 1,100 กม. สุดท้ายเราก็ได้มาถึงเมืองจางเจียเจี้ย (张家界)ซึ่งอยู่ในมณฑลหูหนาน (湖南)


พอเก็บบรรยากาศแถวๆสถานีรถไฟเสร็จก็พากันเดินลากกระเป๋าไปหาที่ฝาก ระหว่างหาที่ฝากกระเป๋าก็มีแม่เสือสาวจีนคนหนึ่งมาแนะนำให้ไปกินข้าวที่ร้านนางและจะช่วยเก็บกระเป๋าให้ ไอ้เราก็คิดๆมันจะดีหรอวะแกร? คิดไปต่างๆนานา สุดท้ายก็ตัดสินใจลองซักตั้ง ไปดูร้านนางก่อนซึ่งอยู่ใกล้สถานี เผอิ๊ญเผอิญ พอไปถึงแล้วร้านมันดูดี คุยดี บริการเป็นเลิศ ถ้ามีมงนี่ยกให้นางไปละ สุดท้ายเลยฝากทั้งของฝากทั้งท้องให้ร้านนางดูแล ปล.อาหารอร่อยมาก นัวมาก ฟินมาก แดรกกันแบบใส่ไม่ยั้ง และราคาโคตรคุ้มค่า ไปเจอนางได้ที่บริเวณสถานีรถไฟ ตอนท้ายจะแปะรูปนางไว้ให้คับ (ตอนกินข้าวไม่ได้ถ่ายรูปไว้ง่ะ กลัวแดรกไม่ทันเพื่อน 55+)
พอกินกันเสร็จก็เดินมุ่งหน้าไปจุดขึ้นกระเช้าเพื่อจะขึ้นไปเที่ยวเขาเทียนเหมินชาน ไปง่ายๆ แค่เดินตามสายกระเช้าที่พาดข้ามเมืองไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านคนเอย ตลาดสดเอย ซอกหลืบเอย เล้าเป็ดเล้าไก่เอยจนถึงจุดขึ้นกระเช้า ก็พากันใช้บัตร นศ. ซื้อในราคาลดประมาณครึ่งหนึ่ง ตั๋วมี 2 แบบ คือ
1. ขึ้นด้วยกระเช้า-ลงด้วยรถตู้
2. ขึ้นด้วยรถตู้-ลงด้วยกระเช้า
พวกเราเอาแบบแรกกัน แล้วก็เดินไปเข้าคิว...

คิวยาวไหม? ตอบได้เลยว่า ไม่...ไม่ต้องยืนรอ...นอนรอเลยดีกว่า อีเชี่ย โคตรยาวววว ยาวสาดดด แถววนไปมาข้างนอกอาคารแล้วยังไม่พอ แต่เข้ามาข้างในยังต้องรอคิวอีก 2 ชั้น เม้ากันแล้วก็แล้ว ถ่ายรูปแล้วก็แล้ว ยังไม่ได้ขึ้นจ้าาา สรุปรอคิวฟาดไปเกือบ 2 ชม. ได้ขึ้นกระเช้าประมาณ 13.40 น.

ภาพข้างบนนี้ถ่ายย้อนกลับไปตรงจุดขึ้นกระเช้า ซึ่งห่างออกไปประมาณ 1 กม. ตอนนี้ก็รู้สึกเฉยๆ เพราะมันยังไม่สูง และยังไม่ขึ้นเขา ก็พรึมพรัมในใจ "นี่หรอ กระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก กรูเฉยมากกกก" พอบ่นเสร็จมันก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เริ่มขึ้นเขา...สารภาพแมนๆเลยว่าเริ่มเสียวท้องนิดๆ แต่เพื่อนผมน่าจะเสียวมาก ดูหนังหน้ามันเอาคับ 55+

นั่งมาซักพักมันเริ่มเสียวขึ้นเรื่อยๆ ข้างล่างมีแต่เหวง่ะ จินตนาการล้ำเลิศมากคิดในใจ "เฮ้ย...ถ้ากระเช้าหลุดล่ะ เฮ้ย...ถ้าเชือกสลิงขาดล่ะ บลาๆๆ" (คิดเองเสียวเองงานนี้) ถ่ายจากมุมล่างหันขึ้นไปมันสุดยอดมากกกกก อีรูกลมๆนั่นล่ะคือ ประตูที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ ทีนี้ต่อมฟินเริ่มทำงาน สายตากับความรู้สึกก็เริ่มจับจ้องไปที่ทิวทัศน์อันสุดลูกหูลูกตาจนลืมเรื่องเสียวและทิ้งความกลัวไปเลย


ระหว่างที่นั่งกระเช้า หัวใจมันเบิกบาน รู้สึกตัวเบา เย็นสบาย เหมือนโลกทั้งโลกหมุนตามเรา การเที่ยวทำให้เราได้สัมผัสความสงบและอิ่มเอม มองเห็นสายกระเช้ายาวๆ ก็รู้สึกทึ่งว่าเค้าสร้างกันได้ไง สายพาดเรียงรายจากอีกยอดเขาไปอีกยอดเขา มันโคตรมหัศจรรย์...
พอขึ้นมาเกือบถึงจุดสุดยอด เอ้ย!!! ยอดเขา มองลงไปจะเห็นถนนที่คดเคี้ยวไปมา เห็นแล้วจะร้องไห้ กรูยอมจริงๆ มันอึ้งมากว่าทำไมมันสร้างกันได้ จนทำให้นึกถึงคำคำหนึ่ง "ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยการเริ่มลงมือทำ" และมันก็เป็นยังงั้นจริงๆ



พอมาถึงข้างบนพร้อมกับอากาศที่หนาว หมอกฟุ้งๆ เราก็พบกับภาพบรรยากาศอย่างตื่นตาตื่นใจ ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน พากันยิ้มหน้าบานแก้มปลิคิดค้นท่าถ่ายรูปกันไป...แม้ว่ามีฝนตกปอยๆก็ไม่เป็นอุกสรรค เพราะความงามของทิวทัศน์มันสะกดใจจนลืมเรื่องฟ้าฝนไปเลย เหลือบไปเห็นทางเดินที่ยื่นออกไปในเหวนี่ยิ่งโคตรดีใจ อีเชี่ย มันสร้างกันได้ไง แล้วก็อีเชี่ย กรูจะกล้าเดินไหม 55+





ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ 4-5 แสนรูปเสร็จ ก็พากันเดินมั่ว บ่ฮู่สิไปทางได๋ ก็เลยพากันเดินขึ้นไปบนยอดเขา โคตรเหนื่อย คลานได้กรูคลานไปละ แล้วที่มันเชี่ยสุดๆคือ อ๋อ...ยอดเขาที่เรากำลังปีนขึ้นไปน่ะ มันมีแต่ร้านอาหาร!!! เห็นแล้วถึงกับแทบอยากนอนล้มลงไปกับพื้น วิวก็ไม่มี กรูมาทำอารายยยยยที่นี่ เสียโง่อย่างแรง แล้วก็พากันเดินกลับลงไปจุดขึ้นกระเช้า


ทีนี้ก็พากันมาดูแผนที่และตกลงกันว่าจะเดินตามเส้นทางเที่ยวอ้อมเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดหมายแรกก็คือ ไปเดินบนทางเดินกระจก เดินตามทางไปเรื่อยๆแบบสบายๆเพราะทางไม่ชัน พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับวิวตามทาง แต่ละมุมมันสวยมาก สุดลูกหูลูกตา ดูด้วยตาเปล่าสวยมากกกกกกกก กราบบบบ เดินได้ซักพักก็มาถึงละ "ทางเดินกระจก" เสียวไม่เสียว กล้าไม่กล้า แตกไม่แตก ก็อยู่ตรงนี้ล่ะ ปล. กระจกลายมากมัวมาก แต่ก็ถือว่าเสียวมากอยู่ ก่อนเดินบนกระจก ต้องใส่ผ้าสวมรองเท้านะคับ เชิญชม...



ตอนแรกแมร่งต้องคลานๆเดินช้าๆเหยียบไปตามคานเหล็ก ไม่กล้ายืนตรงกลางกระจกง่ะ เสียว ยิ่งจินตนาการล้ำเลิศอยู่ คิดไปต่างๆนานา ถ้ามันแตกแล้วกรูตกลงไปล่ะจะทำไง บลาๆๆ สุดท้ายเห็นวิวสวย อยู่ดีๆก็เดินชิลๆ ถ่ายรูปเริ่ศๆ กระโดโลดเต้น เคยเป็นไหม มีความสุขจนไร้ความกลัว นี่ล่ะมันเป็นแบบนี้ล่ะ
เดินผ่านทางเดินกระจกเสร็จแล้วอย่าลืมคืนผ้าสวมรองเท้านะคับ เดี๋ยวโดนเจ้จีนตบน่วมกลางภูเขาเอานะ *คำเตือนผ้าสวมรองเท้าเหม็นมาก ไม่รู้ตรีนใครเป็นตรีนใครเนาะ และแนะนำว่าไม่ต้องพ่นน้ำหอม เพราะพ่นเป็นโหลก็ช่วยไม่ได้ 55+ เอ้าเฮ้ย...เดินต่อ...พากันเดินตามทางไปเรื่อยๆแล้วเจอมุมนี้ที่โคตรมหัศจรรย์ ไม่รู้จะใช้คำไหนมารรยาย โอ้ยยย...ขนลุก ไม่เชื่อลองดูเองละกัน



ความรู้สึกตื้นตันและสงบร่มเย็นมันซาบซ่านไปทั่วร่างกาย มันมีพลังกายพลังใจอย่างสุดแรง เดินไม่เหนื่อยเลย ภาพที่เกิดขึ้นมันมีแต่ใบหน้าที่อิ่มเอมของเพื่อนๆ รอยยิ้มที่สดใสของทุกคน เห็นแล้วมันรู้สึกอิ่มใจและขอบคุณความกล้า ร่างกายที่แข็งแรง และความอดทนที่นำพาพวกเราให้มาเจอสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้



ตอนที่พวกเราไปกันสะพานกระจกยังไม่เปิด รอบนี้เลยเดินเบาๆชิลๆบนสะพานแขวนที่โยกเยกไปมาซึ่งมีเหวที่ลึกมากระหว่างหุบเขา


พอเดินมาถึงคอสะพาน ลมเย็นๆพัดกระทบตัวกระทบหน้า ก็สูดลงปอดลึกๆ มันโคตรสดชื่น วิวก็สวยงาม อากาศก็เริ่มเป็นใจ ฟ้าเริ่มเปิด แดดอ่อนๆยามเย็นเริ่มสาดแสง... ทุกอย่างดี เพื่อนๆและเราก็มีความสุข สะพานจะโยกจะสั่นไม่มีกลัว แต่

อย่าขาดเป็นพอ 55+




[CR] ตะลอนเที่ยวจีนกับเพื่อน โคตรลุย โคตรมัน 7 คืน 8 วัน กุ้ยหลิน - กวางโจว - จางเจียเจี้ย - ฉางซา ตอนที่ 2
ตอนที่ 1 ตามลิ้งค์นี้ไปเลยครับ https://pantip.com/topic/35919511
DAY 4 : The Most Impressive Scenic Point
สารภาพตามตรงว่าก่อนหน้าที่จะมาเมืองนี้ ไม่เคยรู้เลยว่ามันมีที่เที่ยวอะไร แค่หาๆในเน็ตแล้วเห็นที่เที่ยวหลักๆ 2 แห่ง คือ
1. เขาเทียนเหมินชาน (เขาประตูสวรรค์) ที่เค้าบอกกันมาว่ามีกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกกับบันได 999 ขั้น
2. อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยที่หนังเรื่องอวตารมาถ่ายทำ
พอรู้แบบนี้ปั๊บบอกตัวเองทันทีว่ากรูต้องไปพิสูจน์กับตาตัวเอง แค่นั้น...จากที่ได้ใช้ชีวิตบนรถไฟแบบนอนของจีนครั้งแรกเป็นเวลา 13 ชม. ระยะทางประมาณ 1,100 กม. สุดท้ายเราก็ได้มาถึงเมืองจางเจียเจี้ย (张家界)ซึ่งอยู่ในมณฑลหูหนาน (湖南)
พอเก็บบรรยากาศแถวๆสถานีรถไฟเสร็จก็พากันเดินลากกระเป๋าไปหาที่ฝาก ระหว่างหาที่ฝากกระเป๋าก็มีแม่เสือสาวจีนคนหนึ่งมาแนะนำให้ไปกินข้าวที่ร้านนางและจะช่วยเก็บกระเป๋าให้ ไอ้เราก็คิดๆมันจะดีหรอวะแกร? คิดไปต่างๆนานา สุดท้ายก็ตัดสินใจลองซักตั้ง ไปดูร้านนางก่อนซึ่งอยู่ใกล้สถานี เผอิ๊ญเผอิญ พอไปถึงแล้วร้านมันดูดี คุยดี บริการเป็นเลิศ ถ้ามีมงนี่ยกให้นางไปละ สุดท้ายเลยฝากทั้งของฝากทั้งท้องให้ร้านนางดูแล ปล.อาหารอร่อยมาก นัวมาก ฟินมาก แดรกกันแบบใส่ไม่ยั้ง และราคาโคตรคุ้มค่า ไปเจอนางได้ที่บริเวณสถานีรถไฟ ตอนท้ายจะแปะรูปนางไว้ให้คับ (ตอนกินข้าวไม่ได้ถ่ายรูปไว้ง่ะ กลัวแดรกไม่ทันเพื่อน 55+)
พอกินกันเสร็จก็เดินมุ่งหน้าไปจุดขึ้นกระเช้าเพื่อจะขึ้นไปเที่ยวเขาเทียนเหมินชาน ไปง่ายๆ แค่เดินตามสายกระเช้าที่พาดข้ามเมืองไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านคนเอย ตลาดสดเอย ซอกหลืบเอย เล้าเป็ดเล้าไก่เอยจนถึงจุดขึ้นกระเช้า ก็พากันใช้บัตร นศ. ซื้อในราคาลดประมาณครึ่งหนึ่ง ตั๋วมี 2 แบบ คือ
1. ขึ้นด้วยกระเช้า-ลงด้วยรถตู้
2. ขึ้นด้วยรถตู้-ลงด้วยกระเช้า
พวกเราเอาแบบแรกกัน แล้วก็เดินไปเข้าคิว...
พอขึ้นมาเกือบถึงจุดสุดยอด เอ้ย!!! ยอดเขา มองลงไปจะเห็นถนนที่คดเคี้ยวไปมา เห็นแล้วจะร้องไห้ กรูยอมจริงๆ มันอึ้งมากว่าทำไมมันสร้างกันได้ จนทำให้นึกถึงคำคำหนึ่ง "ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยการเริ่มลงมือทำ" และมันก็เป็นยังงั้นจริงๆ
พอมาถึงข้างบนพร้อมกับอากาศที่หนาว หมอกฟุ้งๆ เราก็พบกับภาพบรรยากาศอย่างตื่นตาตื่นใจ ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน พากันยิ้มหน้าบานแก้มปลิคิดค้นท่าถ่ายรูปกันไป...แม้ว่ามีฝนตกปอยๆก็ไม่เป็นอุกสรรค เพราะความงามของทิวทัศน์มันสะกดใจจนลืมเรื่องฟ้าฝนไปเลย เหลือบไปเห็นทางเดินที่ยื่นออกไปในเหวนี่ยิ่งโคตรดีใจ อีเชี่ย มันสร้างกันได้ไง แล้วก็อีเชี่ย กรูจะกล้าเดินไหม 55+
ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ 4-5 แสนรูปเสร็จ ก็พากันเดินมั่ว บ่ฮู่สิไปทางได๋ ก็เลยพากันเดินขึ้นไปบนยอดเขา โคตรเหนื่อย คลานได้กรูคลานไปละ แล้วที่มันเชี่ยสุดๆคือ อ๋อ...ยอดเขาที่เรากำลังปีนขึ้นไปน่ะ มันมีแต่ร้านอาหาร!!! เห็นแล้วถึงกับแทบอยากนอนล้มลงไปกับพื้น วิวก็ไม่มี กรูมาทำอารายยยยยที่นี่ เสียโง่อย่างแรง แล้วก็พากันเดินกลับลงไปจุดขึ้นกระเช้า
ทีนี้ก็พากันมาดูแผนที่และตกลงกันว่าจะเดินตามเส้นทางเที่ยวอ้อมเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดหมายแรกก็คือ ไปเดินบนทางเดินกระจก เดินตามทางไปเรื่อยๆแบบสบายๆเพราะทางไม่ชัน พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับวิวตามทาง แต่ละมุมมันสวยมาก สุดลูกหูลูกตา ดูด้วยตาเปล่าสวยมากกกกกกกก กราบบบบ เดินได้ซักพักก็มาถึงละ "ทางเดินกระจก" เสียวไม่เสียว กล้าไม่กล้า แตกไม่แตก ก็อยู่ตรงนี้ล่ะ ปล. กระจกลายมากมัวมาก แต่ก็ถือว่าเสียวมากอยู่ ก่อนเดินบนกระจก ต้องใส่ผ้าสวมรองเท้านะคับ เชิญชม...
เดินผ่านทางเดินกระจกเสร็จแล้วอย่าลืมคืนผ้าสวมรองเท้านะคับ เดี๋ยวโดนเจ้จีนตบน่วมกลางภูเขาเอานะ *คำเตือนผ้าสวมรองเท้าเหม็นมาก ไม่รู้ตรีนใครเป็นตรีนใครเนาะ และแนะนำว่าไม่ต้องพ่นน้ำหอม เพราะพ่นเป็นโหลก็ช่วยไม่ได้ 55+ เอ้าเฮ้ย...เดินต่อ...พากันเดินตามทางไปเรื่อยๆแล้วเจอมุมนี้ที่โคตรมหัศจรรย์ ไม่รู้จะใช้คำไหนมารรยาย โอ้ยยย...ขนลุก ไม่เชื่อลองดูเองละกัน
ความรู้สึกตื้นตันและสงบร่มเย็นมันซาบซ่านไปทั่วร่างกาย มันมีพลังกายพลังใจอย่างสุดแรง เดินไม่เหนื่อยเลย ภาพที่เกิดขึ้นมันมีแต่ใบหน้าที่อิ่มเอมของเพื่อนๆ รอยยิ้มที่สดใสของทุกคน เห็นแล้วมันรู้สึกอิ่มใจและขอบคุณความกล้า ร่างกายที่แข็งแรง และความอดทนที่นำพาพวกเราให้มาเจอสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้
ตอนที่พวกเราไปกันสะพานกระจกยังไม่เปิด รอบนี้เลยเดินเบาๆชิลๆบนสะพานแขวนที่โยกเยกไปมาซึ่งมีเหวที่ลึกมากระหว่างหุบเขา
พอเดินมาถึงคอสะพาน ลมเย็นๆพัดกระทบตัวกระทบหน้า ก็สูดลงปอดลึกๆ มันโคตรสดชื่น วิวก็สวยงาม อากาศก็เริ่มเป็นใจ ฟ้าเริ่มเปิด แดดอ่อนๆยามเย็นเริ่มสาดแสง... ทุกอย่างดี เพื่อนๆและเราก็มีความสุข สะพานจะโยกจะสั่นไม่มีกลัว แต่