สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นขุนนางคู่บารมีพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครับ และเป็นขุนนางคนสำคัญที่ช่วยให้พระองค์ได้ราชสมบัติ
พงศาวดารระบุว่าเดิมมีตำแหน่งเป็นขุนชำนาญชาญณรงค์ในวังหน้า เมื่อครั้งพระเจ้าบรมโกศรบชนะเจ้าฟ้าอภัยมีความชอบมาก จึงโปรดเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดี คือจตุสดมภ์กรมพระคลัง
ประวัติในช่วงรบกับเจ้าฟ้าอภัย ผมเคยตอบไว้ในกระทู้เก่าแล้วครับ https://pantip.com/topic/34259916
ตั้งแต่ยังเป็นขุนชำนาญก็ปรากฏว่าเป็นที่หวาดระแวงของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ปรากฏในพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ว่า ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๗๐ ในช่วงที่พระเจ้าบรมโกศยังเป็นวังหน้าและผนวชอยู่ เจ้าฟ้าอภัยก็เริ่มพยายามลิดรอนอิทธิพลวังหน้า ด้วยการเอาช้างวังหน้ามาบ้าง เอาขุนนางวังหน้าที่ต้องโทษมารับราชการวังหลวง ซึ่งขุนนางวังหน้าสองคนนั้นก็ทูลยุยงพระเจ้าท้ายสระ และเจ้าฟ้าอภัยว่า
"ถ้าหาหลวงจ่าแสน ขุนชำนาญ นายชิดภูบาลมิได้ การดำริห์สิ่งใดก็จะสดวก"
ประโยคนี้ก็น่าจะสะท้อนความสำคัญของขุนชำนาญต่อพระเจ้าบรมโกศได้เป็นอย่างดี (สำหรับหลวงจ่าแสน คือหลวงจ่าแสนยากร จักรีวังหน้า เมื่อพระเจ้าบรมโกศได้ราชสมบัติได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาสุรศรีว่าที่สมุหนายก ก็น่าจะเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่ง)
นอกจากนี้ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของฝรั่งเศสระบุว่าใน พ.ศ. ๒๒๗๓ สมัยพระเจ้าท้ายสระ ขุนชำนาญ (Khunchaman) เป็นคนโปรดของพระมหาอุปราช (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) เคยพยายามช่วยพวกบาทหลวงฝรั่งเศสที่กำลังมีเรื่องกับพระเจ้าท้ายสระในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ให้ยอมสารภาพผิดขออภัยเพื่อผ่อนหนักเป็นเบา แต่ต่อมาขุนชำนาญถูกเจ้าพระยาพระคลังกล่าวโทษและนำตัวไปไต่สวนต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าท้ายสระ เพราะขุนชำนาญเคยกล่อมสังฆราชที่โดนเจ้าพระยาพระคลังสั่งให้เขียนหนังสือทัณฑ์บนว่าจะเป็นผลเสีย จนสังฆราชยอมเอาหนังสือทัณฑ์บนให้ขุนชำนาญ
อย่างไรก็ตาม ด้วยการให้การของขุนชำนาญเอง บวกกับความช่วยเหลือของพระมหาอุปราช ขุนชำนาญจึงไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์มีอิทธิพลสูงมากเพราะเป็น "King Maker" ได้ควบคุมกรมพระคลัง การค้ากับต่างประเทศรวมถึงกิจการทหารพลเรือนของหัวเมืองฝ่ายใต้ (ถูกโอนมาจากสมุหพระกลาโหมที่ทำความผิด) และหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เครือญาติล้วนอยู่ในตำแหน่งสูง เช่นเจ้าพระยาราชภักดี (สว่าง) เจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติบุตรชาย ได้ว่าที่สมุหนายกใน พ.ศ.๒๒๘๕ เท่ากับว่าอำนาจของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ครอบคลุมถึงกรมมหาดไทยและหัวเมืองฝ่ายเหนือด้วย บุตรเขยคนหนึ่งเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา (ฉิม ได้เป็นพระคลังต่อจากเจ้าพระยาชำนาญฯ) บุตรเขยอีกคนใน พ.ศ.๒๒๘๖ มีตำแหน่งเป็น พระยาสมบัติบาล (ไม่ทราบบรรดาศักดิ์ แต่ พ.ศ.๒๒๙๑ พบหลักฐานว่าเป็น พระยา) เจ้ากรมพระคลังในขวา
นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นอัครมหาเสนาบดีคนสำคัญ จึงทำให้มีขุนนางหลายตระกูลเกี่ยวดองเป็นเครือญาติมาก จะปรากฏว่าหลายนามสกุลที่สามารถสืบสายไปถึงสมัยอยุทธยาได้ มักมีความเกี่ยวดองกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นส่วนใหญ่ครับ
ราชวงศ์จักรีเองก็เป็นเครือญาติกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ โดยมารดาของเจ้าขรัวเงินพระภัสดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางของรัชกาลที่ ๑ เป็นน้องร่วมมารดากับภรรยาเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ และภรรยาเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นป้าของเจ้าขรัวเงิน ซึ่งเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์กับภรรยาท่านนี้มีบุตรชื่อจันทร์ ได้เป็นอุปราชเมืองนครศรีธรรมราชหลังเสียกรุง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้เป็นเจ้าพระยาสุรินทราชา ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตก ๘ เมือง
มีหลักฐานว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เคยทำผิดพลาดในราชการใน พ.ศ.๒๒๘๙ พระเจ้าบรมโกศทรงเพียงแต่ภาคทัณฑ์ไว้ แต่เจ้าพระยาราชภักดีบุตรชายที่ทำความผิดเดียวกันกับถูกโบยหลัง ๒๐ ที น่าจะสะท้อนถึงบารมีของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ในระดับหนึ่ง
"อนึ่งมีหนังสือบอกเมืองนครศรีธรรมราช ว่ากองช้างไปโพน คล้องถูกพลายเถื่อนสูง ช้างหนึ่ง ตา เล็บ หาง ขน ขาว พระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้หลวงราชวังเมือง ไปฝึกชำนิแล้วให้นำมา ฝ่ายเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดีเจ้าพระยาราชภักดีว่าที่สมุหนายก ให้มีตราพระราชสีห์ แลตราบัวแก้ว ออกไปให้กรมการหัวเมืองรายทาง ทำโรงให้เป็นมณฑปมียอดแลหางหงส์กระจังไว้ให้พัก ผู้รั้งกรมการปรึกษากันว่าไม่เคยทำ จึงบอกเข้ามาขออำนวยการออกไปบอกเมืองละคน ครั้นเอาหนังสือขึ้นกราบบังคมทูล มีพระราชโองการให้ถามเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ เจ้าพระยาราชภักดี ว่าแต่โรงรายทางจะได้พักแห่งละวัน ๒ วันก็จะมา แลจะให้ทำโรงมณฑป ครั้นมาถึงกรุงจะทำโรงรับไว้เป็นอย่างไรเล่า นี่หรือจะช่วยทะนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุข แล้วดำรัสให้ภาคโทษเจ้าพระยาชำนาญไว้ครั้งหนึ่ง แต่เจ้าพระยาราชภักดีนั้น ให้ลงพระราชอาญาโบยหลัง ๒๐ ที ครั้นหลวงราชวังนำช้างมาถึงกรุงแล้ว พระราชทานชื่อว่า พระบรมคชลักษณ์ อัครคเชนทร์ วเรนทร สุปดิษฐ์ สิทธิสนทยา มหามงคล วิมลเลิดฟ้า"
นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานด้วยว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ว่าที่เจ้าพระยามหาอุปราช เพราะปรากฏอยู่ในจดหมายระยะทางราชทูตลังกาสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่า
"เวลาประมาณ ๘ โมงเช้าวันนั้น เรือกระบวนถึงพระนครศรีอยุธยา ทูตานุทูตลังกาพากันไปหาเจ้าพระยา (ชำนาญบริรักษ์ ผู้ว่าที่เจ้าพระยา) มหาอุปราช๒๘ เชิญพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการไปให้ตรวจ เจ้าพระยามหาอุปราช แสดงความยินดีปราศรัยทูตานุทูตตามสมควร แล้วบอกว่า จะนัดกำหนดวันเข้าเฝ้าให้ทราบต่อภายหลัง๒๙ เมื่อเสร็จสนทนากับเจ้าพระยามหาอุปราชแล้ว ทูตานุทูตก็ลากลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านวิลันดา๓๐"
"๒๘ ที่แปลว่าเจ้าพระยามหาอุปราชตรงนี้ ด้วยในหนังสือระยะทางราชทูตลังกาที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ บางแห่งเรียกด้วยศัพท์อังกฤษว่าสับกิง บางแห่งเรียกด้วยศัพท์ว่า อุวะราชชุรุ จึงเข้าใจว่า หมายความว่า เจ้าพระยามหาอุปราช ชาติวรวงศ์ฯ นั้นเอง ในหนังสือพระราชพงศาวดารปรากฏแต่ว่า เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ว่ากรมท่า เพราะฉะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่จะรับราชทูตต่างประเทศ จะเป็นผู้อื่นไม่ได้ แต่พึ่งปรากฏในจดหมายเหตุราชทูตลังกาฉบับนี้ ว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้เป็นตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราชตามทำเนียบศักดินาพลเรือนด้วย ตำแหน่งนี้ ในจดหมายเหตุของมองซิเออร์ลาลูแบ ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ว่ามีเจ้าพระยามหาอุปราชในครั้งนั้น ที่เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ว่าที่เจ้าพระยามหาอุปราชนั้น ก็ไม่เป็นการประหลาดอันใด ด้วยเป็นผู้ที่มีความชอบต่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐยิ่งกว่าผู้อื่น แลมีหลักฐานอีกประการ ๑ ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวว่า เมื่อเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงอสัญกรรม โปรดให้เรียกว่าพระศพเหมือนเจ้า ข้อนี้สมกับความในระยะทางราชทูตลังกาข้างตอนปลาย กล่าวถึงเจ้าพระยามหาอุปราชถึงอสัญกรรม"
ออกจะดูแปลก ที่ตั้งตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราช ทั้งที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงเป็นพระมหาอุปราชอยู่แล้ว แต่ถ้าพระวินิจฉัยของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพถูกต้อง เรื่องนี้ก็น่าสนใจครับ
เป็นไปได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศอาจจะทรงคานอำนาจระหว่างขั้วของขุนนางนำโดยเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ซึ่งเป็นขุนนางคู่พระบารมี กับขั้วของเจ้านายทรงกรมที่อาจแบ่งเป็นฝั่งของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรกับฝั่งเจ้าสามกรม ซึ่งด้วยอิทธิพลที่มากมายมหาศาลนี้อาจจะทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรซึ่งเป็นวังหน้าทรงไม่วางพระทัยก็เป็นได้
สอดคล้องกับหลักฐานร่วมสมัยของบาทหลวงฝรั่งเศส (ตีพิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๘ จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินพระเจ้าบรมโกษฐ) ระบุว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไม่ทรงถูกกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ นอกจากนี้ก็ยังมีความแตกต่างในการปฏิบัติต่อคนเข้ารีตและบาทหลวงฝรั่งเศส โดยเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์มักจะมีปัญหากับกลุ่มคนเข้ารีตหลายครั้ง หลายครั้งปรากฏว่าได้ทำการกดขี่บีบบังคับพวกเข้ารีต เบียดเบียนศาสนาคริสต์ โดยปรากฏว่าห้ามคนไทย มอญ ญวน ไปเข้ารีต มีการตั้งศิลาจารึกเป็นคำสั่งในเมืองมะริด แต่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงมีท่าทีเป็นมิตรกับพวกเข้ารีตมากกว่า รวมถึงมีท่าทีอยากจะทรงได้ชาวฝรั่งเศสเป็นพวกด้วย
ปลาย พ.ศ.๒๒๘๖ ถึง ต้น พ.ศ.๒๒๘๗ เกิดปัญหาเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์กดขี่พวกเข้ารีต สังฆราช เดอ โลลีแยร์จึงเขียนหนังสือร้องเรียน "สมบัติบาล" ลูกเขยเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ แต่ก็ไม่เป็นผล
"ในขณะนี้ได้มีคนหลายคนมาแนะนำแก่สังฆราชให้นำเรื่องนี้ ไปทูลแก่พระมหาอุปราชผู้เปนพระราชโอรสของพระเจ้ากรุงสยาม เพราะพระมหาอุปราชไม่ถูกกันกับเจ้าพระยาพระคลัง ทรงหาช่องอยู่ที่จะกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบถึงความชั่วของเจ้าพระยาพระคลัง เพราะเวลานั้นพระเจ้ากรุงสยามทรงไว้ใจเจ้าพระยาพระคลังทุกอย่าง ส่วนพระมหาอุปราชก็คงต้องการให้สังฆราชนำความไปทูล เพราะได้ทรงใช้ให้ข้าราชการมาหาพวกเราหลายหน เพื่อฟังดูว่าสังฆราชจะพูดอย่างไรบ้าง แต่สังฆราชเห็นว่าไม่ควรจะนำเรื่องนี้ไปทูลพระมหาอุปราช เพราะเหตุว่าถ้าทูลไปแล้ว เจ้าพระยาพระคลังก็คงจะถูกกริ้วและถูกติโทษ แต่ถ้าหากว่าเจ้าพระยาพระคลังยังคงรับตำแหน่งนี้อยู่อีก ก็คงจะหาทางมาแก้แค้นสังฆราชและพวกเข้ารีตเปนแน่"
อีกครั้งใน พ.ศ.๒๒๙๑ เกิดแหล่งร่อนทองที่บางสะพาน เมืองกุยบุรี (ปัจจุบันเป็นแหล่งร่อนทองที่มีชื่อเสียง) จึงได้ทองคำส่งเข้าหลวงมาจำนวนมาก พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดให้เอาทองมาหล่อพระพุทธบาทจำลองกับดอกบัวทองและโปรดให้มีขบวนแห่ใหญ่ เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์กับพระยาสมบัติบาลได้รับพระราชโองการให้มาเกณฑ์พวกเข้ารีตให้ถือดอกบัวไปร่วมขวนแห่ด้วย แต่สังฆราชและพวกเข้ารีตไม่ยอมเพราะเห็นว่าผิดหลักศาสนา จึงโดนกดขี่ข่มเหง มีการอ้างพระราชโองการห้ามชาวไทย มอญ ญวนเข้ารีต และก็ให้ชายที่เข้ารีตไปทำงานโยธาขนอิฐใต้บังคับของพระยากลาโหม
แต่ว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรก็ทรงช่วยพวกเข้ารีต โดยทรงแกล้งประชวรและไม่ทรงร่วมขบวนแห่ เพื่อให้พระยากลาโหมมาเฝ้า และรับสั่งกับพระยากลาโหมว่า (สังฆราชระบุว่าได้เรื่องนี้ยินมาจากข้าหลวงของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
"การที่ท่านมาหานี้ข้าพเจ้ายินดีมากเพราะได้ตั้งใจไว้ว่าจะเรียกท่านมาถาม ว่าการที่ท่านให้พวกเข้ารีตไปทำการโยธานั้น ท่านได้รับอำนาจจากใคร ท่านเชื่อว่าเรื่องนี้คงจะยุติกันเพียงนี้หรือ ท่านจะต้องการให้พระราชไมตรีซึ่งเราได้พยายามมีไว้กับเจ้าแผ่นดินในประเทศยุโรปได้ขาดไปหรือ ขอให้ท่านรีบไปจัดการเสียให้เรียบร้อยโดยเร็ว"
เมื่อเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๒๙๖ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็โปรดให้เกียรติเสมอเจ้าโดยพระราชทานชฎาให้สวม และให้เรียกว่า "พระศพ" ดังที่พงศาวดารระบุว่า
"ครั้นปีระกาเบญจศก (จ.ศ. ๑๑๑๕ พ.ศ. ๒๒๙๖) เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ป่วยเป็นลมอัมพาธ ๔ เดือน เศษถึงอนิจกรรมพระราชทานให้ใส่โกศใส่ชฎาเรียกว่าพระศพฌาปนกิจวัดชัยวัฒนาราม"
สันนิษฐานว่าหลังจากเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่กรรมใน พ.ศ.๒๒๙๖ ทำให้ขั้วอำนาจของกลุ่มขุนนางที่มีเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นศูนย์กลางอ่อนกำลังลง ทำให้ขั้วของเจ้าต่างกรมมีอำนาจมากขึ้น จึงเริ่มปรากฏการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มของเจ้าต่างกรมซึ่งเป็นกลุ่มของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าเอกทัศกับเจ้าฟ้าอุทุมพรน่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) กับกลุ่มของเจ้าสามกรม ซึ่งสุดท้ายก็จบด้วยการที่เจ้าสามกรมหาเหตุให้กรมพระราชวังบวรถูกลงอาญาจนสิ้นพระชนม์ได้ใน พ.ศ.๒๒๙๘ ครับ
สำหรับเรื่องสายสกุลของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ มีชื่อจริงว่า อู่ สืบเชื้อสายมาจากพระมหาราชครูศิริวัฒนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บิดาคือเจ้าพระยาพิษณุโลก (เมฆ) ส่วนรายละเอียดเดี๋ยววันนี้ผมจะเช็คให้อีกทีครับ เท่าที่จำได้ไม่ใช่บุคคลเดียวกับเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ครับ
พงศาวดารระบุว่าเดิมมีตำแหน่งเป็นขุนชำนาญชาญณรงค์ในวังหน้า เมื่อครั้งพระเจ้าบรมโกศรบชนะเจ้าฟ้าอภัยมีความชอบมาก จึงโปรดเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดี คือจตุสดมภ์กรมพระคลัง
ประวัติในช่วงรบกับเจ้าฟ้าอภัย ผมเคยตอบไว้ในกระทู้เก่าแล้วครับ https://pantip.com/topic/34259916
ตั้งแต่ยังเป็นขุนชำนาญก็ปรากฏว่าเป็นที่หวาดระแวงของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ปรากฏในพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ว่า ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๗๐ ในช่วงที่พระเจ้าบรมโกศยังเป็นวังหน้าและผนวชอยู่ เจ้าฟ้าอภัยก็เริ่มพยายามลิดรอนอิทธิพลวังหน้า ด้วยการเอาช้างวังหน้ามาบ้าง เอาขุนนางวังหน้าที่ต้องโทษมารับราชการวังหลวง ซึ่งขุนนางวังหน้าสองคนนั้นก็ทูลยุยงพระเจ้าท้ายสระ และเจ้าฟ้าอภัยว่า
"ถ้าหาหลวงจ่าแสน ขุนชำนาญ นายชิดภูบาลมิได้ การดำริห์สิ่งใดก็จะสดวก"
ประโยคนี้ก็น่าจะสะท้อนความสำคัญของขุนชำนาญต่อพระเจ้าบรมโกศได้เป็นอย่างดี (สำหรับหลวงจ่าแสน คือหลวงจ่าแสนยากร จักรีวังหน้า เมื่อพระเจ้าบรมโกศได้ราชสมบัติได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาสุรศรีว่าที่สมุหนายก ก็น่าจะเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่ง)
นอกจากนี้ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของฝรั่งเศสระบุว่าใน พ.ศ. ๒๒๗๓ สมัยพระเจ้าท้ายสระ ขุนชำนาญ (Khunchaman) เป็นคนโปรดของพระมหาอุปราช (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) เคยพยายามช่วยพวกบาทหลวงฝรั่งเศสที่กำลังมีเรื่องกับพระเจ้าท้ายสระในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ให้ยอมสารภาพผิดขออภัยเพื่อผ่อนหนักเป็นเบา แต่ต่อมาขุนชำนาญถูกเจ้าพระยาพระคลังกล่าวโทษและนำตัวไปไต่สวนต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าท้ายสระ เพราะขุนชำนาญเคยกล่อมสังฆราชที่โดนเจ้าพระยาพระคลังสั่งให้เขียนหนังสือทัณฑ์บนว่าจะเป็นผลเสีย จนสังฆราชยอมเอาหนังสือทัณฑ์บนให้ขุนชำนาญ
อย่างไรก็ตาม ด้วยการให้การของขุนชำนาญเอง บวกกับความช่วยเหลือของพระมหาอุปราช ขุนชำนาญจึงไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์มีอิทธิพลสูงมากเพราะเป็น "King Maker" ได้ควบคุมกรมพระคลัง การค้ากับต่างประเทศรวมถึงกิจการทหารพลเรือนของหัวเมืองฝ่ายใต้ (ถูกโอนมาจากสมุหพระกลาโหมที่ทำความผิด) และหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เครือญาติล้วนอยู่ในตำแหน่งสูง เช่นเจ้าพระยาราชภักดี (สว่าง) เจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติบุตรชาย ได้ว่าที่สมุหนายกใน พ.ศ.๒๒๘๕ เท่ากับว่าอำนาจของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ครอบคลุมถึงกรมมหาดไทยและหัวเมืองฝ่ายเหนือด้วย บุตรเขยคนหนึ่งเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา (ฉิม ได้เป็นพระคลังต่อจากเจ้าพระยาชำนาญฯ) บุตรเขยอีกคนใน พ.ศ.๒๒๘๖ มีตำแหน่งเป็น พระยาสมบัติบาล (ไม่ทราบบรรดาศักดิ์ แต่ พ.ศ.๒๒๙๑ พบหลักฐานว่าเป็น พระยา) เจ้ากรมพระคลังในขวา
นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นอัครมหาเสนาบดีคนสำคัญ จึงทำให้มีขุนนางหลายตระกูลเกี่ยวดองเป็นเครือญาติมาก จะปรากฏว่าหลายนามสกุลที่สามารถสืบสายไปถึงสมัยอยุทธยาได้ มักมีความเกี่ยวดองกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นส่วนใหญ่ครับ
ราชวงศ์จักรีเองก็เป็นเครือญาติกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ โดยมารดาของเจ้าขรัวเงินพระภัสดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางของรัชกาลที่ ๑ เป็นน้องร่วมมารดากับภรรยาเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ และภรรยาเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นป้าของเจ้าขรัวเงิน ซึ่งเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์กับภรรยาท่านนี้มีบุตรชื่อจันทร์ ได้เป็นอุปราชเมืองนครศรีธรรมราชหลังเสียกรุง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้เป็นเจ้าพระยาสุรินทราชา ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตก ๘ เมือง
มีหลักฐานว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เคยทำผิดพลาดในราชการใน พ.ศ.๒๒๘๙ พระเจ้าบรมโกศทรงเพียงแต่ภาคทัณฑ์ไว้ แต่เจ้าพระยาราชภักดีบุตรชายที่ทำความผิดเดียวกันกับถูกโบยหลัง ๒๐ ที น่าจะสะท้อนถึงบารมีของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ในระดับหนึ่ง
"อนึ่งมีหนังสือบอกเมืองนครศรีธรรมราช ว่ากองช้างไปโพน คล้องถูกพลายเถื่อนสูง ช้างหนึ่ง ตา เล็บ หาง ขน ขาว พระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้หลวงราชวังเมือง ไปฝึกชำนิแล้วให้นำมา ฝ่ายเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดีเจ้าพระยาราชภักดีว่าที่สมุหนายก ให้มีตราพระราชสีห์ แลตราบัวแก้ว ออกไปให้กรมการหัวเมืองรายทาง ทำโรงให้เป็นมณฑปมียอดแลหางหงส์กระจังไว้ให้พัก ผู้รั้งกรมการปรึกษากันว่าไม่เคยทำ จึงบอกเข้ามาขออำนวยการออกไปบอกเมืองละคน ครั้นเอาหนังสือขึ้นกราบบังคมทูล มีพระราชโองการให้ถามเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ เจ้าพระยาราชภักดี ว่าแต่โรงรายทางจะได้พักแห่งละวัน ๒ วันก็จะมา แลจะให้ทำโรงมณฑป ครั้นมาถึงกรุงจะทำโรงรับไว้เป็นอย่างไรเล่า นี่หรือจะช่วยทะนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุข แล้วดำรัสให้ภาคโทษเจ้าพระยาชำนาญไว้ครั้งหนึ่ง แต่เจ้าพระยาราชภักดีนั้น ให้ลงพระราชอาญาโบยหลัง ๒๐ ที ครั้นหลวงราชวังนำช้างมาถึงกรุงแล้ว พระราชทานชื่อว่า พระบรมคชลักษณ์ อัครคเชนทร์ วเรนทร สุปดิษฐ์ สิทธิสนทยา มหามงคล วิมลเลิดฟ้า"
นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานด้วยว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ว่าที่เจ้าพระยามหาอุปราช เพราะปรากฏอยู่ในจดหมายระยะทางราชทูตลังกาสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่า
"เวลาประมาณ ๘ โมงเช้าวันนั้น เรือกระบวนถึงพระนครศรีอยุธยา ทูตานุทูตลังกาพากันไปหาเจ้าพระยา (ชำนาญบริรักษ์ ผู้ว่าที่เจ้าพระยา) มหาอุปราช๒๘ เชิญพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการไปให้ตรวจ เจ้าพระยามหาอุปราช แสดงความยินดีปราศรัยทูตานุทูตตามสมควร แล้วบอกว่า จะนัดกำหนดวันเข้าเฝ้าให้ทราบต่อภายหลัง๒๙ เมื่อเสร็จสนทนากับเจ้าพระยามหาอุปราชแล้ว ทูตานุทูตก็ลากลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านวิลันดา๓๐"
"๒๘ ที่แปลว่าเจ้าพระยามหาอุปราชตรงนี้ ด้วยในหนังสือระยะทางราชทูตลังกาที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ บางแห่งเรียกด้วยศัพท์อังกฤษว่าสับกิง บางแห่งเรียกด้วยศัพท์ว่า อุวะราชชุรุ จึงเข้าใจว่า หมายความว่า เจ้าพระยามหาอุปราช ชาติวรวงศ์ฯ นั้นเอง ในหนังสือพระราชพงศาวดารปรากฏแต่ว่า เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ว่ากรมท่า เพราะฉะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่จะรับราชทูตต่างประเทศ จะเป็นผู้อื่นไม่ได้ แต่พึ่งปรากฏในจดหมายเหตุราชทูตลังกาฉบับนี้ ว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้เป็นตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราชตามทำเนียบศักดินาพลเรือนด้วย ตำแหน่งนี้ ในจดหมายเหตุของมองซิเออร์ลาลูแบ ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ว่ามีเจ้าพระยามหาอุปราชในครั้งนั้น ที่เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ได้ว่าที่เจ้าพระยามหาอุปราชนั้น ก็ไม่เป็นการประหลาดอันใด ด้วยเป็นผู้ที่มีความชอบต่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐยิ่งกว่าผู้อื่น แลมีหลักฐานอีกประการ ๑ ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวว่า เมื่อเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงอสัญกรรม โปรดให้เรียกว่าพระศพเหมือนเจ้า ข้อนี้สมกับความในระยะทางราชทูตลังกาข้างตอนปลาย กล่าวถึงเจ้าพระยามหาอุปราชถึงอสัญกรรม"
ออกจะดูแปลก ที่ตั้งตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราช ทั้งที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงเป็นพระมหาอุปราชอยู่แล้ว แต่ถ้าพระวินิจฉัยของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพถูกต้อง เรื่องนี้ก็น่าสนใจครับ
เป็นไปได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศอาจจะทรงคานอำนาจระหว่างขั้วของขุนนางนำโดยเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ซึ่งเป็นขุนนางคู่พระบารมี กับขั้วของเจ้านายทรงกรมที่อาจแบ่งเป็นฝั่งของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรกับฝั่งเจ้าสามกรม ซึ่งด้วยอิทธิพลที่มากมายมหาศาลนี้อาจจะทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรซึ่งเป็นวังหน้าทรงไม่วางพระทัยก็เป็นได้
สอดคล้องกับหลักฐานร่วมสมัยของบาทหลวงฝรั่งเศส (ตีพิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๘ จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินพระเจ้าบรมโกษฐ) ระบุว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไม่ทรงถูกกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ นอกจากนี้ก็ยังมีความแตกต่างในการปฏิบัติต่อคนเข้ารีตและบาทหลวงฝรั่งเศส โดยเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์มักจะมีปัญหากับกลุ่มคนเข้ารีตหลายครั้ง หลายครั้งปรากฏว่าได้ทำการกดขี่บีบบังคับพวกเข้ารีต เบียดเบียนศาสนาคริสต์ โดยปรากฏว่าห้ามคนไทย มอญ ญวน ไปเข้ารีต มีการตั้งศิลาจารึกเป็นคำสั่งในเมืองมะริด แต่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงมีท่าทีเป็นมิตรกับพวกเข้ารีตมากกว่า รวมถึงมีท่าทีอยากจะทรงได้ชาวฝรั่งเศสเป็นพวกด้วย
ปลาย พ.ศ.๒๒๘๖ ถึง ต้น พ.ศ.๒๒๘๗ เกิดปัญหาเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์กดขี่พวกเข้ารีต สังฆราช เดอ โลลีแยร์จึงเขียนหนังสือร้องเรียน "สมบัติบาล" ลูกเขยเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ แต่ก็ไม่เป็นผล
"ในขณะนี้ได้มีคนหลายคนมาแนะนำแก่สังฆราชให้นำเรื่องนี้ ไปทูลแก่พระมหาอุปราชผู้เปนพระราชโอรสของพระเจ้ากรุงสยาม เพราะพระมหาอุปราชไม่ถูกกันกับเจ้าพระยาพระคลัง ทรงหาช่องอยู่ที่จะกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบถึงความชั่วของเจ้าพระยาพระคลัง เพราะเวลานั้นพระเจ้ากรุงสยามทรงไว้ใจเจ้าพระยาพระคลังทุกอย่าง ส่วนพระมหาอุปราชก็คงต้องการให้สังฆราชนำความไปทูล เพราะได้ทรงใช้ให้ข้าราชการมาหาพวกเราหลายหน เพื่อฟังดูว่าสังฆราชจะพูดอย่างไรบ้าง แต่สังฆราชเห็นว่าไม่ควรจะนำเรื่องนี้ไปทูลพระมหาอุปราช เพราะเหตุว่าถ้าทูลไปแล้ว เจ้าพระยาพระคลังก็คงจะถูกกริ้วและถูกติโทษ แต่ถ้าหากว่าเจ้าพระยาพระคลังยังคงรับตำแหน่งนี้อยู่อีก ก็คงจะหาทางมาแก้แค้นสังฆราชและพวกเข้ารีตเปนแน่"
อีกครั้งใน พ.ศ.๒๒๙๑ เกิดแหล่งร่อนทองที่บางสะพาน เมืองกุยบุรี (ปัจจุบันเป็นแหล่งร่อนทองที่มีชื่อเสียง) จึงได้ทองคำส่งเข้าหลวงมาจำนวนมาก พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดให้เอาทองมาหล่อพระพุทธบาทจำลองกับดอกบัวทองและโปรดให้มีขบวนแห่ใหญ่ เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์กับพระยาสมบัติบาลได้รับพระราชโองการให้มาเกณฑ์พวกเข้ารีตให้ถือดอกบัวไปร่วมขวนแห่ด้วย แต่สังฆราชและพวกเข้ารีตไม่ยอมเพราะเห็นว่าผิดหลักศาสนา จึงโดนกดขี่ข่มเหง มีการอ้างพระราชโองการห้ามชาวไทย มอญ ญวนเข้ารีต และก็ให้ชายที่เข้ารีตไปทำงานโยธาขนอิฐใต้บังคับของพระยากลาโหม
แต่ว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรก็ทรงช่วยพวกเข้ารีต โดยทรงแกล้งประชวรและไม่ทรงร่วมขบวนแห่ เพื่อให้พระยากลาโหมมาเฝ้า และรับสั่งกับพระยากลาโหมว่า (สังฆราชระบุว่าได้เรื่องนี้ยินมาจากข้าหลวงของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
"การที่ท่านมาหานี้ข้าพเจ้ายินดีมากเพราะได้ตั้งใจไว้ว่าจะเรียกท่านมาถาม ว่าการที่ท่านให้พวกเข้ารีตไปทำการโยธานั้น ท่านได้รับอำนาจจากใคร ท่านเชื่อว่าเรื่องนี้คงจะยุติกันเพียงนี้หรือ ท่านจะต้องการให้พระราชไมตรีซึ่งเราได้พยายามมีไว้กับเจ้าแผ่นดินในประเทศยุโรปได้ขาดไปหรือ ขอให้ท่านรีบไปจัดการเสียให้เรียบร้อยโดยเร็ว"
เมื่อเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๒๙๖ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็โปรดให้เกียรติเสมอเจ้าโดยพระราชทานชฎาให้สวม และให้เรียกว่า "พระศพ" ดังที่พงศาวดารระบุว่า
"ครั้นปีระกาเบญจศก (จ.ศ. ๑๑๑๕ พ.ศ. ๒๒๙๖) เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ป่วยเป็นลมอัมพาธ ๔ เดือน เศษถึงอนิจกรรมพระราชทานให้ใส่โกศใส่ชฎาเรียกว่าพระศพฌาปนกิจวัดชัยวัฒนาราม"
สันนิษฐานว่าหลังจากเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่กรรมใน พ.ศ.๒๒๙๖ ทำให้ขั้วอำนาจของกลุ่มขุนนางที่มีเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์เป็นศูนย์กลางอ่อนกำลังลง ทำให้ขั้วของเจ้าต่างกรมมีอำนาจมากขึ้น จึงเริ่มปรากฏการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มของเจ้าต่างกรมซึ่งเป็นกลุ่มของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าเอกทัศกับเจ้าฟ้าอุทุมพรน่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) กับกลุ่มของเจ้าสามกรม ซึ่งสุดท้ายก็จบด้วยการที่เจ้าสามกรมหาเหตุให้กรมพระราชวังบวรถูกลงอาญาจนสิ้นพระชนม์ได้ใน พ.ศ.๒๒๙๘ ครับ
สำหรับเรื่องสายสกุลของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ มีชื่อจริงว่า อู่ สืบเชื้อสายมาจากพระมหาราชครูศิริวัฒนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บิดาคือเจ้าพระยาพิษณุโลก (เมฆ) ส่วนรายละเอียดเดี๋ยววันนี้ผมจะเช็คให้อีกทีครับ เท่าที่จำได้ไม่ใช่บุคคลเดียวกับเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ครับ
แสดงความคิดเห็น
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศคือใครกันแน่
แล้วเจ้าพระยาอินทวงศาที่อ้างว่าเป็นบุตรเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์นี้ ตกลงท่านเป็นลูกของใครกันแน่ แล้วท่านเคยมีบทบาทอะไรบ้างก่อนจะมาเป็นเจ้าพระยาอินทวงศา
แล้วเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ผู้นี้ มีบทบาทอะไรบ้างในสมัยอยุธยาครับ แล้วท่านไปไหนต่อหลังกรุงแตก