สาวน้อยพลังจิต
บทที่ 8 พรนรก
ทรายโทรศัพท์ไปหาแพรว บอกเรื่องที่เธอรู้จักชื่อและที่อยู่ของโจรปล้นร้านทองจากการมองหน้าในวันนั้น และที่เธอยอมคุยกับแจ็คอีกครั้ง เหตุการณ์ตอนไปพบอาจารย์สะกดจิตครั้งหลังสุดได้รู้เหตุผลว่าทำไมจู่ๆตัวเองจึงมีอำนาจพิเศษขึ้นมา จนถึงการเห็นเหตุการณ์วันประหารชีวิตขุนอินทร์ที่วัดชนะสงคราม ไปจนถึงวันที่เธอนำชื่อและที่อยู่ของโจรไปให้กับตำรวจ
แพรวเองก็คลายจากความตื่นตระหนกไปมากแล้ว กอปรกับความคิดถึงเพื่อนก็เพิ่มทวีขึ้น แสดงความดีใจที่ได้พบกับทรายอีกครั้งหนึ่ง แม้จะผ่านเสียงโทรศัพท์ก็ตาม
“ทำไมแกไม่บอกฉันวะ ว่าแกมองหน้าโจรแล้วก็รู้เรื่องของมันได้”
“ก็มันตกใจนะสิ ที่มองก็ไม่ใช่ว่าใจกล้าตามมองหรอกนะ มันตกใจมากกว่า ว่าทำไมถึงมีเรื่องราวของมันแวบในสมองขึ้นมาเฉยๆ ใจก็เลยนึกแต่ว่าจะติดตามเรื่องที่ได้รับรู้ผ่านการมองหน้ามัน อย่างอื่นเลยไม่ได้คิดถึง
พอมันขี้มอเตอร์ไซค์หายลับไปแล้วก็ยังตกใจอยู่เลย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรานึกไปเอง ฉันเองก็คิดกลับไปกลับมาอยู่หลายวัน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้เรื่องของมันขึ้นมาได้เฉยๆ ลองไปเที่ยวมองหน้าใครต่อใครเพื่อทดลองดูว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างเดียวกันหรือเปล่า ก็ไม่เกิด แล้วก็มีเรื่องตั้งหลายเรื่องให้คิดและตกใจ ฉันก็ตกใจไม่แพ้กันหรอก ที่จะต้องมาเห็นคนโดนยิงตายต่อหน้าต่อตา ไหนเพื่อนรักเราจะมาตัดกันเฉยเลย.........”
“แนะ...ยัยนี้ มีการแขวะด้วยว่ะงานนี้ เอ้า พูดต่อพูดต่อ” แพรวพูดแทรกขึ้น
“มันหลายเรื่องอ่ะ เศร้าจัดเลยไปหาอาจารย์สะกดจิต ก็จ่ายเงินสะกดจิตล่วงหน้าไว้ตั้งหลายหน เลยต้องไปใช้ให้คุ้ม ก็ดีอ่ะ ได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมของนายอินทร์ แต่ที่มันเศร้าอยู่แล้วก็ยิ่งเศร้า ไปเจอหลวงน้าก็พอช่วยได้ให้ทำใจ ก็สบายใจดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เห็นทางออก ไปวัดดันเจอเรื่องวาระสุดท้ายของนายอินทร์อีก........
มาฉุกใจคิดว่า เอาไงก็เอาวะ ไม่รู้จะทำยังไงให้มันกลับคืนมาเหมือนเดิม เพราะเรื่องมันก็เกิดไปแล้ว เราทำหน้าที่ชงให้มันเสร็จๆไปเลยดีกว่า.........
ว่าแต่ว่า แกจะย้ายโรงเรียนจริงๆเหรอ”
“แก....... หาโรงเรียนใหม่มันก็ไม่ใช่ง่ายนะ พ่อฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับแม่สักเท่าไหร่ บอกว่า ถ้าหาวิธีอื่นแก้ปัญหาได้ก็จะให้ฉันกลับมาเรียน เพราะฉันก็ไม่อยากย้ายไปเรียนที่อื่น และที่สำคัญนะ ฉันคิดถึงแกว่ะ...
ภาวนาขอให้ตำรวจจับคนร้ายได้ไวๆ เรื่องจะได้จบๆซะทีเนอะ”
เสียงแพรวแว่วผ่านหูโทรศัพท์
“ฉันก็ภาวนาอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันก็เหงาว่ะ อยากเจอเพื่อนเหมือนกัน”
ทรายวางหูโทรศัพท์ ยังไม่ทันจะคิดอะไร เสียงแม่อรดังแว่วมาจากนอกประตู
“ลูกทราย นอนได้แล้วลูก ดึกมากแล้ว”
“ค่ะ” ทรายตะโกนตอบออกไปแล้วปิดไฟเข้านอน
เธอสงสัยว่าพรุ่งนี้จะได้พบกับอะไรอีก
.................................................................................................................................................................................
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อากาศสดชื่น แสงตะวันรำไร มีเสียงนกเจื้อยแจ้ว สลับเสียงยวดยานบนถนนแว่วเข้ามาในห้องนอน ทรายยังหลับอยู่เลย ความสุขจากการหลับสนิทไม่ต้องฝันร้ายอีกนี่ดีจริงๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงขัดจังหวะการนอน ปลุกให้ทรายตื่นขึ้น ทรายสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง เธอกุลีกุจอยกหูขึ้นฟัง
“ฮัลโหล ทราย ไปเปิดดูทีวีเดี๋ยวนี้เลยนะ ด่วน...........”
เสียงแพรวดังมาจากอีกฟาก ไม่พูดพล่ามทำเพลง ทรายรีบกระโจนออกจากห้องไปเปิดทีวีที่ชั้นล่างทันที
“เช้าวันนี้เวลาประมาณ 2 นาฬิกาเศษ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปล้อมจับโจรปล้นฆ่าร้านทองเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่บ้านไม่มีเลขที่ย่านชานเมือง หลังเกิดการยิงต่อสู้กันประมาณ 5 นาที ตำรวจพบนายแปลง ไม่ทราบนามสกุลตายอยู่ในที่เกิดเหตุ และนายสมหรือหยอง ถูกยิงบาดเจ็บ...........
นายสมรับสารภาพว่านายแปลงเป็นคนวางแผนการปล้นครั้งนี้ และบังคับตนให้เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์พานายแปลงหนีโดยขู่ว่าจะฆ่าให้ตายหากไม่ทำตาม หลังจากนายแปลงปล้นร้านทอง เมื่อเจ้าของร้านตามออกมายิงไม่ถูกนายแปลง นายแปลงจึงยิงสวนกลับไป 2 นัด ถูกเจ้าของร้านที่หน้าผากหนึ่งนัด หน้าอกหนึ่งนัดตายคาที่ แหล่งข่าวแจ้งว่า นายแปลงเคยปล้นร้านทองมาแล้ว 5 ครั้ง ฆ่าเจ้าของร้านทองตายถึง 2 คน........”
ทั้งทรายและแพรวลิงโลดใจ คิดว่าปัญหาคงจบกันเสียที แพรวแต่งตัวมาเรียนในเช้าวันนั้นเลยทีเดียว
..................................................................................................................................................................................
วันนั้นเพื่อนๆที่โรงเรียนดีอกดีใจที่แพรวมาโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง และคนที่ดูเหมือนจะดีใจมากกว่าใครๆก็คือทราย เลิกเรียนแล้วทั้งคู่พากันจูงมือกันกลับบ้าน
“ฉันต้องบอกแม่ว่าแกสัญญาแล้ว ว่าจะไม่เที่ยวช่วยใครต่อใครให้เปรอะไปหมด และเมื่อไหร่เกิดพลังจิตอะไรอย่างนี้อีกแกต้องรีบบอกฉันเป็นคนแรก”
พูดจบแพรวหันมองตาทรายเป็นเชิงให้ยอมรับและปฏิบัติในคำพูดของเธอ ทรายพยักหน้าตอบรับ ทั้งคู่เดินกอดคอกันเดินไปตามถนนอย่างมีความสุข
“ฉันบอกแม่ว่าเงินที่ได้ค่าตอบคำถามชิงรางวัลน่ะ แก่กับอ้ายแจ๊คอุปโลกน์ขึ้นมา อยากขอไปคืน แม่ฟังแล้วงอนๆ เพราะใช้เงินหมดไปแล้ว แต่บอกอีก 2-3 วันจะเอามาคืนให้”
ทรายว่า แพรวส่ายหน้า
“อย่าคืนนะ เพราะถ้าแกคืนแจ็ค แกก็ต้องเอามาคืนฉันด้วย ซึ่งฉันก็ไม่อยากได้คืน และอ้ายแจ็คมันก็คงไม่อยากได้คืน อีกอย่างมันเป็นความคิดพิเรนทร์ของเราเองไม่เกี่ยวกับแก อย่าเอามาคืนนะ ถ้าเอามาคืนเสียเพื่อนจริงๆด้วย”
แพรวหันมองทรายอย่างจริงจัง ทรายไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร ก็เหลือบไปเห็นร้อยตำรวจโทปราบยืนยิ้มอยู่เบื้องหน้า เธออึ้งไปสักครู่ เพราะไม่คาดฝันว่าจะได้เจอ แพรวหันไปตามสายตาทรายก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวง่ายๆแต่ดูเท่มาก คิ้วที่ดกดำริมฝีปากบางเหยียดเป็นเส้นตรง หุ่นที่ดูทะมัดทะแมงเล่นเอาแพรวอึ้งไปเหมือนกัน
พอเริ่มตั้งสติได้ แพรวใช้ศอกสะกิดทรายแล้วกระซิบกระซาบถาม
“ใครอ่ะ ทราย”
“สวัสดีค่ะ คุณผู้หมวด วันนี้มีอะไรจะสอบปากคำทรายเพิ่มนะเปล่าคะ หรือจะมาจับข้อหาให้เบาะแสกับตำรวจได้ตรงเป๊ะ”
แม้ทรายจะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหมวดปราบ แต่เธอก็รู้สึกสดชื่นอย่างไรไม่รู้ มันบอกไม่ถูก ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะได้พบ เธออาจจะเริ่มต้นทักทายด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง แต่บทจะได้มาเจอกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำไมเธอถึงรู้สึกฝืนยิ้มไว้ไม่อยู่ก็ไม่รู้นะ
“สวัสดีครับ ผมเพิ่งไปทำธุระใกล้ๆนี้ พอดีเห็นว่าอยู่ห่างจากโรงเรียนของคุณทรายเลยลองเสี่ยงแวะมา กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะมาทันโรงเรียนเลิกหรือเปล่า ถ้ามาช้ากว่านี้คุณทรายอาจจะกลับไปแล้วก็ได้”
หมวดยิ้มให้ ตะเบ๊ะน้อยๆด้วย เท่มาก ก่อนที่จะคุยกับทรายด้วยท่าทีที่สุภาพ
“อ๋อ ถ้าให้เดาคุณต้องเป็นอีตาหมวดขี้เต๊ะที่ทรายพูดถึงแน่เลย ใช่มั้ยคะ แต่เห็นตัวจริงแล้วไม่เห็นจะเต๊ะเลย หล่อดีออกกกก แถมแต่งตัวไม่เหมือนตำรวจเลยอ่ะ เหมือนหนุ่มแถวเซ็นเตอร์พอยท์มากกว่า”
แพรวพูดพลางทำตาแหวนแหววกับหมวดแล้วหันมาทำท่าพะยักพะเยิดและยิ้มให้ทรายด้วยแววตาประมาณว่า “จีบเลยเด๊ะ”
หมวดหนุ่มยิ้มเขินๆแล้วลอบมองทรายด้วยแววตาซึ้ง สาววัยรุ่นมีหนุ่มๆลอบมองทำตาหวานก็ออกอาการเขินไม่แพ้กัน ทรายทำตัวไม่ถูกได้แต่ใช้มือบิดหูกระเป๋านักเรียนไปมา
“ทราย รถฉันมาแล้วกลับบ้านก่อนละกัน ระวังหูกระเป๋าหักนะเพื่อน”
แพรวตัดช่องน้อยแต่พอตัวรีบกระโดดขึ้นรถเมล์กลับบ้านไป ปล่อยให้ทรายยืนเอ๋อหลบตาหมวดหนุ่มเลิกลั่ก
ไม่ปล่อยให้เสียเวลา หมวดหนุ่มรีบจูงทรายมาคุยในที่ลับคน ตอนนี้เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
“ผมเป็นห่วงคุณ”
พอทรายได้ยินคำพูดของหมวดหนุ่ม รู้สึกว่าจะรุกเธอเร็วไปหน่อย เด็กสาวรู้สึกว่าต้องไว้ฟอร์มบ้าง เลยโพล่งออกไป
“ร้อยวันพันปีทรายไม่เคยเป็นอะไร วันนี้จู่ๆจะมาเป็นห่วง ไม่แปลกมากเกินไปหรือคะ”
“บ่ายวันนี้ นายสม หนึ่งในสองโจรปล้นธนาคารหลบหนีออกมาได้”
“อะไรนะ”
“เป็นความบกพร่องของทางเราเอง เจ้าหน้าที่อาจจะชะล่าใจ เพราะเห็นว่านายสมเป็นแค่คนขี่มอเตอร์ไซค์เลยไม่ได้ควบคุมตัวอย่างรัดกุม เราให้ตำรวจคุมนายสม 2 นาย ช่วงที่คนนึงเข้าห้องน้ำ นายสมฉวยโอกาสทำร้ายตำรวจอีกคนแล้วหลบหนีไป............
ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคุณรู้จักกับโจรพวกนี้ได้ยังไง”
“ตกลงที่คุณมาเพราะไม่ได้เป็นห่วงฉัน เป็นเพราะคุณคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกับโจรและสงสัยว่าฉันต้องรู้ว่ามันหนีไปไหน”
ทรายโพล่งออกมาเสียงดัง
“ไม่ใช่ คุณอย่าเข้าใจผิด แต่ให้พูดก็พูดเถอะนะ คุณจะให้ผมเชื่อได้ยังไง ว่าโจรมันเขียนที่อยู่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพราะเท่าที่เราสืบมาได้ บ้านหลังที่เจ้าสองโจรหนีไปกบดานทั้งจากการสืบเบื้องลึก ทั้งจากการให้ปากคำของอ้ายสม มันทั้งสองคนเข้าไปแอบซ่อนในบ้านได้โดยบังเอิญหลังจากปล้นทองมาแล้ว มันเองยังไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะไปไหน”
“คุณก็เลยคิดว่าฉันโกหก”
“ผมเพียงแต่ต้องการถามให้แน่ใจ ยังไงก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง ซึ่งผมเลือกที่จะเชื่อคุณ แต่เรื่องนี้ก็ยังมีประเด็นที่เราสะสางไม่ได้อยู่ดี ทำไมมันต้องเขียนที่อยู่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ และเท่าที่เราสืบมา วันนั้นทั้งอ้ายแปลงและอ้ายสมใส่เสื้อยืด และทั้งคู่มีเสื้อวอร์มรูดซิปปิดอีกต่างหาก”
ทรายอึ้งไปพักใหญ่ เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี คิดกลับไปกลับมาแต่ว่าจะบอกความจริงดีมั้ย บอกแล้วใครจะเชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มีประโยชน์ที่จะบอก แต่ถ้าไม่พูดอะไรเธอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี และนี่ อ้ายสมคนขี่มอเตอร์ไซค์หนีรอดไปได้ จะมีเรื่องโยงใยมาถึงเธอได้หรือเปล่า
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด ฉันบอกคุณไปหมดแล้ว พอแค่นี้แหละนะ ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน เดี๋ยวแม่จะคอย”
เธอออกเดินไปอย่างไม่แยแสหมวดปราบที่ยืนเม้มริมฝีปากอยู่ข้างหลัง
นายตำรวจหนุ่มก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อทรายเดินลับไปแล้วจ่าสมหมายกับตำรวจอีกนายเดินเข้ามา
“สะกดรอยตามเธอไว้ คืนนี้จัดกำลังไปซุ่มหน้าบ้านด้วย เธออาจตกอยู่ในอันตราย หรือไม่ เธอก็เป็นหนึ่งในพวกโจร อาจจะคิดหลบหนี”
..................................................................................................................................................................................
“กลับแล้วเหรอคะ คุณแพรว”
ป้าชื่นเดินยิ้มมาแต่ไกล เปิดประตูบ้านให้แพรวเข้าในบ้าน
“ไม่มีใครอยู่บ้านนะคะคุณแพรว คุณผู้ชายไปประชุมที่เชียงใหม่ คุณนายไปงานโปรโมทสินค้าที่ภูเก็ต เดี๋ยวป้าจะไปซื้อกับข้าว เย็นๆคงเข้ามา ช่วยเฝ้าบ้านหน่อยนะคะ แล้วคุณแพรวจะเอาอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
“โห ดีมาก พ่อไปทางแม่ไปทาง ทิ้งลูกสาวคนเดียวไว้อีกละ ตกลงแพรวเป็นลูกป้าชื่นมากกว่ามั้งเนี่ย”
“แหม ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ท่านๆก็มีงานสำคัญต้องทำนะคะ ที่ไปทำงานก็เพื่อคุณแพรวนี่แหละค่ะ”
“ป้าก็ดูดิ บ้านตั้งใหญ่ ทิ้งลูกสาวไว้คนเดียวกับแม่บ้าน ป้าซื้อเอแคลร์ร้านที่แพรวชอบกินมาฝากด้วยละกัน”
พูดจบแพรวจะเดินขึ้นบ้านไป ป้าชื่นจะส่งกุญแจบ้านให้ แพรวเลยหันกลับมา
“ไม่ต้องหรอกป้า เดี๋ยวแพรวจะขึ้นห้องเล่นคอมฯเปิดเว็ปหาแฟน ป้ากลับมาถึงก็เปิดประตูเองละกัน แพรวขี้เกียจวิ่งขึ้นวิ่งลง”
“ทำไมต้องเปิดเว็ปหาแฟนละคะคุณหนู”
“ก็วันนี้อ่ะ มีหนุ่มนะ โคตรหล่อเลยแหละป้า มายืนรอนังทรายตั้งแต่ยังไม่เลิกเรียน เนี่ย ถ้าไม่เตรียมหาแฟนไว้แต่เนิ่นๆ มีหวังต้องเดินคนเดียวแน่ หรือไม่ก็ ที่เป็นตัวประกอบให้นังทรายมันอยู่แล้ว สงสัยต่อไปยิ่งกลายเป็นตัวประกอบไม่มีอันดับมากขึ้นอีกแน่”
แพรวพูดจบก็เดินขึ้นบ้านไป ป้ามองตามสักพักก็เดินออกจากบ้านแล้วล็อคกุญแจก่อนเดินทางไปตลาด
ทั้งคู่หารู้ไม่ ว่าคำสนทนาที่พูดกันอยู่นั้น มีใครบางคนแอบซุ่มฟังอยู่ อีกไม่นานแล้ว ภัยร้ายแรงจะคืบคลานเข้าประชิดตัวแพรว
แพรวเดินเข้าในครัวหยิบขนมกับน้ำแล้วถือเดินเข้าในห้องนอนเปิดเพลงแล้วนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทันที
อีกพักเดียวเธอได้ยินเสียงกุกกักเหมือนมีใครเดินอยู่ที่ห้องโถง แต่แพรวไม่ได้ใส่ใจ เข้าใจว่าคงเป็นป้าชื่นอาจลืมอะไรบางอย่างแล้วกลับเข้ามาในบ้าน เสียงนั้นเหมือนใกล้เข้ามาที่ห้องนอนของแพรว พักเดียวก็มีเสียงเหมือนใครสักคนพยายามหมุนลูกบิดประตูเข้ามา
“ไร
สาวน้อยพลังจิต บทที่ 8 พรนรก
บทที่ 8 พรนรก
ทรายโทรศัพท์ไปหาแพรว บอกเรื่องที่เธอรู้จักชื่อและที่อยู่ของโจรปล้นร้านทองจากการมองหน้าในวันนั้น และที่เธอยอมคุยกับแจ็คอีกครั้ง เหตุการณ์ตอนไปพบอาจารย์สะกดจิตครั้งหลังสุดได้รู้เหตุผลว่าทำไมจู่ๆตัวเองจึงมีอำนาจพิเศษขึ้นมา จนถึงการเห็นเหตุการณ์วันประหารชีวิตขุนอินทร์ที่วัดชนะสงคราม ไปจนถึงวันที่เธอนำชื่อและที่อยู่ของโจรไปให้กับตำรวจ
แพรวเองก็คลายจากความตื่นตระหนกไปมากแล้ว กอปรกับความคิดถึงเพื่อนก็เพิ่มทวีขึ้น แสดงความดีใจที่ได้พบกับทรายอีกครั้งหนึ่ง แม้จะผ่านเสียงโทรศัพท์ก็ตาม
“ทำไมแกไม่บอกฉันวะ ว่าแกมองหน้าโจรแล้วก็รู้เรื่องของมันได้”
“ก็มันตกใจนะสิ ที่มองก็ไม่ใช่ว่าใจกล้าตามมองหรอกนะ มันตกใจมากกว่า ว่าทำไมถึงมีเรื่องราวของมันแวบในสมองขึ้นมาเฉยๆ ใจก็เลยนึกแต่ว่าจะติดตามเรื่องที่ได้รับรู้ผ่านการมองหน้ามัน อย่างอื่นเลยไม่ได้คิดถึง
พอมันขี้มอเตอร์ไซค์หายลับไปแล้วก็ยังตกใจอยู่เลย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรานึกไปเอง ฉันเองก็คิดกลับไปกลับมาอยู่หลายวัน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้เรื่องของมันขึ้นมาได้เฉยๆ ลองไปเที่ยวมองหน้าใครต่อใครเพื่อทดลองดูว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างเดียวกันหรือเปล่า ก็ไม่เกิด แล้วก็มีเรื่องตั้งหลายเรื่องให้คิดและตกใจ ฉันก็ตกใจไม่แพ้กันหรอก ที่จะต้องมาเห็นคนโดนยิงตายต่อหน้าต่อตา ไหนเพื่อนรักเราจะมาตัดกันเฉยเลย.........”
“แนะ...ยัยนี้ มีการแขวะด้วยว่ะงานนี้ เอ้า พูดต่อพูดต่อ” แพรวพูดแทรกขึ้น
“มันหลายเรื่องอ่ะ เศร้าจัดเลยไปหาอาจารย์สะกดจิต ก็จ่ายเงินสะกดจิตล่วงหน้าไว้ตั้งหลายหน เลยต้องไปใช้ให้คุ้ม ก็ดีอ่ะ ได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมของนายอินทร์ แต่ที่มันเศร้าอยู่แล้วก็ยิ่งเศร้า ไปเจอหลวงน้าก็พอช่วยได้ให้ทำใจ ก็สบายใจดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เห็นทางออก ไปวัดดันเจอเรื่องวาระสุดท้ายของนายอินทร์อีก........
มาฉุกใจคิดว่า เอาไงก็เอาวะ ไม่รู้จะทำยังไงให้มันกลับคืนมาเหมือนเดิม เพราะเรื่องมันก็เกิดไปแล้ว เราทำหน้าที่ชงให้มันเสร็จๆไปเลยดีกว่า.........
ว่าแต่ว่า แกจะย้ายโรงเรียนจริงๆเหรอ”
“แก....... หาโรงเรียนใหม่มันก็ไม่ใช่ง่ายนะ พ่อฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับแม่สักเท่าไหร่ บอกว่า ถ้าหาวิธีอื่นแก้ปัญหาได้ก็จะให้ฉันกลับมาเรียน เพราะฉันก็ไม่อยากย้ายไปเรียนที่อื่น และที่สำคัญนะ ฉันคิดถึงแกว่ะ...
ภาวนาขอให้ตำรวจจับคนร้ายได้ไวๆ เรื่องจะได้จบๆซะทีเนอะ”
เสียงแพรวแว่วผ่านหูโทรศัพท์
“ฉันก็ภาวนาอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันก็เหงาว่ะ อยากเจอเพื่อนเหมือนกัน”
ทรายวางหูโทรศัพท์ ยังไม่ทันจะคิดอะไร เสียงแม่อรดังแว่วมาจากนอกประตู
“ลูกทราย นอนได้แล้วลูก ดึกมากแล้ว”
“ค่ะ” ทรายตะโกนตอบออกไปแล้วปิดไฟเข้านอน
เธอสงสัยว่าพรุ่งนี้จะได้พบกับอะไรอีก
.................................................................................................................................................................................
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อากาศสดชื่น แสงตะวันรำไร มีเสียงนกเจื้อยแจ้ว สลับเสียงยวดยานบนถนนแว่วเข้ามาในห้องนอน ทรายยังหลับอยู่เลย ความสุขจากการหลับสนิทไม่ต้องฝันร้ายอีกนี่ดีจริงๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงขัดจังหวะการนอน ปลุกให้ทรายตื่นขึ้น ทรายสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง เธอกุลีกุจอยกหูขึ้นฟัง
“ฮัลโหล ทราย ไปเปิดดูทีวีเดี๋ยวนี้เลยนะ ด่วน...........”
เสียงแพรวดังมาจากอีกฟาก ไม่พูดพล่ามทำเพลง ทรายรีบกระโจนออกจากห้องไปเปิดทีวีที่ชั้นล่างทันที
“เช้าวันนี้เวลาประมาณ 2 นาฬิกาเศษ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปล้อมจับโจรปล้นฆ่าร้านทองเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่บ้านไม่มีเลขที่ย่านชานเมือง หลังเกิดการยิงต่อสู้กันประมาณ 5 นาที ตำรวจพบนายแปลง ไม่ทราบนามสกุลตายอยู่ในที่เกิดเหตุ และนายสมหรือหยอง ถูกยิงบาดเจ็บ...........
นายสมรับสารภาพว่านายแปลงเป็นคนวางแผนการปล้นครั้งนี้ และบังคับตนให้เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์พานายแปลงหนีโดยขู่ว่าจะฆ่าให้ตายหากไม่ทำตาม หลังจากนายแปลงปล้นร้านทอง เมื่อเจ้าของร้านตามออกมายิงไม่ถูกนายแปลง นายแปลงจึงยิงสวนกลับไป 2 นัด ถูกเจ้าของร้านที่หน้าผากหนึ่งนัด หน้าอกหนึ่งนัดตายคาที่ แหล่งข่าวแจ้งว่า นายแปลงเคยปล้นร้านทองมาแล้ว 5 ครั้ง ฆ่าเจ้าของร้านทองตายถึง 2 คน........”
ทั้งทรายและแพรวลิงโลดใจ คิดว่าปัญหาคงจบกันเสียที แพรวแต่งตัวมาเรียนในเช้าวันนั้นเลยทีเดียว
..................................................................................................................................................................................
วันนั้นเพื่อนๆที่โรงเรียนดีอกดีใจที่แพรวมาโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง และคนที่ดูเหมือนจะดีใจมากกว่าใครๆก็คือทราย เลิกเรียนแล้วทั้งคู่พากันจูงมือกันกลับบ้าน
“ฉันต้องบอกแม่ว่าแกสัญญาแล้ว ว่าจะไม่เที่ยวช่วยใครต่อใครให้เปรอะไปหมด และเมื่อไหร่เกิดพลังจิตอะไรอย่างนี้อีกแกต้องรีบบอกฉันเป็นคนแรก”
พูดจบแพรวหันมองตาทรายเป็นเชิงให้ยอมรับและปฏิบัติในคำพูดของเธอ ทรายพยักหน้าตอบรับ ทั้งคู่เดินกอดคอกันเดินไปตามถนนอย่างมีความสุข
“ฉันบอกแม่ว่าเงินที่ได้ค่าตอบคำถามชิงรางวัลน่ะ แก่กับอ้ายแจ๊คอุปโลกน์ขึ้นมา อยากขอไปคืน แม่ฟังแล้วงอนๆ เพราะใช้เงินหมดไปแล้ว แต่บอกอีก 2-3 วันจะเอามาคืนให้”
ทรายว่า แพรวส่ายหน้า
“อย่าคืนนะ เพราะถ้าแกคืนแจ็ค แกก็ต้องเอามาคืนฉันด้วย ซึ่งฉันก็ไม่อยากได้คืน และอ้ายแจ็คมันก็คงไม่อยากได้คืน อีกอย่างมันเป็นความคิดพิเรนทร์ของเราเองไม่เกี่ยวกับแก อย่าเอามาคืนนะ ถ้าเอามาคืนเสียเพื่อนจริงๆด้วย”
แพรวหันมองทรายอย่างจริงจัง ทรายไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร ก็เหลือบไปเห็นร้อยตำรวจโทปราบยืนยิ้มอยู่เบื้องหน้า เธออึ้งไปสักครู่ เพราะไม่คาดฝันว่าจะได้เจอ แพรวหันไปตามสายตาทรายก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวง่ายๆแต่ดูเท่มาก คิ้วที่ดกดำริมฝีปากบางเหยียดเป็นเส้นตรง หุ่นที่ดูทะมัดทะแมงเล่นเอาแพรวอึ้งไปเหมือนกัน
พอเริ่มตั้งสติได้ แพรวใช้ศอกสะกิดทรายแล้วกระซิบกระซาบถาม
“ใครอ่ะ ทราย”
“สวัสดีค่ะ คุณผู้หมวด วันนี้มีอะไรจะสอบปากคำทรายเพิ่มนะเปล่าคะ หรือจะมาจับข้อหาให้เบาะแสกับตำรวจได้ตรงเป๊ะ”
แม้ทรายจะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหมวดปราบ แต่เธอก็รู้สึกสดชื่นอย่างไรไม่รู้ มันบอกไม่ถูก ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะได้พบ เธออาจจะเริ่มต้นทักทายด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง แต่บทจะได้มาเจอกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำไมเธอถึงรู้สึกฝืนยิ้มไว้ไม่อยู่ก็ไม่รู้นะ
“สวัสดีครับ ผมเพิ่งไปทำธุระใกล้ๆนี้ พอดีเห็นว่าอยู่ห่างจากโรงเรียนของคุณทรายเลยลองเสี่ยงแวะมา กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะมาทันโรงเรียนเลิกหรือเปล่า ถ้ามาช้ากว่านี้คุณทรายอาจจะกลับไปแล้วก็ได้”
หมวดยิ้มให้ ตะเบ๊ะน้อยๆด้วย เท่มาก ก่อนที่จะคุยกับทรายด้วยท่าทีที่สุภาพ
“อ๋อ ถ้าให้เดาคุณต้องเป็นอีตาหมวดขี้เต๊ะที่ทรายพูดถึงแน่เลย ใช่มั้ยคะ แต่เห็นตัวจริงแล้วไม่เห็นจะเต๊ะเลย หล่อดีออกกกก แถมแต่งตัวไม่เหมือนตำรวจเลยอ่ะ เหมือนหนุ่มแถวเซ็นเตอร์พอยท์มากกว่า”
แพรวพูดพลางทำตาแหวนแหววกับหมวดแล้วหันมาทำท่าพะยักพะเยิดและยิ้มให้ทรายด้วยแววตาประมาณว่า “จีบเลยเด๊ะ”
หมวดหนุ่มยิ้มเขินๆแล้วลอบมองทรายด้วยแววตาซึ้ง สาววัยรุ่นมีหนุ่มๆลอบมองทำตาหวานก็ออกอาการเขินไม่แพ้กัน ทรายทำตัวไม่ถูกได้แต่ใช้มือบิดหูกระเป๋านักเรียนไปมา
“ทราย รถฉันมาแล้วกลับบ้านก่อนละกัน ระวังหูกระเป๋าหักนะเพื่อน”
แพรวตัดช่องน้อยแต่พอตัวรีบกระโดดขึ้นรถเมล์กลับบ้านไป ปล่อยให้ทรายยืนเอ๋อหลบตาหมวดหนุ่มเลิกลั่ก
ไม่ปล่อยให้เสียเวลา หมวดหนุ่มรีบจูงทรายมาคุยในที่ลับคน ตอนนี้เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
“ผมเป็นห่วงคุณ”
พอทรายได้ยินคำพูดของหมวดหนุ่ม รู้สึกว่าจะรุกเธอเร็วไปหน่อย เด็กสาวรู้สึกว่าต้องไว้ฟอร์มบ้าง เลยโพล่งออกไป
“ร้อยวันพันปีทรายไม่เคยเป็นอะไร วันนี้จู่ๆจะมาเป็นห่วง ไม่แปลกมากเกินไปหรือคะ”
“บ่ายวันนี้ นายสม หนึ่งในสองโจรปล้นธนาคารหลบหนีออกมาได้”
“อะไรนะ”
“เป็นความบกพร่องของทางเราเอง เจ้าหน้าที่อาจจะชะล่าใจ เพราะเห็นว่านายสมเป็นแค่คนขี่มอเตอร์ไซค์เลยไม่ได้ควบคุมตัวอย่างรัดกุม เราให้ตำรวจคุมนายสม 2 นาย ช่วงที่คนนึงเข้าห้องน้ำ นายสมฉวยโอกาสทำร้ายตำรวจอีกคนแล้วหลบหนีไป............
ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคุณรู้จักกับโจรพวกนี้ได้ยังไง”
“ตกลงที่คุณมาเพราะไม่ได้เป็นห่วงฉัน เป็นเพราะคุณคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกับโจรและสงสัยว่าฉันต้องรู้ว่ามันหนีไปไหน”
ทรายโพล่งออกมาเสียงดัง
“ไม่ใช่ คุณอย่าเข้าใจผิด แต่ให้พูดก็พูดเถอะนะ คุณจะให้ผมเชื่อได้ยังไง ว่าโจรมันเขียนที่อยู่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพราะเท่าที่เราสืบมาได้ บ้านหลังที่เจ้าสองโจรหนีไปกบดานทั้งจากการสืบเบื้องลึก ทั้งจากการให้ปากคำของอ้ายสม มันทั้งสองคนเข้าไปแอบซ่อนในบ้านได้โดยบังเอิญหลังจากปล้นทองมาแล้ว มันเองยังไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะไปไหน”
“คุณก็เลยคิดว่าฉันโกหก”
“ผมเพียงแต่ต้องการถามให้แน่ใจ ยังไงก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง ซึ่งผมเลือกที่จะเชื่อคุณ แต่เรื่องนี้ก็ยังมีประเด็นที่เราสะสางไม่ได้อยู่ดี ทำไมมันต้องเขียนที่อยู่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ และเท่าที่เราสืบมา วันนั้นทั้งอ้ายแปลงและอ้ายสมใส่เสื้อยืด และทั้งคู่มีเสื้อวอร์มรูดซิปปิดอีกต่างหาก”
ทรายอึ้งไปพักใหญ่ เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี คิดกลับไปกลับมาแต่ว่าจะบอกความจริงดีมั้ย บอกแล้วใครจะเชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มีประโยชน์ที่จะบอก แต่ถ้าไม่พูดอะไรเธอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี และนี่ อ้ายสมคนขี่มอเตอร์ไซค์หนีรอดไปได้ จะมีเรื่องโยงใยมาถึงเธอได้หรือเปล่า
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด ฉันบอกคุณไปหมดแล้ว พอแค่นี้แหละนะ ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน เดี๋ยวแม่จะคอย”
เธอออกเดินไปอย่างไม่แยแสหมวดปราบที่ยืนเม้มริมฝีปากอยู่ข้างหลัง
นายตำรวจหนุ่มก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อทรายเดินลับไปแล้วจ่าสมหมายกับตำรวจอีกนายเดินเข้ามา
“สะกดรอยตามเธอไว้ คืนนี้จัดกำลังไปซุ่มหน้าบ้านด้วย เธออาจตกอยู่ในอันตราย หรือไม่ เธอก็เป็นหนึ่งในพวกโจร อาจจะคิดหลบหนี”
..................................................................................................................................................................................
“กลับแล้วเหรอคะ คุณแพรว”
ป้าชื่นเดินยิ้มมาแต่ไกล เปิดประตูบ้านให้แพรวเข้าในบ้าน
“ไม่มีใครอยู่บ้านนะคะคุณแพรว คุณผู้ชายไปประชุมที่เชียงใหม่ คุณนายไปงานโปรโมทสินค้าที่ภูเก็ต เดี๋ยวป้าจะไปซื้อกับข้าว เย็นๆคงเข้ามา ช่วยเฝ้าบ้านหน่อยนะคะ แล้วคุณแพรวจะเอาอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
“โห ดีมาก พ่อไปทางแม่ไปทาง ทิ้งลูกสาวคนเดียวไว้อีกละ ตกลงแพรวเป็นลูกป้าชื่นมากกว่ามั้งเนี่ย”
“แหม ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ท่านๆก็มีงานสำคัญต้องทำนะคะ ที่ไปทำงานก็เพื่อคุณแพรวนี่แหละค่ะ”
“ป้าก็ดูดิ บ้านตั้งใหญ่ ทิ้งลูกสาวไว้คนเดียวกับแม่บ้าน ป้าซื้อเอแคลร์ร้านที่แพรวชอบกินมาฝากด้วยละกัน”
พูดจบแพรวจะเดินขึ้นบ้านไป ป้าชื่นจะส่งกุญแจบ้านให้ แพรวเลยหันกลับมา
“ไม่ต้องหรอกป้า เดี๋ยวแพรวจะขึ้นห้องเล่นคอมฯเปิดเว็ปหาแฟน ป้ากลับมาถึงก็เปิดประตูเองละกัน แพรวขี้เกียจวิ่งขึ้นวิ่งลง”
“ทำไมต้องเปิดเว็ปหาแฟนละคะคุณหนู”
“ก็วันนี้อ่ะ มีหนุ่มนะ โคตรหล่อเลยแหละป้า มายืนรอนังทรายตั้งแต่ยังไม่เลิกเรียน เนี่ย ถ้าไม่เตรียมหาแฟนไว้แต่เนิ่นๆ มีหวังต้องเดินคนเดียวแน่ หรือไม่ก็ ที่เป็นตัวประกอบให้นังทรายมันอยู่แล้ว สงสัยต่อไปยิ่งกลายเป็นตัวประกอบไม่มีอันดับมากขึ้นอีกแน่”
แพรวพูดจบก็เดินขึ้นบ้านไป ป้ามองตามสักพักก็เดินออกจากบ้านแล้วล็อคกุญแจก่อนเดินทางไปตลาด
ทั้งคู่หารู้ไม่ ว่าคำสนทนาที่พูดกันอยู่นั้น มีใครบางคนแอบซุ่มฟังอยู่ อีกไม่นานแล้ว ภัยร้ายแรงจะคืบคลานเข้าประชิดตัวแพรว
แพรวเดินเข้าในครัวหยิบขนมกับน้ำแล้วถือเดินเข้าในห้องนอนเปิดเพลงแล้วนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทันที
อีกพักเดียวเธอได้ยินเสียงกุกกักเหมือนมีใครเดินอยู่ที่ห้องโถง แต่แพรวไม่ได้ใส่ใจ เข้าใจว่าคงเป็นป้าชื่นอาจลืมอะไรบางอย่างแล้วกลับเข้ามาในบ้าน เสียงนั้นเหมือนใกล้เข้ามาที่ห้องนอนของแพรว พักเดียวก็มีเสียงเหมือนใครสักคนพยายามหมุนลูกบิดประตูเข้ามา
“ไร