สาวน้อยพลังจิต
บทที่ 11 ฝึกจิต
“แก เป็นเรื่องอีกแล้ว วันนั้นฉันกลับถึงบ้าน พอเห็นรอยโดนตบที่หน้า แม่โวยวายจนบ้านแทบแตก บอกว่าเทอมหน้าจะส่งฉันไปเรียนนิวซีแลนด์ ไม่ให้เจอแกอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย ทำยังไงดีวะทราย.........”
“แม่แกตัดสินใจดีแล้ว ไปเถอะเพื่อน ไปเรียนไฮคลูลเมืองนอก หลายๆคนเขาอยากจะไปกันแต่ไม่มีปัญญา อีกอย่างนะ แกเปลืองตัวเพราะฉันมากเกินไปแล้ว ฉันก็ไม่สบายใจ เพราะแกเป็นเพื่อนรัก เพื่อนรักจะมาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของเพื่อนอยู่ได้ยังไงบ่อยๆ...
ฉันเองยังเบื่อตัวเองเลย แต่แกมันอึดเกินเพื่อนว่ะ พอบ้างได้แล้ว อย่าเห็นฉันเป็นเพื่อนต่อไปเลยถ้าไม่อยากให้มีชีวิตที่ประสบกับปัญหามากไปกว่านี้....”
“ทำไมทรายพูดอย่างนี้ล่ะ แกพูดเหมือนแกไม่มีหัวใจ แกพูดเหมือนไม่ได้รักเพื่อน ฉันต่อสู้เพื่อแกมาตลอด แล้วผลที่ฉันได้รับล่ะ คือแม้แต่แกก็พยายามใสหัวฉันให้ไปไกลๆ....
แกก็เหมือนพ่อแม่ฉันนั่นแหละ ทุกคนไม่มีใครจริงใจกับฉัน มีแต่คนพยายามไล่ฉันไปให้ไกลๆ ขับไล่ไสส่งฉัน ฉันไม่มีค่ากับใครเลย กับพ่อแม่ก็ไม่มี กับเพื่อนก็ไม่มี...........”
แพรวตะโกนใส่ทรายแล้ววิ่งจากไป ตั้งแต่วันนั้น แพรวไม่ยอมคุยกับทรายอีกเลย
ทรายพยายามทำสีหน้าเรียบเฉย แต่เธอรู้ว่าน้ำตามันไหลรินอยู่ภายใน เธอคิดว่าทำดีที่สุดแล้วสำหรับเพื่อน ให้เพื่อนอย่างแพรวจากไปอย่างมีความสุข ดีกว่าที่จะต้องเสี่ยงพบกับความเดือดร้อนกับคนอย่างเธอ
แพรวเล่าให้ทรายฟังเสมอ ภายนอกเหมือนชีวิตแพรวมีความสุข พ่อแม่อยู่กันพร้อมหน้า มีหน้าที่การงานที่ดี มีเงินมีทองมากมาย แต่แพรวไม่รู้สึกอบอุ่นเลย เพราะเธอถูกปล่อยให้อยู่กับแม่บ้านคนเดียวตั้งแต่เล็ก
ก่อนลืมตาดูโลก แม่ใช้ผ้ารัดเธอที่อยู่ในท้องจนแน่น เพราะกลัวท้องโตมากเกินไป จะทำให้หน้าท้องลาย
นับจากวินาทีแรกที่จะลืมตาดูโลก พ่อเป็นคนกำหนดว่าเธอควรเกิดเวลาไหน เพื่อเสริมดวงอาชีพการงานพ่อแม่ แม่เป็นคนบอกกับหมอ ว่าขอผ่าคลอดเพราะกลัวเจ็บ
ก่อนเกิดปู่ย่าตายายก็ลุ้น ว่าเธอจะเป็นชาย แต่เมื่อเป็นหญิง ทุกคนก็เสียใจนิดๆ
เมื่อลืมตาดูโลก เธอถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองตายาย เพื่อให้เงินพ่อมาทำธุรกิจ ถูกส่งไปให้ปู่ย่าตายายผลัดกันเลี้ยง
ตอนอยู่กับตายาย เธอโดนพูดกรอกหูทุกวัน ว่าชาติตระกูลพ่อด้อยกว่า พ่อไม่มีเงินติดตัว พอแต่งกับแม่ก็ได้ดิบได้ดี ตายายเป็นคนออกทุนให้ทำธุรกิจ ญาติทางพ่อเป็นแค่อ้ายพวกบ้านนอก
ตอนอยู่กับปู่ย่า เธอโดนพูดกรอกหูทุกวัน ว่าครอบครัวแม่ เป็นพวกผู้ดีแปดสาแหรก เป็นผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน เลี้ยงลูกไม่เป็น ทำให้รู้จักแต่ใช้เงินใช้ทอง ทำธุรกิจอะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นลูกจ้างคนอื่นไปวันๆ แม่เป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเองเพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก ถ้าตายายไม่ฝากให้ก็ไม่มีวันได้ทำงานทำการ ทุกวันนี้มีก็แต่พ่อ ที่ช่วยส่งเสริมสถานภาพสังคมให้แม่ยังเดินเฉิดฉายอยู่ได้
แพรวดูเหมือนโชคดี เลิกเรียนก็ได้ไปเรียนพิเศษ วันเสาร์อาทิตย์ได้ไปเรียนเปียโนกับบัลเล่ต์ แต่เธอจะโดดเรียนทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะเบื่อ ไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เวลาสอบถ้าได้เกรดต่ำกว่า 3.5 แม่จะโกรธมาก วันที่เธอหนีออกจากบ้าน เพราะโดนแม่เอ็ดที่ทำเกรดได้ 3.45
แม่คอยตัดสินใจทุกอย่างในชีวิต เป็นคนคอยกำกับทุกเรื่อง ตั้งแต่การพูดจา การแต่งตัว สีเสื้อ ทรงผมกระโปรง กล่องดินสอ หน้าตาของตุ๊กตา หรือแม้แต่ลายการ์ตูนบนดินสอ
พ่อเกรงใจแม่ ปล่อยให้แม่เลี้ยงลูกเหมือนเล่นตุ๊กตาไม่ใส่ใจ เพราะงานพ่อมาก ธุระพ่อเยอะ เวลามีงานเลี้ยงกับนักเรียนเก่า แพรวมีหน้าที่ติดตามไปพบกับเพื่อนๆของพ่อ ให้พ่อมีโอกาสได้คุย ว่าลูกสาวเรียนโรงเรียนดัง ได้เกรดดี เสร็จแล้วพ่อก็เดินไปชนไวน์กับเพื่อน ปล่อยให้ลูกสาวนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหาร
...............................................................................................................................................................................
ทรายพยายามหนีความว้าวุ่นในชีวิตด้วยการไปฝึกจิตนั่งสมาธิ โดยไม่บอกให้ใครรู้ว่าเธอไปที่ไหน เธอไม่ได้ไปวัดที่หลวงน้าของแจ็คจำวัดอยู่ เพราะกลัวว่าความลับจะไม่เป็นความลับ
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอฝึกจิตได้ดีขึ้น จึงไปออกธุดงค์ฝึกจิตถึงต่างจังหวัดกับคนเกือบร้อยคน มีพระอาจารย์ที่เก่งทางนั่งสมาธิคอยเป็นผู้กำกับ
“หนูนอนดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ รู้สึกตกวูบอย่างรุนแรง จนคล้ายหน้าบิดเหมือนนั่งรถเร็ว ๆเหมือนหล่นลงมาเรื่อยๆ อาการอย่างนี้เหมือนตอนไปสะกดจิตเพื่อระลึกชาติอ่ะค่ะ แต่ตอนอยู่ที่นั่นไม่กลัว มาอยู่ที่นี่กลับกลัว มันคืออาการอย่างไรคะเนี่ย มีอาการอย่างนี้ทุกครั้งก็ตกใจกลัวทุกครั้ง น่ากลัวจริง ๆ แต่หนูไม่มีอาการอย่างที่พระคุณเจ้าบอกนะเจ้าคะ ที่ว่ามีสุขสุด ๆ น่ะ ตกวูบสักพักแล้วค่อย ๆกลับคืนมา”
“โยมทราย ขณะวูบลงไปนั้น มีตัวรู้อยู่หรือไม่ หรือแบบมืดมิดไม่รู้อะไรเลย แบบหลับวูบลงไป ถ้าวูบลงไปแล้วมีตัวรู้อยู่ตลอด นั่นแหละถูกแล้ว อย่าตกใจ ถ้าตกใจจะถอนออกมา ถ้าไม่ตกใจตรงนี้ ทิ้งตัวลงไปในหลุมนั้นเลย แบบเป็นไรเป็นกัน ตายเป็นตาย ตรงนั้นแหละคือ อัปปนา ที่ผู้ฝึกสมาธิหวังจะเจอ ถ้ายอมตายจริงๆ ไม่ยอมหันเหไปจากความตกใจตรงจุดปากหลุมนั้น ทิ้งตัวรู้ ลงไปเต็มตัวเต็มที่ แล้วจะเจอกับความอัศจรรย์สว่างไสว ปีติ สุข สุดที่จะประมาณ บรรยายไม่ถูก....
ถ้าเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ ตอนวูบ ไม่มีตัวรู้อยู่ด้วย นั่นคือจะวูบลงไปหลับสนิท แต่เดาว่า ลักษณะของโยมทรายคงเป็นแบบแรก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ..
ฝึกต่อไปอีกเรื่อยๆ จะเจอตรงนั้นอีก อาจจะหลายๆครั้ง กว่าจะได้รวมวูบลงไปในหลุมนั้นจริงๆ หรืออาจจะแค่ครั้งสองครั้งก็จะได้เลย...
หากลงไปในหลุมนั้นได้แล้ว ลงไปให้เจอ แล้วจะเข้าใจเองขอเสริมอีกนิด ถ้าอาการตกวูบ หรือ พบกับตัวขยาย ตัวหด อื่นๆอีกมาก ให้ทำเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย อะไรจะบังเกิดขึ้นก็เฉยๆไว้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆก่อนตอนวูบลงไป”
“ตอนวูบลงไปทรายรู้ตัวเจ้าคะ ไม่ได้หลับวูบ เหมือนกำลังตกเหว ตกใจมาก กลัวตกลงนรก รีบออกมาตาสว่างเลย ที่สงสัยเพราะมันไม่มีความสุขอย่างที่พระคุณเจ้าสอนไว้ ......
สงสัยทรายยังไม่ชิน เพราะออกมานี่ใจยังเต้นตุ้มๆต่อมๆอยู่เลย”
“ใช่ ถูกแล้ว นั่นแหละจิตรวม แต่เนื่องจากสติของโยมยังไม่มีพลังเพียงพอและความชำนาญยังไม่มี จึงตื่นเต้นดีดออกมาก่อน ตรงนี้สำหรับผู้ชำนาญจะย้อนกลับมาจับที่ตัวรู้เฉยๆ...
ต่อจากนั้นจะรวมวูบลงไปในหลุมนั้น ไปโผล่อีกที่หนึ่ง มีลักษณะอาการเหมือนที่เคยบอก มีลักษณะองค์ฌานครบถ้วน เหมือนกับหลุดออกจากโลกนี้ไปโผล่อีกโลกหนึ่ง....
ครั้งต่อไป ถ้ามาเจอตรงนี้อีก ให้ย้อนความรู้สึกกลับมาเพ่งตรงตัวรู้ คือรู้ที่รู้อาการต่างๆเหล่านั้น รู้ว่าจะวูบ รู้ว่าวูบลงไปแป๊ป รู้ว่าตื่นเต้น รู้ว่าสว่างโล่ง ....ตัวรู้นี้ตัวเดียว ...ถ้าย้อนมาจับตัวรู้นี้ถูกจังหวะ คราวนี้จะรวมวูบลงไปเต็มที่ สบายเลย.....
อาตมาของเพิ่มเติมญาณทั้งเจ็ดอีกนิด ในผลทางปฏิบัติ จะเห็นว่า ญาณที่กล่าวมาแล้วทั้งเจ็ดอย่าง คือ
หนึ่งจุตูปปตาญาณ การรู้ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดที่ใด สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน สองเจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ สามปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกัดชาติ สี่อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ไม่จำกัดกาลเวลา ห้าอนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน สัตว์ สิ่งของสถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา หกปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ตามความเป็นจริง เจ็ดยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน”
ทรายก้มลงกราบพระครู วันนี้เป็นวันสุดท้ายของค่ายธุดงค์สมาธิ เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ เธอแวะพบอาจารย์สะกดจิตก่อนที่จะกลับบ้าน
“ทำไมนั่งสมาธิถึงใช้เวลานานมากจังเลยคะ ผิดกับสะกดจิต ไม่ทันไรทรายก็รู้สึกวูบไปละ และตอนนั่งสมาธิ หนูควบคุมความรู้สึกไม่ได้ด้วย และอีกอย่าง สิ่งที่พระครูสอน จริงๆแล้วหนูฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ แต่ไม่กล้าขัดท่าน ก็เออ เออ ออ ออ ไปตามเรื่อง ศัพท์พระศัพท์บาลีเยอะไปหมด”
“คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ห่างวัด ชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างนั้น เวลาเข้าวัดก็รู้สึกหาวิธีคุยกับพระไม่ถูก โลกมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว ถ้าพระยังสื่อสารกับญาติโยมด้วยวิธีเดิมๆ ก็เหมือนที่ทรายคิดนั่นแหละ เด็กๆเลยไม่อยากจะเข้าวัดกัน.....
การสะกดจิตน่ะ เหมือนมีคนทำให้ เราก็รู้สึกง่าย แต่ถ้าถามผมจริงๆแล้ว ทำได้ด้วยตัวเองจะดีที่สุด จึงหนีไม่พ้นการที่เราต้องฝึก ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะต้องฝึกจิต การฝึกจิตของเรามีวัตถุประสงค์อะไร การนั่งสมาธิก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่ง มีวิธีอื่นๆอีกตั้งมาก การสะกดจิตก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง...
ทีนี้ วิธีการในการแนะนำของเราเป็นอย่างสมัยใหม่ คนก็เข้าใจง่าย จึงรู้สึกว่าปฏิบัติได้ไม่ยาก และวิธีการของเราถือว่าการทำสภาพจิตใจให้ดีที่สุด ต้องอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่เพลีย ไม่ร้อน ซึ่งเหมาะกับคนสมัยนี้ ที่เวลาเร่งรีบ ไม่มีเวลาศึกษา....
ทรายควรจะมาเรียนรู้หลายๆศาสตร์ คุณควรมาอบรมนะ พรุ่งนี้เรามีจัดอบรมพอดี”
“ค่ะ หนูมาอบรมอย่างแน่นอน”
.............................................................................................................................................................................
หลังจากการอบรมจบลง ทรายกำลังเดินเพื่อที่จะกลับบ้าน หมวดปราบยืนรอเธออยู่บนถนน
“ทราย เราไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์แล้วนะ”
“อ๋อ จริงด้วยซิคะ ถ้าไม่เจอหน้าคุณทรายก็ลืมไปแล้วค่ะ ว่าเราเคยรู้จักกัน”
“เราจะให้มิตรภาพของเราจบลงง่ายๆอย่างนี้หรือ เพียงแค่มีผู้หญิงคนนึงมาราวี คุณจะให้ผมตัดใจกับคุณง่ายๆแค่เหตุการณ์ตรงนั้นเท่านั้นเองหรือ”
ทรายไม่ตอบ เธอเดินเลี่ยงไปเหมือนไม่รู้จักชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า หมวดปราบทนไม่ได้เดินไปกุมมือของเธอ
“พูดความจริงมาสิ ว่าคุณก็มีใจให้ผมอยู่บ้าง มันแปลกมากมั้ย ที่ผู้ชายคนหนึ่ง ผมเองนั่นแหละ มีแฟนอยู่แล้ว แต่เขาไปพบกับผู้หญิงอีกคน และพบว่า ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ที่เขาเฝ้าเพรียกหา การที่เราเปลี่ยนใจ การที่เราบอกเลิกเป็นการทำร้ายจิตใจกันแน่นอน แต่จะทำยังไงล่ะ ก็ใจผมมันเป็นไปอย่างนี้แล้ว จะบังคับใจให้หลงรักอีกคนอยู่ได้ยังไง ในเมื่อใจของผมมาอยู่กับคุณหมดแล้ว.........”
“อย่ายุ่งกับทรายเลยค่ะ คุณเป็นคนดี มีอนาคต อย่าเอาชีวิตมาจมอยู่กับทราย เดี๋ยวคุณจะต้องเดือดร้อนไปอีกคน”
“ทราย ทราย ทราย............”
เธอสะบัดมือแล้วเดินจากหมวดปราบออกมาอย่างไม่ใยดี หมวดปราบเดินตามพยายามเกาะกุมแขนของเธอ แต่ทรายก็สะบัดมือหมวดปราบหลุดอยู่ตลอดเวลา
“ทำไมคุณจะไม่ให้โอกาสเราสองคนล่ะ คุณเอาเรื่องราวเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันมารวมกันได้ยังไง คุณจะบังคับหัวใจที่เรียกร้องอยู่ได้ยังไง ผมรู้ว่าคุณมีใจให้ผม คุณจะเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของเราทำไม...........”
ทรายหยุดก้าว เธอหันมามองหน้าหมวดหนุ่ม เขาถึงกับยิ้มด้วยความดีใจว่าคำพูดของตัวสามารถหยุดทรายในการเดินจากเขาไปได้ แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากต่อ ทรายก็พูดขึ้นก่อนจะเดินต่อไปอย่างไม่ใยดี
“คุณไม่เข้าใจ ทรายไม่อยากให้คุณมาลำบากลำบนกับปัญหาของทราย”
หมวดปราบยามนี้ละความเขินอายจนหมดสิ้น เขาตะโกนเรียกทรายไม่ขาดปาก ถึงคราวจวนตัวหมดหนทาง เขาลงทุนวิ่งไปขวางหน้าทรายแล้วคุกเข่าลงอ้อนวอนเธอ
ทรายถึงกับตะลึง เธอก้มหน้าลงปิดหน้าที่กำลังขำ ผู้คนพากันหยุดมอง หมวดหนุ่มยิ้มอย่างมีชัย
“ได้โปรดเถอะนะ อย่างน้อยให้เราได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกัน”
ทรายพยักหน้าไม่ยอมสบตาเขา และไม่กล้ามองไปรอบด้าน
“ตกลงค่ะ แต่เรารีบไปจากตรงนี้กันเถอะ ทรายเขินจะแย่อยู่แล้ว”
ทรายยอมให้หมวดปราบกุมมือเดินจูงกันไป คนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับตบมือให้กำลังใจกันเกรียว บางรายเป่าปากปิ๊ดปิ๊ว
ทั้งคู่ไปนั่งรับลมชมแมกไม้ ปล่อยใจให้ล่องลอยกันที่สวนอาหารแห่งหนึ่ง
“ชีวิตทราย ถ้าให้ตอบตรงๆก็ต้องว่า เผชิญกับความทุกข์มาตลอด แต่อย่าให้ทรายเล่าเลย เพราะเดี๋ยวหมวดจะหมดสนุก แค่ที่เรารู้จักกันไม่กี่เดือน หมวดก็เห็นแล้วว่าชีวิตทรายเป็นยังไงบ้าง...
ความจริงทรายไม่ได้โกรธเกลียดผู้หมวดก
สาวน้อยพลังจิต บทที่ 11 ฝึกจิต
บทที่ 11 ฝึกจิต
“แก เป็นเรื่องอีกแล้ว วันนั้นฉันกลับถึงบ้าน พอเห็นรอยโดนตบที่หน้า แม่โวยวายจนบ้านแทบแตก บอกว่าเทอมหน้าจะส่งฉันไปเรียนนิวซีแลนด์ ไม่ให้เจอแกอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย ทำยังไงดีวะทราย.........”
“แม่แกตัดสินใจดีแล้ว ไปเถอะเพื่อน ไปเรียนไฮคลูลเมืองนอก หลายๆคนเขาอยากจะไปกันแต่ไม่มีปัญญา อีกอย่างนะ แกเปลืองตัวเพราะฉันมากเกินไปแล้ว ฉันก็ไม่สบายใจ เพราะแกเป็นเพื่อนรัก เพื่อนรักจะมาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของเพื่อนอยู่ได้ยังไงบ่อยๆ...
ฉันเองยังเบื่อตัวเองเลย แต่แกมันอึดเกินเพื่อนว่ะ พอบ้างได้แล้ว อย่าเห็นฉันเป็นเพื่อนต่อไปเลยถ้าไม่อยากให้มีชีวิตที่ประสบกับปัญหามากไปกว่านี้....”
“ทำไมทรายพูดอย่างนี้ล่ะ แกพูดเหมือนแกไม่มีหัวใจ แกพูดเหมือนไม่ได้รักเพื่อน ฉันต่อสู้เพื่อแกมาตลอด แล้วผลที่ฉันได้รับล่ะ คือแม้แต่แกก็พยายามใสหัวฉันให้ไปไกลๆ....
แกก็เหมือนพ่อแม่ฉันนั่นแหละ ทุกคนไม่มีใครจริงใจกับฉัน มีแต่คนพยายามไล่ฉันไปให้ไกลๆ ขับไล่ไสส่งฉัน ฉันไม่มีค่ากับใครเลย กับพ่อแม่ก็ไม่มี กับเพื่อนก็ไม่มี...........”
แพรวตะโกนใส่ทรายแล้ววิ่งจากไป ตั้งแต่วันนั้น แพรวไม่ยอมคุยกับทรายอีกเลย
ทรายพยายามทำสีหน้าเรียบเฉย แต่เธอรู้ว่าน้ำตามันไหลรินอยู่ภายใน เธอคิดว่าทำดีที่สุดแล้วสำหรับเพื่อน ให้เพื่อนอย่างแพรวจากไปอย่างมีความสุข ดีกว่าที่จะต้องเสี่ยงพบกับความเดือดร้อนกับคนอย่างเธอ
แพรวเล่าให้ทรายฟังเสมอ ภายนอกเหมือนชีวิตแพรวมีความสุข พ่อแม่อยู่กันพร้อมหน้า มีหน้าที่การงานที่ดี มีเงินมีทองมากมาย แต่แพรวไม่รู้สึกอบอุ่นเลย เพราะเธอถูกปล่อยให้อยู่กับแม่บ้านคนเดียวตั้งแต่เล็ก
ก่อนลืมตาดูโลก แม่ใช้ผ้ารัดเธอที่อยู่ในท้องจนแน่น เพราะกลัวท้องโตมากเกินไป จะทำให้หน้าท้องลาย
นับจากวินาทีแรกที่จะลืมตาดูโลก พ่อเป็นคนกำหนดว่าเธอควรเกิดเวลาไหน เพื่อเสริมดวงอาชีพการงานพ่อแม่ แม่เป็นคนบอกกับหมอ ว่าขอผ่าคลอดเพราะกลัวเจ็บ
ก่อนเกิดปู่ย่าตายายก็ลุ้น ว่าเธอจะเป็นชาย แต่เมื่อเป็นหญิง ทุกคนก็เสียใจนิดๆ
เมื่อลืมตาดูโลก เธอถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองตายาย เพื่อให้เงินพ่อมาทำธุรกิจ ถูกส่งไปให้ปู่ย่าตายายผลัดกันเลี้ยง
ตอนอยู่กับตายาย เธอโดนพูดกรอกหูทุกวัน ว่าชาติตระกูลพ่อด้อยกว่า พ่อไม่มีเงินติดตัว พอแต่งกับแม่ก็ได้ดิบได้ดี ตายายเป็นคนออกทุนให้ทำธุรกิจ ญาติทางพ่อเป็นแค่อ้ายพวกบ้านนอก
ตอนอยู่กับปู่ย่า เธอโดนพูดกรอกหูทุกวัน ว่าครอบครัวแม่ เป็นพวกผู้ดีแปดสาแหรก เป็นผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน เลี้ยงลูกไม่เป็น ทำให้รู้จักแต่ใช้เงินใช้ทอง ทำธุรกิจอะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นลูกจ้างคนอื่นไปวันๆ แม่เป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเองเพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก ถ้าตายายไม่ฝากให้ก็ไม่มีวันได้ทำงานทำการ ทุกวันนี้มีก็แต่พ่อ ที่ช่วยส่งเสริมสถานภาพสังคมให้แม่ยังเดินเฉิดฉายอยู่ได้
แพรวดูเหมือนโชคดี เลิกเรียนก็ได้ไปเรียนพิเศษ วันเสาร์อาทิตย์ได้ไปเรียนเปียโนกับบัลเล่ต์ แต่เธอจะโดดเรียนทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะเบื่อ ไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เวลาสอบถ้าได้เกรดต่ำกว่า 3.5 แม่จะโกรธมาก วันที่เธอหนีออกจากบ้าน เพราะโดนแม่เอ็ดที่ทำเกรดได้ 3.45
แม่คอยตัดสินใจทุกอย่างในชีวิต เป็นคนคอยกำกับทุกเรื่อง ตั้งแต่การพูดจา การแต่งตัว สีเสื้อ ทรงผมกระโปรง กล่องดินสอ หน้าตาของตุ๊กตา หรือแม้แต่ลายการ์ตูนบนดินสอ
พ่อเกรงใจแม่ ปล่อยให้แม่เลี้ยงลูกเหมือนเล่นตุ๊กตาไม่ใส่ใจ เพราะงานพ่อมาก ธุระพ่อเยอะ เวลามีงานเลี้ยงกับนักเรียนเก่า แพรวมีหน้าที่ติดตามไปพบกับเพื่อนๆของพ่อ ให้พ่อมีโอกาสได้คุย ว่าลูกสาวเรียนโรงเรียนดัง ได้เกรดดี เสร็จแล้วพ่อก็เดินไปชนไวน์กับเพื่อน ปล่อยให้ลูกสาวนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหาร
...............................................................................................................................................................................
ทรายพยายามหนีความว้าวุ่นในชีวิตด้วยการไปฝึกจิตนั่งสมาธิ โดยไม่บอกให้ใครรู้ว่าเธอไปที่ไหน เธอไม่ได้ไปวัดที่หลวงน้าของแจ็คจำวัดอยู่ เพราะกลัวว่าความลับจะไม่เป็นความลับ
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอฝึกจิตได้ดีขึ้น จึงไปออกธุดงค์ฝึกจิตถึงต่างจังหวัดกับคนเกือบร้อยคน มีพระอาจารย์ที่เก่งทางนั่งสมาธิคอยเป็นผู้กำกับ
“หนูนอนดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ รู้สึกตกวูบอย่างรุนแรง จนคล้ายหน้าบิดเหมือนนั่งรถเร็ว ๆเหมือนหล่นลงมาเรื่อยๆ อาการอย่างนี้เหมือนตอนไปสะกดจิตเพื่อระลึกชาติอ่ะค่ะ แต่ตอนอยู่ที่นั่นไม่กลัว มาอยู่ที่นี่กลับกลัว มันคืออาการอย่างไรคะเนี่ย มีอาการอย่างนี้ทุกครั้งก็ตกใจกลัวทุกครั้ง น่ากลัวจริง ๆ แต่หนูไม่มีอาการอย่างที่พระคุณเจ้าบอกนะเจ้าคะ ที่ว่ามีสุขสุด ๆ น่ะ ตกวูบสักพักแล้วค่อย ๆกลับคืนมา”
“โยมทราย ขณะวูบลงไปนั้น มีตัวรู้อยู่หรือไม่ หรือแบบมืดมิดไม่รู้อะไรเลย แบบหลับวูบลงไป ถ้าวูบลงไปแล้วมีตัวรู้อยู่ตลอด นั่นแหละถูกแล้ว อย่าตกใจ ถ้าตกใจจะถอนออกมา ถ้าไม่ตกใจตรงนี้ ทิ้งตัวลงไปในหลุมนั้นเลย แบบเป็นไรเป็นกัน ตายเป็นตาย ตรงนั้นแหละคือ อัปปนา ที่ผู้ฝึกสมาธิหวังจะเจอ ถ้ายอมตายจริงๆ ไม่ยอมหันเหไปจากความตกใจตรงจุดปากหลุมนั้น ทิ้งตัวรู้ ลงไปเต็มตัวเต็มที่ แล้วจะเจอกับความอัศจรรย์สว่างไสว ปีติ สุข สุดที่จะประมาณ บรรยายไม่ถูก....
ถ้าเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ ตอนวูบ ไม่มีตัวรู้อยู่ด้วย นั่นคือจะวูบลงไปหลับสนิท แต่เดาว่า ลักษณะของโยมทรายคงเป็นแบบแรก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ..
ฝึกต่อไปอีกเรื่อยๆ จะเจอตรงนั้นอีก อาจจะหลายๆครั้ง กว่าจะได้รวมวูบลงไปในหลุมนั้นจริงๆ หรืออาจจะแค่ครั้งสองครั้งก็จะได้เลย...
หากลงไปในหลุมนั้นได้แล้ว ลงไปให้เจอ แล้วจะเข้าใจเองขอเสริมอีกนิด ถ้าอาการตกวูบ หรือ พบกับตัวขยาย ตัวหด อื่นๆอีกมาก ให้ทำเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย อะไรจะบังเกิดขึ้นก็เฉยๆไว้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆก่อนตอนวูบลงไป”
“ตอนวูบลงไปทรายรู้ตัวเจ้าคะ ไม่ได้หลับวูบ เหมือนกำลังตกเหว ตกใจมาก กลัวตกลงนรก รีบออกมาตาสว่างเลย ที่สงสัยเพราะมันไม่มีความสุขอย่างที่พระคุณเจ้าสอนไว้ ......
สงสัยทรายยังไม่ชิน เพราะออกมานี่ใจยังเต้นตุ้มๆต่อมๆอยู่เลย”
“ใช่ ถูกแล้ว นั่นแหละจิตรวม แต่เนื่องจากสติของโยมยังไม่มีพลังเพียงพอและความชำนาญยังไม่มี จึงตื่นเต้นดีดออกมาก่อน ตรงนี้สำหรับผู้ชำนาญจะย้อนกลับมาจับที่ตัวรู้เฉยๆ...
ต่อจากนั้นจะรวมวูบลงไปในหลุมนั้น ไปโผล่อีกที่หนึ่ง มีลักษณะอาการเหมือนที่เคยบอก มีลักษณะองค์ฌานครบถ้วน เหมือนกับหลุดออกจากโลกนี้ไปโผล่อีกโลกหนึ่ง....
ครั้งต่อไป ถ้ามาเจอตรงนี้อีก ให้ย้อนความรู้สึกกลับมาเพ่งตรงตัวรู้ คือรู้ที่รู้อาการต่างๆเหล่านั้น รู้ว่าจะวูบ รู้ว่าวูบลงไปแป๊ป รู้ว่าตื่นเต้น รู้ว่าสว่างโล่ง ....ตัวรู้นี้ตัวเดียว ...ถ้าย้อนมาจับตัวรู้นี้ถูกจังหวะ คราวนี้จะรวมวูบลงไปเต็มที่ สบายเลย.....
อาตมาของเพิ่มเติมญาณทั้งเจ็ดอีกนิด ในผลทางปฏิบัติ จะเห็นว่า ญาณที่กล่าวมาแล้วทั้งเจ็ดอย่าง คือ
หนึ่งจุตูปปตาญาณ การรู้ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดที่ใด สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน สองเจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ สามปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกัดชาติ สี่อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ไม่จำกัดกาลเวลา ห้าอนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน สัตว์ สิ่งของสถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา หกปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ตามความเป็นจริง เจ็ดยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน”
ทรายก้มลงกราบพระครู วันนี้เป็นวันสุดท้ายของค่ายธุดงค์สมาธิ เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ เธอแวะพบอาจารย์สะกดจิตก่อนที่จะกลับบ้าน
“ทำไมนั่งสมาธิถึงใช้เวลานานมากจังเลยคะ ผิดกับสะกดจิต ไม่ทันไรทรายก็รู้สึกวูบไปละ และตอนนั่งสมาธิ หนูควบคุมความรู้สึกไม่ได้ด้วย และอีกอย่าง สิ่งที่พระครูสอน จริงๆแล้วหนูฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ แต่ไม่กล้าขัดท่าน ก็เออ เออ ออ ออ ไปตามเรื่อง ศัพท์พระศัพท์บาลีเยอะไปหมด”
“คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ห่างวัด ชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างนั้น เวลาเข้าวัดก็รู้สึกหาวิธีคุยกับพระไม่ถูก โลกมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว ถ้าพระยังสื่อสารกับญาติโยมด้วยวิธีเดิมๆ ก็เหมือนที่ทรายคิดนั่นแหละ เด็กๆเลยไม่อยากจะเข้าวัดกัน.....
การสะกดจิตน่ะ เหมือนมีคนทำให้ เราก็รู้สึกง่าย แต่ถ้าถามผมจริงๆแล้ว ทำได้ด้วยตัวเองจะดีที่สุด จึงหนีไม่พ้นการที่เราต้องฝึก ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะต้องฝึกจิต การฝึกจิตของเรามีวัตถุประสงค์อะไร การนั่งสมาธิก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่ง มีวิธีอื่นๆอีกตั้งมาก การสะกดจิตก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง...
ทีนี้ วิธีการในการแนะนำของเราเป็นอย่างสมัยใหม่ คนก็เข้าใจง่าย จึงรู้สึกว่าปฏิบัติได้ไม่ยาก และวิธีการของเราถือว่าการทำสภาพจิตใจให้ดีที่สุด ต้องอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่เพลีย ไม่ร้อน ซึ่งเหมาะกับคนสมัยนี้ ที่เวลาเร่งรีบ ไม่มีเวลาศึกษา....
ทรายควรจะมาเรียนรู้หลายๆศาสตร์ คุณควรมาอบรมนะ พรุ่งนี้เรามีจัดอบรมพอดี”
“ค่ะ หนูมาอบรมอย่างแน่นอน”
.............................................................................................................................................................................
หลังจากการอบรมจบลง ทรายกำลังเดินเพื่อที่จะกลับบ้าน หมวดปราบยืนรอเธออยู่บนถนน
“ทราย เราไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์แล้วนะ”
“อ๋อ จริงด้วยซิคะ ถ้าไม่เจอหน้าคุณทรายก็ลืมไปแล้วค่ะ ว่าเราเคยรู้จักกัน”
“เราจะให้มิตรภาพของเราจบลงง่ายๆอย่างนี้หรือ เพียงแค่มีผู้หญิงคนนึงมาราวี คุณจะให้ผมตัดใจกับคุณง่ายๆแค่เหตุการณ์ตรงนั้นเท่านั้นเองหรือ”
ทรายไม่ตอบ เธอเดินเลี่ยงไปเหมือนไม่รู้จักชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า หมวดปราบทนไม่ได้เดินไปกุมมือของเธอ
“พูดความจริงมาสิ ว่าคุณก็มีใจให้ผมอยู่บ้าง มันแปลกมากมั้ย ที่ผู้ชายคนหนึ่ง ผมเองนั่นแหละ มีแฟนอยู่แล้ว แต่เขาไปพบกับผู้หญิงอีกคน และพบว่า ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ที่เขาเฝ้าเพรียกหา การที่เราเปลี่ยนใจ การที่เราบอกเลิกเป็นการทำร้ายจิตใจกันแน่นอน แต่จะทำยังไงล่ะ ก็ใจผมมันเป็นไปอย่างนี้แล้ว จะบังคับใจให้หลงรักอีกคนอยู่ได้ยังไง ในเมื่อใจของผมมาอยู่กับคุณหมดแล้ว.........”
“อย่ายุ่งกับทรายเลยค่ะ คุณเป็นคนดี มีอนาคต อย่าเอาชีวิตมาจมอยู่กับทราย เดี๋ยวคุณจะต้องเดือดร้อนไปอีกคน”
“ทราย ทราย ทราย............”
เธอสะบัดมือแล้วเดินจากหมวดปราบออกมาอย่างไม่ใยดี หมวดปราบเดินตามพยายามเกาะกุมแขนของเธอ แต่ทรายก็สะบัดมือหมวดปราบหลุดอยู่ตลอดเวลา
“ทำไมคุณจะไม่ให้โอกาสเราสองคนล่ะ คุณเอาเรื่องราวเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันมารวมกันได้ยังไง คุณจะบังคับหัวใจที่เรียกร้องอยู่ได้ยังไง ผมรู้ว่าคุณมีใจให้ผม คุณจะเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของเราทำไม...........”
ทรายหยุดก้าว เธอหันมามองหน้าหมวดหนุ่ม เขาถึงกับยิ้มด้วยความดีใจว่าคำพูดของตัวสามารถหยุดทรายในการเดินจากเขาไปได้ แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากต่อ ทรายก็พูดขึ้นก่อนจะเดินต่อไปอย่างไม่ใยดี
“คุณไม่เข้าใจ ทรายไม่อยากให้คุณมาลำบากลำบนกับปัญหาของทราย”
หมวดปราบยามนี้ละความเขินอายจนหมดสิ้น เขาตะโกนเรียกทรายไม่ขาดปาก ถึงคราวจวนตัวหมดหนทาง เขาลงทุนวิ่งไปขวางหน้าทรายแล้วคุกเข่าลงอ้อนวอนเธอ
ทรายถึงกับตะลึง เธอก้มหน้าลงปิดหน้าที่กำลังขำ ผู้คนพากันหยุดมอง หมวดหนุ่มยิ้มอย่างมีชัย
“ได้โปรดเถอะนะ อย่างน้อยให้เราได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกัน”
ทรายพยักหน้าไม่ยอมสบตาเขา และไม่กล้ามองไปรอบด้าน
“ตกลงค่ะ แต่เรารีบไปจากตรงนี้กันเถอะ ทรายเขินจะแย่อยู่แล้ว”
ทรายยอมให้หมวดปราบกุมมือเดินจูงกันไป คนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับตบมือให้กำลังใจกันเกรียว บางรายเป่าปากปิ๊ดปิ๊ว
ทั้งคู่ไปนั่งรับลมชมแมกไม้ ปล่อยใจให้ล่องลอยกันที่สวนอาหารแห่งหนึ่ง
“ชีวิตทราย ถ้าให้ตอบตรงๆก็ต้องว่า เผชิญกับความทุกข์มาตลอด แต่อย่าให้ทรายเล่าเลย เพราะเดี๋ยวหมวดจะหมดสนุก แค่ที่เรารู้จักกันไม่กี่เดือน หมวดก็เห็นแล้วว่าชีวิตทรายเป็นยังไงบ้าง...
ความจริงทรายไม่ได้โกรธเกลียดผู้หมวดก