สวัสดีครับ ผมอายุ 19 ปี ก็เป็นคนหนึ่งที่ชีวิตคล้ายคลึงเหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป เมื่อถึงคราวต้องเรียนจบมัธยมก็ต้องก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเรียนตามความถนัดความสนใจของตนเอง นี่เป็นกระทู้แรกขอผมครับ คือผมคิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี
ตอนนี้ครับความเป็นจริงแล้วผมต้องเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ปี1แต่เหมือนโชคชะตามันเล่นตลก ที่บ้านผมเมื่อก่อนก็มีเงินนะครับซึ่งก็มีพอที่จะไม่ลำบากลำบนอะไร แต่การเงินเริ่มขัดสนเมื่อผมเริ้มเข้ามัธยม จากที่มีก็ค่อยๆลดไปเรื่อยๆ บ้านที่เคยมีความสุข มาจนจุดที่ไม่มีค่าไฟนำ้ค่าไฟ จนโดนตัดไฟไประยะหนึ่ง(ตอนนั้นอยู่ม.2) แต่ก็มีอาของผมที่คอยให้เงินผมไว้ใช้ไปเรียนบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ผมเองบอกตรงๆครับ ลำบากใจมากที่รับดงินเค้ามา พ่อแม่ผมก็ค่อนข้างมีอายุจะไปหางานทำก็ลำบาก และด้วยจุดนี้ทำให้ผมต้องหาอะไรทำเพื่อสร้างอนาคตให้ครอบครัวกลับมาดี ในร.ร.ผมหากิจกรรมทำเพื่อสะสมผลงานเพียงหวังแค่ว่าจะได้มหาลัยดีๆกับเค้าบ้างก็ทำกิจกรรมมาเรื่อยๆจนจบม.6 ในความคิดของเด็กหลายๆคนคงคิดหาฟนทางหามหาลัยเพื่อศึกษาต่อแต่ผมตอนนั้นคิดแค่ว่า เห้ยมหาลัยไหนค่าเทอมถูก ค่าใช้จ่ายไม่เยอะบาง (หลายคนคงกำลังคิดอยู่ว่าทำไมไม่กู้เรียน?) ญาติผมหลายๆคนก็พูดแบบนี้ ซึ่งผมขอบอกก่อนนะครับ ครอบครัวผมขายบ้านตอนผมขึ้นม.6 แน่นอนผมพูดอะไรไม่ได้ พอมารู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ไปอยู่บ้านอาแล้ว (เนื่องด้วยย้ายบ้านไปไกลเลยต้องมาอยู่กับอาซึ่งไม่ไกลจากร.ร.) ความคิดผมตอนนั้นคือ ชีวิตครอบครัวที่เป็ยหนี้ไม่มีบ้านแล้วยังจะไปกู้ยืมเค้าอีกหรอ ผมไม่คิดถึงความฝันของผมเลยว่าผมอยากเป็นอะไรอยากทำอะไร ขอแค่เรียนจบได้พอ จากที่ครอบครัวผมขายบ้าน เค้าสัญญาว่าจะนำเงินส่วนหนึ่งไปให้ผมรักษาตา เพื่อสอบทหารเรือ(เค้าไม่รับคนสายตาสืน)ซึ่งยิ่งใกล้วันสอบผมก็ถามว่าเมื่อไหร่จะได้ทำตา ผมก็ได้คำตอบเพียงว่า"ไม่รู้" มัยเป็นคำที่ผมเกลียดมากที่สุดในตอนนี้ พอสอบเสร้จประกาศผล ผมผ่านข้อเขียนครับแต่!!!ไม่ผ่านสายตา ทำให้ไม่ผ่านหมด คือชีวิตผมก็คงโทษใครไม่ได้เพราะเราเลือกเส้นทางนี้แล้ว จากนืนผมเลยหามหาวิทยาลัยที่ใกล้บ้าน ค่าเทอมไม่แพง พอเรียนได้ ผมเลือกเรียน กฎหมาย ซึ่งตารางเรียนมีเรียน จ - พฤ และผมทำงานพามไทม์ ศ. เสา. อา. พอเรียนๆไปผมเริ่มมีความรู้สึกว่า มันไม่ใช่(ขออญุญาตพูดตรงๆนะครับ ว่าผมคิดว่าเรียนไปผมไม่น่ามีอนาคตสำหรับตัวเอง)ผมเลยตัดสินใจดรอปไว้ ซึ่งในใจมันเจ็บมาก เสียดายเงินค่าเทอมที่หามาเองจากการทำงาน การเรียน + ทำงาน ทำให้ผมไม่มีวันว่าง เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งปี มีหลายๆครั้งที่ผมแอบร้องไห้คนเดียว หรือนั่งร้องไห้บนรถหลังกลับจากที่มอหรือที่ทำงาน ผมก็ได้เพียงให้กำลังใจตัวเองว่าสักวันมันต้องดีได้ เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่ามาผมไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ผมไม่ได้เล่าให้คนอ่านมาส่งงานหรือเวทนาผม ผมแค่อยากระบาย ซึ่งตอนนี้ผมทำงานเก็บเงินได้พอจำนสนหนึ่งที่คิดว่าจะพอส่งเสียตัวเองเรียนได้(อาจต้องกู้เรียนด้วย) ถ้าถามถุงความรู้สึกผมหรอ

โคตนเจ็บอะ ชีวิตมัธยมแทนที่จะได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น ปต่เวลาหมกไปกับการทำงาน บางเทอมผมจำได้เลยวันจ่ายค่าเทอม ผมต้องนั้งรถจากร.ร.ย้อนไปขอเงินมาแล้วนำมาจ่าย จำไม่เคยลืมเลย ผมแค่สงสัยว่าเห้ย ผมเป็นลูกมีพ่อมีแม่ป่าววะทำไมเค้าไม่รับผิดชอบความรู้สึกผมเลย บางเทอมดีหน่อยที่มีงายมาพอดีในช่วงที่ต้องจ่ายค่าเทอม บางคริงเพื่อนนัดไปเที้ยวกันผมก็ไม่ค่ิยได้ไปเพราะเพื่อนไปในที่ที่ต้องขับรถไปซึ่งผมไม่มี คงามฝันเล็กๆของผมอะคือการมีมอไซค์สักคันไว้ขี่ไปร.ร.คนที่บ้านก็บอหนะครับว่าขึ้นม.ปลายจะซื้อให้ผม เชื่อมั้ยผมรีบกลับบ้านทุกวันเลยนะว่าเค้าจะมีเซอไพร์สใฟ้ผมแบบเอารถมาจอดที่บ้านรึเปล่าซึ่งพอนานไป คือผมเริ่มทำใจได้ว่าเห้ยเค้าก็แค่พูดให้ผมดีใจไปอย่างนั้น จากนั้นผมก็ไม่เชื่อในคำพูดใครอีกเลย จนผมใหญ่เห็นว่าผมเป็นคนที่ชอบเถียง ญาติผมเชื่อปะ ตอนมีเงินนะโหยผิดกะตอนนี้สิ้นเชิงเลยเวลาไปเจอตอนรวมญาติ

ชอบมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามดูถูก ผมละโคตรจะแค้นเลย แต่ก็มีแต่อาผมแหละครับที่เข้าใจผม หลังๆมาผมทำงายพอเงินเวลาเค้าให้ผมก็ปฏิเสธทุกครั้งแต่เค้าก็ให้ดเวยความเต็มใจนะครับ(ผมขอเล่านิดนึงตอนเรียนคอมผมเสียก็มีอาคนนี้แหละที่ซื้อให้ตอนที่ผมต้องไปกิจกรรมค่ายตอนนั้นมีดงินติดตัวอยู่40บาทอาคนนี้แหละก็ขับรถเอาดงินมาให้ถึงหน้ารร.ก่อนรถออก ทุกครั้งที่เค้าแสดงนำ้ใจแบบนี้ต่อผมเมื่อผมแยกกับเค้านำ้ตาผม

ไหลเองทุกครั้งเลยนานๆไปไม่ค่อยได้เจอเพราพผมย้ายบ้านเค้าก็คอยโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบสำหรับเค้าเป็นเหมือนพ่อผมคนหนึ่งเลย)เวลาเห็นเพื่อนทีรถขับเชื่อปะผม

โคตรอิจฉา แต่ก็นะบุญวาสนาเราไม่เท่ากัน ที่ทำงานก็ถามทำไมขยันจริง ผมก็โมเมตอบไปว่า"เห้ยพี่ผมเก็บตังไปซื้อรถ" ซึ่งหลายๆเดือนผู้จัดการก็ถามว่าเป็นไงบ้างได้รถยัง ผมก็ได้แต่แกล้งๆตอบไปว่า "อ่อพี่ผมรอเก็บเงินดาวน์เยอะๆดอกจะได้ถูกๆ"เชื่อป่ะทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องแบบนี้ ทุกครั้งที่เพื่อนชวนไปไหนมาไหน ผม

โคตรเจ็บอะ ละตอนนี้ผมพอตั้งตัวได้ผมจึงคิดว่า จะแอดมิดชั่นใหม่ ไปเรียนที่ใหม่ที่ผมอยากเข้า อะไรที่อยากได้ก็กัดฟันทนไว้ก่อน... ถ้าผมได้มีโอกาสพูดกับทุกๆคนในครอบครัวผมิบากบอหนะครับว่าผมคิดถึงบ้าน คิดถึงบรรยากาศเดิมห้องนอนเดิมและการได้เรียนรู้กะบสิ่งที่ทำ ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะไม่เหลืออะไรแต่ผมก็จะสู้ต่อไปครับ ผมเชื่อว่าต้องมีบ้างแหละสักวันกับวันที่เป็นของเรา ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
ควรเอายังไงกับชีวิตดี เมื่อไม่มีบ้าน ต้องดรอปเรียน ทำงานหาเงินเอง
ตอนนี้ครับความเป็นจริงแล้วผมต้องเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ปี1แต่เหมือนโชคชะตามันเล่นตลก ที่บ้านผมเมื่อก่อนก็มีเงินนะครับซึ่งก็มีพอที่จะไม่ลำบากลำบนอะไร แต่การเงินเริ่มขัดสนเมื่อผมเริ้มเข้ามัธยม จากที่มีก็ค่อยๆลดไปเรื่อยๆ บ้านที่เคยมีความสุข มาจนจุดที่ไม่มีค่าไฟนำ้ค่าไฟ จนโดนตัดไฟไประยะหนึ่ง(ตอนนั้นอยู่ม.2) แต่ก็มีอาของผมที่คอยให้เงินผมไว้ใช้ไปเรียนบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ผมเองบอกตรงๆครับ ลำบากใจมากที่รับดงินเค้ามา พ่อแม่ผมก็ค่อนข้างมีอายุจะไปหางานทำก็ลำบาก และด้วยจุดนี้ทำให้ผมต้องหาอะไรทำเพื่อสร้างอนาคตให้ครอบครัวกลับมาดี ในร.ร.ผมหากิจกรรมทำเพื่อสะสมผลงานเพียงหวังแค่ว่าจะได้มหาลัยดีๆกับเค้าบ้างก็ทำกิจกรรมมาเรื่อยๆจนจบม.6 ในความคิดของเด็กหลายๆคนคงคิดหาฟนทางหามหาลัยเพื่อศึกษาต่อแต่ผมตอนนั้นคิดแค่ว่า เห้ยมหาลัยไหนค่าเทอมถูก ค่าใช้จ่ายไม่เยอะบาง (หลายคนคงกำลังคิดอยู่ว่าทำไมไม่กู้เรียน?) ญาติผมหลายๆคนก็พูดแบบนี้ ซึ่งผมขอบอกก่อนนะครับ ครอบครัวผมขายบ้านตอนผมขึ้นม.6 แน่นอนผมพูดอะไรไม่ได้ พอมารู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ไปอยู่บ้านอาแล้ว (เนื่องด้วยย้ายบ้านไปไกลเลยต้องมาอยู่กับอาซึ่งไม่ไกลจากร.ร.) ความคิดผมตอนนั้นคือ ชีวิตครอบครัวที่เป็ยหนี้ไม่มีบ้านแล้วยังจะไปกู้ยืมเค้าอีกหรอ ผมไม่คิดถึงความฝันของผมเลยว่าผมอยากเป็นอะไรอยากทำอะไร ขอแค่เรียนจบได้พอ จากที่ครอบครัวผมขายบ้าน เค้าสัญญาว่าจะนำเงินส่วนหนึ่งไปให้ผมรักษาตา เพื่อสอบทหารเรือ(เค้าไม่รับคนสายตาสืน)ซึ่งยิ่งใกล้วันสอบผมก็ถามว่าเมื่อไหร่จะได้ทำตา ผมก็ได้คำตอบเพียงว่า"ไม่รู้" มัยเป็นคำที่ผมเกลียดมากที่สุดในตอนนี้ พอสอบเสร้จประกาศผล ผมผ่านข้อเขียนครับแต่!!!ไม่ผ่านสายตา ทำให้ไม่ผ่านหมด คือชีวิตผมก็คงโทษใครไม่ได้เพราะเราเลือกเส้นทางนี้แล้ว จากนืนผมเลยหามหาวิทยาลัยที่ใกล้บ้าน ค่าเทอมไม่แพง พอเรียนได้ ผมเลือกเรียน กฎหมาย ซึ่งตารางเรียนมีเรียน จ - พฤ และผมทำงานพามไทม์ ศ. เสา. อา. พอเรียนๆไปผมเริ่มมีความรู้สึกว่า มันไม่ใช่(ขออญุญาตพูดตรงๆนะครับ ว่าผมคิดว่าเรียนไปผมไม่น่ามีอนาคตสำหรับตัวเอง)ผมเลยตัดสินใจดรอปไว้ ซึ่งในใจมันเจ็บมาก เสียดายเงินค่าเทอมที่หามาเองจากการทำงาน การเรียน + ทำงาน ทำให้ผมไม่มีวันว่าง เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งปี มีหลายๆครั้งที่ผมแอบร้องไห้คนเดียว หรือนั่งร้องไห้บนรถหลังกลับจากที่มอหรือที่ทำงาน ผมก็ได้เพียงให้กำลังใจตัวเองว่าสักวันมันต้องดีได้ เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่ามาผมไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ผมไม่ได้เล่าให้คนอ่านมาส่งงานหรือเวทนาผม ผมแค่อยากระบาย ซึ่งตอนนี้ผมทำงานเก็บเงินได้พอจำนสนหนึ่งที่คิดว่าจะพอส่งเสียตัวเองเรียนได้(อาจต้องกู้เรียนด้วย) ถ้าถามถุงความรู้สึกผมหรอ