สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ถ้าผู้ตายไม่มีผู้จัดการมรดก/คนขอรับมรดก
เงินฝากที่ธนาคารหักค่ารักษาบัญชีไม่ได้
เพราะยอดเงินฝากสูงกว่าขั้นต่ำ
หรือบางธนาคารก็ประเภทเงินฝากประจำ
ถ้าไม่มีรายการ update book เกินกว่า 2 ปี
จะโอนเข้าเป็นบัญชีขาดการติดต่อ หรือ Unclaimed Account
สาขาธนาคารตามมหาวิทยาลัย
ในสมัยก่อนบัญชีแบบนี้มีมาก
ในยุคยังไม่มีการหักค่ารักษาบัญชีขั้นต่ำแต่ละบัญชี
เพราะนิสิตนักศึกษามักจะเหลือยอดเงินฝากทิ้งไว้ไม่มาก
เช่น เงินฝากหลักพันหลักร้อยหลักสิบบาท
เลยลืมบ้าง ไม่อยากมาเข้าคิวขอปิดบัญชีบ้าง
หรือจบแล้วทำงานอยู่ที่ห่างไกลมาก
ไม่คุ้มกับการเดินทางมาปิดบัญชีที่สาขา
รวมทั้งถ้าสมุดบัญชีเงินฝากหายต้องไปแจ้งความด้วย
สะสมหลาย ๆ ปี หลาย ๆ คน
บางสาขามีเงินขาดการติดต่อแบบนี้หลักล้านบาทขึ้นไป
จนเป็นเหตุให้พนักงานบางคนทุจริตถอนเงินฝากพวกนี้ไปใช้เอง
กว่าจะจับได้ก็เสียหายหลายแสนแล้ว
บัญชีขาดการติดต่อจะฝากไว้ที่สาขา
ถ้าไม่สามารถหักเงินจนหมดได้
เพราะยอดเงินฝากสูงกว่าขั้นต่ำ
หรือบางธนาคารก็ประเภทเงินฝากประจำ
ต้องรอการเรียกร้องสิทธิ์จากเจ้าของบัญชี/ทายาท/ผู้จัดการมรดก
พอครบ 10 ปีจะโอนยอดเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด
เข้าบัญชีรับรู้ว่าเป็นรายได้ของธนาคารที่สำนักงานใหญ่
ถ้านานไป ๆ ไม่มีคนมาติดต่อเลย ก็สบายใจหรือชื่นสุขไปเลย
ถ้าเจ้าของเงินฝาก/ทายาท/ผู้จัดการมรดกมาติดต่อ
จะขอรับเงินคืนได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมด
แต่ธนาคารต้องตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วนตามกฎหมายก่อน
แต่ที่ทราบ/จำได้คือ ธนาคารพาณิชย์ที่เปิดทำการสาขาที่
เขาศูนย์ กับ ตลาดย่านยาว หรือสาขาใกล้เคียง
สมัยที่มีการขุดแร่วุลแฟลม/ดีบุก กันจำนวนมากจนเป็นตำนาน
มีคนตายก็มาก จากการฆ่ากันตาย หรือ อุบัติเหตุ
มีหลายคนตายหลังจากฝากเงินไว้แล้วก็หลายคน
หลายธนาคารต่างงาบไปนานมากแล้ว
จำนวนเงินร่วม ๆ 100 กว่าล้านบาททั้ง 2 แห่ง
เพราะญาติพี่น้องก็ไม่ทราบคนตายหายไปไหน
สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ Line Facebook
อย่างเก่งก็โทรศัพท์บ้าน หรือต้องใช้โทรเลข จดหมาย ในการติดต่อกัน
โทรศัพท์บ้านในยุคนั้น บางคนยื่นคำขอติดตั้งโทรศัพท์
จนลูกเข้าอนุบาล/จบชั้นประถมศึกษา ก็ยังไม่มาติดตั้งเลยก็มี
พอหลังแปรรูป/เปิดให้มีการแข่งขัน ไม่เกินอาทิตย์ก็มาติดตั้งแล้ว
การมาขอรับเงินฝากคืนโดยใช้สิทธิ์ฐานะทายาทคนตาย
ก็มักจะไม่ทราบอีกว่าคนตายฝากเงินไว้ที่ธนาคารไหนบ้าง
ถ้ามีสมุดเงินฝากธนาคารทิ้งไว้ก็พอสืบหาได้
แต่ถ้าไม่มีสมุดเงินฝากเลยไปถามธนาคาร
ธนาคารมักจะอ้างว่าเป็นความลับลูกค้าเปิดเผยไม่ได้
ต้องมีหนังสือจากส่วนราชการหรือคำสั่งศาลมาก่อน
ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าจะต้องตั้งผู้จัดการมรดกอย่างไร
หรือถ้าตั้งจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรบ้าง
หรือค่าใช้จ่ายอาจจะมากไปจนไม่คุ้มกับการติดตามทวงถามได้
พอ ๆ กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อขอรับเงิน
เพราะถ้ามีคำสั่งศาลในฐานะผู้จัดการมรดก
จึงจะเรียกให้ธนาคารอ้าปากตอบคำถามได้
ไป ๆ มา ๆ หลายธนาคารที่รับฝากเงินไว้
ก็โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าสำนักงานใหญ่
เป็นอะไรที่สบายใจและชื่นสุขไปเลย
หรืองาบไปเป็นรายได้ของธนาคารไปเลย
ในยุคแรกการเปิดบัญชีธนาคารจะใช้เขียนชื่อนามสกุล
ลงในสมุดกระดาษเล่มใหญ่ ๆ ยังไม่ได้ลงในคอมพิวเตอร์
สมุดเงินฝากก็ยังพิมพ์ชื่อนามสกุล เลขที่บัญชีกับเครื่องพิมพ์ดีด
ธนาคารยังใช้เครื่องจักรกลยี่ห้อยอดฮิต NEC Kienzle
ลงรายการบัญชีเงินฝากด้วยเครื่องจักรกล
ช่วงเปลี่ยนผ่านระบบจากเอกสารเป็นระบบคอมพิวเตอร์
ก็ยังต้องใช้ควบคู่กับสมุดกระดาษเล่มใหญ่ ๆ
แม้จะเป็นยุคที่ 2 ยังต้องแปลงชื่อไทยเป็นภาษาอังกฤษก่อน
เพราะภาษาไทยมี 4 ระดับ 1. สระ ุ ู ฺ 2. พยัญชนะ 3. สระ ั ์ 4. วรรณยุกต์ ่ ้ ๊ ๋
เพราะการแปลผล/ประมวลผลด้วยภาษาไทยจะช้ามากในยุคที่ 2
จึงต้องแปลชื่อนามสกุลที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ
หน่วยจัดเก็บข้อมูล PC ก็ยังแพงมากเช่นกัน
ยุคนั้นจะเรียกว่า Convert คือการโอนย้ายข้อมูลบัญชีเงินฝาก
แต่สมุดเงินฝากก็ยังต้องพิมพ์ชื่อนามสกุล เลขที่บัญชีกับเครื่องพิมพ์ดีด
การลงรายการบัญชีเริ่มใช้ผ่านคอมพิวเตอร์กับ Printer
ยังไม่ Online ทั่วประเทศ บางสาขาก็ยัง Standalone ยี่ห้อยอดนิยมยุคนั้นคือ NEC
ต่อมา Online ทั่วประเทศแล้ว ใช้ Mainframe IBM AS400 กันส่วนมาก
ชื่อบัญชีภายในยังเป็นภาษาอังกฤษ Code ภายในบัญชีเป็นรหัสตัวเลข
ยุคที่ 3 ต่อมาคอมพิวเตอร์พัฒนาทันสมัยมากขึ้น ราคาถูกลง ประมวลผลได้เร็วขึ้น
จึงเริ่มใช้ชื่อภาษาไทยแทนภาษาอังกฤษ กับรหัสบัตรประชาชน
เป็นการ Convert รอบที่ 2 ของระบบธนาคาร
ถ้าในปัจจุบันจะค้นหาได้เร็วขึ้น เพราะเป็นภาษาไทย
กับ Online เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ Code ยังเป็นตัวเลขเหมือนเดิม
ยุคนี้สมุดเงินฝากพิมพ์ชื่อนามสกุลสถานที่อยู่ เลขที่บัญชีด้วย Printer ได้เลย
ถ้าไปเจอยุคแรกสุด ก็ไปไม่ค่อยถูกเหมือนกัน
เพราะเสียเวลาค้นมาก ต้องไล่ดูจากสมุดเอกสารกระดาษเล่มใหญ่
ถ้ามีลูกค้าเปิดบัญชีจำนวนมาก ก็ตาลายไปเหมือนกัน
ยุคที่ 2 ค่อยยังชั่วแต่เป็นภาษาอังกฤษ
ใช้ควบคู่กับสมุดเอกสารกระดาษเล่มใหญ่ ก็ยังไปไม่ค่อยถูกเช่นกัน
ปัญหาภาษาไทย
การสะกดไทยเป็นภาษาอังกฤษ
ยังทำกันแบบตามใจฉัน/ที่เรียนรู้มาในอดีต
ไม่ยอมยึดหลักการของราชบัณฑิตยสถาน
ทำให้การสะกดต่างกันเกือบทุกธนาคารหรือทุกสาขา
รหัสประจำตัวภาษาเครื่องคอมพิวเตอร์ ASCII
เฉพาะภาษาไทย แต่ละตัวอักษร สระ วรรณยุกต์
ก็มีหลายค่าย หลายสำนัก ไม่ยอมรับมาตรฐานซึ่งกันและกันในช่วงแรก
จนกระทั่งมีการตั้งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่องดังกล่าวจึงยุติลงและเดินหน้าได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
หุ้นในบริษัทต่าง ๆ ต้องมีเอกสารทางราชการ
ระบุว่าเป็นผู้จัดการมรดกหรือทายาทโดยธรรม
จึงจะทำเรื่องขอรับมรดกหุ้นบริษัทต่าง ๆ ได้
กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
หรือมีเงินคืนให้ภายในกำหนดระยะเวลา
ถ้าบริษัทติดต่อผู้ทำประกันหรือทายาทไม่ได้
มักจะโอนเข้าบัญชีพักเจ้าหนี้ก่อน
พอนาน ๆ ไป แล้วแต่ระเบียบภายในของแต่ละแห่ง
หรือเกินกว่า 10 ปีแล้วยังไม่มีคนมาติดต่อ
ก็โอนเข้าบัญชีรายได้ของบริษัทไปเลย/งาบไปเลย
ถ้ามีคนทำประกัน/ทายาท/ผู้จัดการมรดก มาขอเงินคืน
ก็ต้องตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วนตามกฎหมายก่อนคืนเงินให้
ที่ดินถ้าไม่ทราบเลยค่อนข้างเสียเปรียบ
ถ้ามีคนบุกรุกและครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปี
แต่ถ้าคนบุกรุกยังไม่ได้ไปยื่นคำร้อง
ขอจดทะเบียนขอรับสิทธิ์การได้มาซึ่งที่ดิน
เพราะการครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน
เรื่องแบบนี้มักจะกลายเป็นอ้อยเข้าปากช้างแล้ว
จะยื้อคืนหรือดึงออกจากปากค่อนข้างยาก
ต้องรีบไปดำเนินการจัดการขับไล่ออกไป
หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากที่ดินโดยพลัน
แต่ถ้ายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขับไล่ออกจากที่ดิน
มีข้อควรระมัดระวังอย่างหนึ่งคือ
อย่าให้คนครอบครองปรปักษ์
มีข้อต่อสู้/ฟ้องแย้งว่า ได้ครอบครองปรปักษ์แล้ว
อาจจะแพ้คดีสูญเสียที่ดินไปเลย
แต่มีทางแก้ไขคือ ให้รีบรับโอนมรดกให้เสร็จตามกฎหมาย
แล้วรีบขายต่อให้บุคคลภายนอก/นิติบุคคล
ต้องไม่ใช่คนในครอบครัว/ญาติพี่น้อง ทั้งฝ่ายตนฝ่ายคู่สมรส
จะได้ไม่เข้าข่ายกลฉ้อฉล/อำพราง
ให้มีการซื้อขายโดยสุจริตมีค่าตอบแทน
แล้วให้เจ้าของกรรมสิทธิ์รายใหม่
ไปดำเนินจัดการฟ้องขับไล่
หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากที่ดิน
เพราะสิทธิ์การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
แต่ถ้ามีหนี้จำนองก็ต้องไถ่ถอนจำนองก่อน
หรือโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำนอง/โอนครอบจำนอง
ทำได้แต่ธนาคารไม่ค่อยยอมทำเรื่องนี้
เพราะยุ่งยากเวลาหนี้มีปัญหาขึ้นมา
เวลาฟ้องเรียกหนี้คืนจากลูกหนี้/ผู้จำนองรายหลังสุด
ต้องลำดับความเป็นมาตามลำดับ
การทำแบบนี้มักจะทำให้เฉพาะลูกค้ารายใหญ่
หรือแก้ปัญหาหนี้เสียด้วยลูกหนี้รายใหม่
ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ไม่น่าจะมีปัญหา
รวมทั้งเป็น Soft-lock ลูกค้ารายใหญ่/ผู้จำนองรายใหม่
ไว้ต่อสู้กับเจ้าหนี้รายนอกว่า
สุจริตมีค่าตอบแทนไม่ได้ทำด้วยกลฉ้อฉล
หรือช่วยลูกหนี้โอนหนีหนี้ให้กับคนภายนอก


เครื่องจักรลงบัญชีเงินฝากยุคแรก
หลักง่าย ๆ ในการแบ่งมรดก คือ ขึ้น 3 จะได้คนละส่วน คือ ให้ตั้งต้นนับว่า
1. คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
(ภริยา/สามีนอกสมรส แบบนักการเมือง/บางคนชอบทำ ไม่มีสิทธิ์ขอแบ่งมรดก)
กรณีแยกกันอยู่เฉย ๆ เกินกว่า 3 ปี ถ้าไม่มีการจดทะเบียนหย่าตามกฎหมาย
หรือมีคำสั่งของศาลให้สิ้นสุดความเป็นสามีภริยากัน คู่สมรสยังมีสิทธิ์รับมรดก
เพราะกฎหมายไทยถือเอาลายลักษณ์อักษร มากกว่าพฤติเหตุแวดล้อมกรณี
(Circumstance Evidence) แม้ว่าข้อเท็จจริงจะไม่ได้อยู่กินมานานเกิน 3 ปีแล้วก็ตาม
2. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย/หรือมีการจดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตร (บุตรของภริยานอกสมรส)
ในกรณีแบบพฤตินัย เช่น นักร้อง/ผู้ตัดสินประกวดการร้องเพลงที่เป็นสตรีในรายการโทรทัศน์
กรณีนี้แม้ว่าจะเป็นพฤติเหตุแวดล้อมกรณี
ศาลมักจะยินยอมให้บุตรได้รับมรดก
เพราะเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
3. บิดาต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาจึงจะมีสิทธิ์เต็มร้อย
ถ้าไม่จดทะเบียนสมรส มรดกเป็นของมารดาเพียงคนเดียว
แม้ว่าบิดาจะมีการจดทะเบียนรับรองบุตร
และนำสืบถึงความเกี่ยวพันกับผู้ตาย(เจ้ามรดก)
ก็ไม่มีสิทธิ์รับมรดกจากบุตรที่รับรอง
เพราะกฎหมายระบุให้เฉพาะผู้สืบสันดาน
กับป้องกันการหาประโยชน์จากผู้ตาย/เจ้ามรดก
ลำดับ 3 บนนี้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ จะตัดสิทธิ์ทายาทลำดับล่างทั้งหมด
โดยจะกันสินสมรสออกไปครึ่งหนึ่งก่อน
แล้วนำครึ่งที่เหลือมาแบ่งมรดกกัน
โดยหารตามจำนวนคนที่มีสิทธิ์ทั้งหมด
คู่สมรสจะมีสิทธิ์ขอเอี่ยวอีกคน/เป็นตัวหารร่วมอีกคน
แต่ถ้าเป็นภริยา/สามีนอกสมรส ก็ไปไกล ๆ เลย
กองมรดกก็จะมาแบ่งกันในรายการที่ 2 กับ 3
โดยหารตามจำนวนคนที่มีสิทธิ์ทั้งหมด
ถ้า 2 กับ 3 ไม่มีแล้วก็แบ่งลงไปจนหมดสาย
ถ้ายังไม่มีอีกจึงจะตกเป็นของแผ่นดิน
ส่วนลงจาก 3 ก็จะได้ลดหลั่นลงไปตามอัตราส่วนตามกฎหมาย
ตัวหารลดหลั่นลงไปน้อยกว่าคู่สมรสที่ได้มากกว่า
ถ้ายังมีคู่สมรสชอบด้วยกฎหมายมาขอรับมรดกด้วย
ยิ่งถ้าลงจาก 3 ลงไปไม่รู้เรื่อง/ไม่เรียกร้อง
ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
ก็จะกลายเป็นสมบัติคู่สมรส
ไปแบบสบายใจหรือชื่นสุขไปเลย
เพราะต้องรีบดำเนินการตาม ปพพ. มาตรา 1754
ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี
นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย
หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้
หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ภายในระยะเวลาไม่เกินกว่า 10 ปี
หนี้สินมากกว่ากองมรดก
ทายาทไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สิน
เกินกว่าทรัพย์สิน/ทรัพย์มรดก
ตามม.1734 และม.1738 วรรคหนึ่ง
จะไปบังคับเอาจากทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ได้
โดยหลักให้ดูว่าทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมด
เช่น ทองคำ เพชรพลอย อสังหาริมทรัพย์
มีมากเหลือเฟือพอชำระหนี้ได้ทั้งหมด
ถ้าเหลือเฟือก็ขายไป แล้วไปชำระหนี้ก่อน
ส่วนที่เหลือก็มาแบ่งปันกันระหว่างทายาทต่อไป
ถ้าหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน
ก็ให้เจ้าหนี้ไปรับผิดชอบเอง
หรือไปตามหนี้จากคนตายก็แล้วกัน
ทายาทคนตายไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวรับผิดชอบ
หนี้สินที่เกินกว่าทรัพย์มรดก
แม้ว่าจะไปจัดการทรัพย์สิน/หนี้สิน
ในฐานะผู้จัดการมรดก/ทายาทโดยธรรม
ก็เพียงแต่ไปรวบรวม/จัดการทรัพย์สิน/หนี้สินตามกฎหมาย
ไม่ใช่เข้าไปรับโอนสภาพหนี้ทั้งหมดแต่อย่างใด
แบบธนาคารชอบให้ทายาทโดยธรรม/ผู้จัดการมรดก
ทำหนังสือรับสภาพหนี้ผู้ตายทั้งหมดที่มีต่อธนาคาร
ก็จะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ขยายระยะเวลาจาก 1 ปีเป็น 10 ปี
แล้วมักจะขู่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีในฐานะผู้รับสภาพหนี้
ถ้าไม่เข้าไปติดต่อเพราะหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน
ธนาคารต้องไปฟ้องร้องบังคับคดีจากกองมรดกที่มีแต่หนี้สินเอง
เว้นแต่จะยอมรับว่าเป็นหนี้เกียรติยศ/หนี้ทางจริยธรรม
แบบบุญคุณต้องตอบแทน/หนี้ต้องชำระ
ก็ว่ากันไปเพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน
เอาที่สบายใจและชื่นสุขก็แล้วกัน
เงินฝากที่ธนาคารหักค่ารักษาบัญชีไม่ได้
เพราะยอดเงินฝากสูงกว่าขั้นต่ำ
หรือบางธนาคารก็ประเภทเงินฝากประจำ
ถ้าไม่มีรายการ update book เกินกว่า 2 ปี
จะโอนเข้าเป็นบัญชีขาดการติดต่อ หรือ Unclaimed Account
สาขาธนาคารตามมหาวิทยาลัย
ในสมัยก่อนบัญชีแบบนี้มีมาก
ในยุคยังไม่มีการหักค่ารักษาบัญชีขั้นต่ำแต่ละบัญชี
เพราะนิสิตนักศึกษามักจะเหลือยอดเงินฝากทิ้งไว้ไม่มาก
เช่น เงินฝากหลักพันหลักร้อยหลักสิบบาท
เลยลืมบ้าง ไม่อยากมาเข้าคิวขอปิดบัญชีบ้าง
หรือจบแล้วทำงานอยู่ที่ห่างไกลมาก
ไม่คุ้มกับการเดินทางมาปิดบัญชีที่สาขา
รวมทั้งถ้าสมุดบัญชีเงินฝากหายต้องไปแจ้งความด้วย
สะสมหลาย ๆ ปี หลาย ๆ คน
บางสาขามีเงินขาดการติดต่อแบบนี้หลักล้านบาทขึ้นไป
จนเป็นเหตุให้พนักงานบางคนทุจริตถอนเงินฝากพวกนี้ไปใช้เอง
กว่าจะจับได้ก็เสียหายหลายแสนแล้ว
บัญชีขาดการติดต่อจะฝากไว้ที่สาขา
ถ้าไม่สามารถหักเงินจนหมดได้
เพราะยอดเงินฝากสูงกว่าขั้นต่ำ
หรือบางธนาคารก็ประเภทเงินฝากประจำ
ต้องรอการเรียกร้องสิทธิ์จากเจ้าของบัญชี/ทายาท/ผู้จัดการมรดก
พอครบ 10 ปีจะโอนยอดเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด
เข้าบัญชีรับรู้ว่าเป็นรายได้ของธนาคารที่สำนักงานใหญ่
ถ้านานไป ๆ ไม่มีคนมาติดต่อเลย ก็สบายใจหรือชื่นสุขไปเลย
ถ้าเจ้าของเงินฝาก/ทายาท/ผู้จัดการมรดกมาติดต่อ
จะขอรับเงินคืนได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมด
แต่ธนาคารต้องตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วนตามกฎหมายก่อน
แต่ที่ทราบ/จำได้คือ ธนาคารพาณิชย์ที่เปิดทำการสาขาที่
เขาศูนย์ กับ ตลาดย่านยาว หรือสาขาใกล้เคียง
สมัยที่มีการขุดแร่วุลแฟลม/ดีบุก กันจำนวนมากจนเป็นตำนาน
มีคนตายก็มาก จากการฆ่ากันตาย หรือ อุบัติเหตุ
มีหลายคนตายหลังจากฝากเงินไว้แล้วก็หลายคน
หลายธนาคารต่างงาบไปนานมากแล้ว
จำนวนเงินร่วม ๆ 100 กว่าล้านบาททั้ง 2 แห่ง
เพราะญาติพี่น้องก็ไม่ทราบคนตายหายไปไหน
สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ Line Facebook
อย่างเก่งก็โทรศัพท์บ้าน หรือต้องใช้โทรเลข จดหมาย ในการติดต่อกัน
โทรศัพท์บ้านในยุคนั้น บางคนยื่นคำขอติดตั้งโทรศัพท์
จนลูกเข้าอนุบาล/จบชั้นประถมศึกษา ก็ยังไม่มาติดตั้งเลยก็มี
พอหลังแปรรูป/เปิดให้มีการแข่งขัน ไม่เกินอาทิตย์ก็มาติดตั้งแล้ว
การมาขอรับเงินฝากคืนโดยใช้สิทธิ์ฐานะทายาทคนตาย
ก็มักจะไม่ทราบอีกว่าคนตายฝากเงินไว้ที่ธนาคารไหนบ้าง
ถ้ามีสมุดเงินฝากธนาคารทิ้งไว้ก็พอสืบหาได้
แต่ถ้าไม่มีสมุดเงินฝากเลยไปถามธนาคาร
ธนาคารมักจะอ้างว่าเป็นความลับลูกค้าเปิดเผยไม่ได้
ต้องมีหนังสือจากส่วนราชการหรือคำสั่งศาลมาก่อน
ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าจะต้องตั้งผู้จัดการมรดกอย่างไร
หรือถ้าตั้งจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรบ้าง
หรือค่าใช้จ่ายอาจจะมากไปจนไม่คุ้มกับการติดตามทวงถามได้
พอ ๆ กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อขอรับเงิน
เพราะถ้ามีคำสั่งศาลในฐานะผู้จัดการมรดก
จึงจะเรียกให้ธนาคารอ้าปากตอบคำถามได้
ไป ๆ มา ๆ หลายธนาคารที่รับฝากเงินไว้
ก็โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าสำนักงานใหญ่
เป็นอะไรที่สบายใจและชื่นสุขไปเลย
หรืองาบไปเป็นรายได้ของธนาคารไปเลย
ในยุคแรกการเปิดบัญชีธนาคารจะใช้เขียนชื่อนามสกุล
ลงในสมุดกระดาษเล่มใหญ่ ๆ ยังไม่ได้ลงในคอมพิวเตอร์
สมุดเงินฝากก็ยังพิมพ์ชื่อนามสกุล เลขที่บัญชีกับเครื่องพิมพ์ดีด
ธนาคารยังใช้เครื่องจักรกลยี่ห้อยอดฮิต NEC Kienzle
ลงรายการบัญชีเงินฝากด้วยเครื่องจักรกล
ช่วงเปลี่ยนผ่านระบบจากเอกสารเป็นระบบคอมพิวเตอร์
ก็ยังต้องใช้ควบคู่กับสมุดกระดาษเล่มใหญ่ ๆ
แม้จะเป็นยุคที่ 2 ยังต้องแปลงชื่อไทยเป็นภาษาอังกฤษก่อน
เพราะภาษาไทยมี 4 ระดับ 1. สระ ุ ู ฺ 2. พยัญชนะ 3. สระ ั ์ 4. วรรณยุกต์ ่ ้ ๊ ๋
เพราะการแปลผล/ประมวลผลด้วยภาษาไทยจะช้ามากในยุคที่ 2
จึงต้องแปลชื่อนามสกุลที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ
หน่วยจัดเก็บข้อมูล PC ก็ยังแพงมากเช่นกัน
ยุคนั้นจะเรียกว่า Convert คือการโอนย้ายข้อมูลบัญชีเงินฝาก
แต่สมุดเงินฝากก็ยังต้องพิมพ์ชื่อนามสกุล เลขที่บัญชีกับเครื่องพิมพ์ดีด
การลงรายการบัญชีเริ่มใช้ผ่านคอมพิวเตอร์กับ Printer
ยังไม่ Online ทั่วประเทศ บางสาขาก็ยัง Standalone ยี่ห้อยอดนิยมยุคนั้นคือ NEC
ต่อมา Online ทั่วประเทศแล้ว ใช้ Mainframe IBM AS400 กันส่วนมาก
ชื่อบัญชีภายในยังเป็นภาษาอังกฤษ Code ภายในบัญชีเป็นรหัสตัวเลข
ยุคที่ 3 ต่อมาคอมพิวเตอร์พัฒนาทันสมัยมากขึ้น ราคาถูกลง ประมวลผลได้เร็วขึ้น
จึงเริ่มใช้ชื่อภาษาไทยแทนภาษาอังกฤษ กับรหัสบัตรประชาชน
เป็นการ Convert รอบที่ 2 ของระบบธนาคาร
ถ้าในปัจจุบันจะค้นหาได้เร็วขึ้น เพราะเป็นภาษาไทย
กับ Online เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ Code ยังเป็นตัวเลขเหมือนเดิม
ยุคนี้สมุดเงินฝากพิมพ์ชื่อนามสกุลสถานที่อยู่ เลขที่บัญชีด้วย Printer ได้เลย
ถ้าไปเจอยุคแรกสุด ก็ไปไม่ค่อยถูกเหมือนกัน
เพราะเสียเวลาค้นมาก ต้องไล่ดูจากสมุดเอกสารกระดาษเล่มใหญ่
ถ้ามีลูกค้าเปิดบัญชีจำนวนมาก ก็ตาลายไปเหมือนกัน
ยุคที่ 2 ค่อยยังชั่วแต่เป็นภาษาอังกฤษ
ใช้ควบคู่กับสมุดเอกสารกระดาษเล่มใหญ่ ก็ยังไปไม่ค่อยถูกเช่นกัน
ปัญหาภาษาไทย
การสะกดไทยเป็นภาษาอังกฤษ
ยังทำกันแบบตามใจฉัน/ที่เรียนรู้มาในอดีต
ไม่ยอมยึดหลักการของราชบัณฑิตยสถาน
ทำให้การสะกดต่างกันเกือบทุกธนาคารหรือทุกสาขา
รหัสประจำตัวภาษาเครื่องคอมพิวเตอร์ ASCII
เฉพาะภาษาไทย แต่ละตัวอักษร สระ วรรณยุกต์
ก็มีหลายค่าย หลายสำนัก ไม่ยอมรับมาตรฐานซึ่งกันและกันในช่วงแรก
จนกระทั่งมีการตั้งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่องดังกล่าวจึงยุติลงและเดินหน้าได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
หุ้นในบริษัทต่าง ๆ ต้องมีเอกสารทางราชการ
ระบุว่าเป็นผู้จัดการมรดกหรือทายาทโดยธรรม
จึงจะทำเรื่องขอรับมรดกหุ้นบริษัทต่าง ๆ ได้
กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
หรือมีเงินคืนให้ภายในกำหนดระยะเวลา
ถ้าบริษัทติดต่อผู้ทำประกันหรือทายาทไม่ได้
มักจะโอนเข้าบัญชีพักเจ้าหนี้ก่อน
พอนาน ๆ ไป แล้วแต่ระเบียบภายในของแต่ละแห่ง
หรือเกินกว่า 10 ปีแล้วยังไม่มีคนมาติดต่อ
ก็โอนเข้าบัญชีรายได้ของบริษัทไปเลย/งาบไปเลย
ถ้ามีคนทำประกัน/ทายาท/ผู้จัดการมรดก มาขอเงินคืน
ก็ต้องตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วนตามกฎหมายก่อนคืนเงินให้
ที่ดินถ้าไม่ทราบเลยค่อนข้างเสียเปรียบ
ถ้ามีคนบุกรุกและครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปี
แต่ถ้าคนบุกรุกยังไม่ได้ไปยื่นคำร้อง
ขอจดทะเบียนขอรับสิทธิ์การได้มาซึ่งที่ดิน
เพราะการครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน
เรื่องแบบนี้มักจะกลายเป็นอ้อยเข้าปากช้างแล้ว
จะยื้อคืนหรือดึงออกจากปากค่อนข้างยาก
ต้องรีบไปดำเนินการจัดการขับไล่ออกไป
หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากที่ดินโดยพลัน
แต่ถ้ายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขับไล่ออกจากที่ดิน
มีข้อควรระมัดระวังอย่างหนึ่งคือ
อย่าให้คนครอบครองปรปักษ์
มีข้อต่อสู้/ฟ้องแย้งว่า ได้ครอบครองปรปักษ์แล้ว
อาจจะแพ้คดีสูญเสียที่ดินไปเลย
แต่มีทางแก้ไขคือ ให้รีบรับโอนมรดกให้เสร็จตามกฎหมาย
แล้วรีบขายต่อให้บุคคลภายนอก/นิติบุคคล
ต้องไม่ใช่คนในครอบครัว/ญาติพี่น้อง ทั้งฝ่ายตนฝ่ายคู่สมรส
จะได้ไม่เข้าข่ายกลฉ้อฉล/อำพราง
ให้มีการซื้อขายโดยสุจริตมีค่าตอบแทน
แล้วให้เจ้าของกรรมสิทธิ์รายใหม่
ไปดำเนินจัดการฟ้องขับไล่
หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากที่ดิน
เพราะสิทธิ์การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
แต่ถ้ามีหนี้จำนองก็ต้องไถ่ถอนจำนองก่อน
หรือโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำนอง/โอนครอบจำนอง
ทำได้แต่ธนาคารไม่ค่อยยอมทำเรื่องนี้
เพราะยุ่งยากเวลาหนี้มีปัญหาขึ้นมา
เวลาฟ้องเรียกหนี้คืนจากลูกหนี้/ผู้จำนองรายหลังสุด
ต้องลำดับความเป็นมาตามลำดับ
การทำแบบนี้มักจะทำให้เฉพาะลูกค้ารายใหญ่
หรือแก้ปัญหาหนี้เสียด้วยลูกหนี้รายใหม่
ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ไม่น่าจะมีปัญหา
รวมทั้งเป็น Soft-lock ลูกค้ารายใหญ่/ผู้จำนองรายใหม่
ไว้ต่อสู้กับเจ้าหนี้รายนอกว่า
สุจริตมีค่าตอบแทนไม่ได้ทำด้วยกลฉ้อฉล
หรือช่วยลูกหนี้โอนหนีหนี้ให้กับคนภายนอก


เครื่องจักรลงบัญชีเงินฝากยุคแรก
หลักง่าย ๆ ในการแบ่งมรดก คือ ขึ้น 3 จะได้คนละส่วน คือ ให้ตั้งต้นนับว่า
1. คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
(ภริยา/สามีนอกสมรส แบบนักการเมือง/บางคนชอบทำ ไม่มีสิทธิ์ขอแบ่งมรดก)
กรณีแยกกันอยู่เฉย ๆ เกินกว่า 3 ปี ถ้าไม่มีการจดทะเบียนหย่าตามกฎหมาย
หรือมีคำสั่งของศาลให้สิ้นสุดความเป็นสามีภริยากัน คู่สมรสยังมีสิทธิ์รับมรดก
เพราะกฎหมายไทยถือเอาลายลักษณ์อักษร มากกว่าพฤติเหตุแวดล้อมกรณี
(Circumstance Evidence) แม้ว่าข้อเท็จจริงจะไม่ได้อยู่กินมานานเกิน 3 ปีแล้วก็ตาม
2. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย/หรือมีการจดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตร (บุตรของภริยานอกสมรส)
ในกรณีแบบพฤตินัย เช่น นักร้อง/ผู้ตัดสินประกวดการร้องเพลงที่เป็นสตรีในรายการโทรทัศน์
กรณีนี้แม้ว่าจะเป็นพฤติเหตุแวดล้อมกรณี
ศาลมักจะยินยอมให้บุตรได้รับมรดก
เพราะเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
3. บิดาต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาจึงจะมีสิทธิ์เต็มร้อย
ถ้าไม่จดทะเบียนสมรส มรดกเป็นของมารดาเพียงคนเดียว
แม้ว่าบิดาจะมีการจดทะเบียนรับรองบุตร
และนำสืบถึงความเกี่ยวพันกับผู้ตาย(เจ้ามรดก)
ก็ไม่มีสิทธิ์รับมรดกจากบุตรที่รับรอง
เพราะกฎหมายระบุให้เฉพาะผู้สืบสันดาน
กับป้องกันการหาประโยชน์จากผู้ตาย/เจ้ามรดก
ลำดับ 3 บนนี้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ จะตัดสิทธิ์ทายาทลำดับล่างทั้งหมด
โดยจะกันสินสมรสออกไปครึ่งหนึ่งก่อน
แล้วนำครึ่งที่เหลือมาแบ่งมรดกกัน
โดยหารตามจำนวนคนที่มีสิทธิ์ทั้งหมด
คู่สมรสจะมีสิทธิ์ขอเอี่ยวอีกคน/เป็นตัวหารร่วมอีกคน
แต่ถ้าเป็นภริยา/สามีนอกสมรส ก็ไปไกล ๆ เลย
กองมรดกก็จะมาแบ่งกันในรายการที่ 2 กับ 3
โดยหารตามจำนวนคนที่มีสิทธิ์ทั้งหมด
ถ้า 2 กับ 3 ไม่มีแล้วก็แบ่งลงไปจนหมดสาย
ถ้ายังไม่มีอีกจึงจะตกเป็นของแผ่นดิน
ส่วนลงจาก 3 ก็จะได้ลดหลั่นลงไปตามอัตราส่วนตามกฎหมาย
ตัวหารลดหลั่นลงไปน้อยกว่าคู่สมรสที่ได้มากกว่า
ถ้ายังมีคู่สมรสชอบด้วยกฎหมายมาขอรับมรดกด้วย
ยิ่งถ้าลงจาก 3 ลงไปไม่รู้เรื่อง/ไม่เรียกร้อง
ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
ก็จะกลายเป็นสมบัติคู่สมรส
ไปแบบสบายใจหรือชื่นสุขไปเลย
เพราะต้องรีบดำเนินการตาม ปพพ. มาตรา 1754
ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี
นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย
หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้
หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ภายในระยะเวลาไม่เกินกว่า 10 ปี
หนี้สินมากกว่ากองมรดก
ทายาทไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สิน
เกินกว่าทรัพย์สิน/ทรัพย์มรดก
ตามม.1734 และม.1738 วรรคหนึ่ง
จะไปบังคับเอาจากทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ได้
โดยหลักให้ดูว่าทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมด
เช่น ทองคำ เพชรพลอย อสังหาริมทรัพย์
มีมากเหลือเฟือพอชำระหนี้ได้ทั้งหมด
ถ้าเหลือเฟือก็ขายไป แล้วไปชำระหนี้ก่อน
ส่วนที่เหลือก็มาแบ่งปันกันระหว่างทายาทต่อไป
ถ้าหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน
ก็ให้เจ้าหนี้ไปรับผิดชอบเอง
หรือไปตามหนี้จากคนตายก็แล้วกัน
ทายาทคนตายไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวรับผิดชอบ
หนี้สินที่เกินกว่าทรัพย์มรดก
แม้ว่าจะไปจัดการทรัพย์สิน/หนี้สิน
ในฐานะผู้จัดการมรดก/ทายาทโดยธรรม
ก็เพียงแต่ไปรวบรวม/จัดการทรัพย์สิน/หนี้สินตามกฎหมาย
ไม่ใช่เข้าไปรับโอนสภาพหนี้ทั้งหมดแต่อย่างใด
แบบธนาคารชอบให้ทายาทโดยธรรม/ผู้จัดการมรดก
ทำหนังสือรับสภาพหนี้ผู้ตายทั้งหมดที่มีต่อธนาคาร
ก็จะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ขยายระยะเวลาจาก 1 ปีเป็น 10 ปี
แล้วมักจะขู่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีในฐานะผู้รับสภาพหนี้
ถ้าไม่เข้าไปติดต่อเพราะหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน
ธนาคารต้องไปฟ้องร้องบังคับคดีจากกองมรดกที่มีแต่หนี้สินเอง
เว้นแต่จะยอมรับว่าเป็นหนี้เกียรติยศ/หนี้ทางจริยธรรม
แบบบุญคุณต้องตอบแทน/หนี้ต้องชำระ
ก็ว่ากันไปเพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน
เอาที่สบายใจและชื่นสุขก็แล้วกัน
แสดงความคิดเห็น
สงสัยครับ ถ้าเป็นโสด แล้วเสียชีวิต ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินที่เราเก็บไว้ จะตกกับใคร ได้อย่างไร