ปูด 'กทค.-กสทช.' เลือกปฏิบัติ หวั่นทำรัฐสูญนับพันล้าน

ปูด "กทค.-กสทช." สั่งเอไอเอสจ่ายเงินรายได้เข้ารัฐไม่ต่ำกว่าค่าสัมปทานเดิม 30% สวนทางอีกค่ายไร้กำหนดแถมไม่เก็บค่าเช่าเสาฯ หวั่นรัฐสูญพันล้าน

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ยังคงไม่สามารถปิดบัญชีเงินรายได้นำส่งรัฐจากการใช้คลื่นความถี่ 1800 เมกกะเฮิร์ตซ์(MHz)ในช่วงมาตรการเยียวยาปี 2556 ได้นั้นว่า นอกเหนือจากปัญหาการคำนวณเม็ดเงินรายได้ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างตัวเลขที่คณะทำงานตรวจสอบรายได้ที่กทค.ตั้งขึ้น กับรายงานของคณะทำงานกลั่นกรองที่สำนักงาน กสทช.แต่งตั้งขึ้นในภายหลังแล้ว ยังปรากฎด้วยว่า ในการเรียกเก็บรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์มือถือในช่วงมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของ กทค.และกสทช.ยังมีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย

โดยในส่วนของการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามประกาศ กสทช.ปี 2556 นั้น รายได้ที่เกิดขึ้นจากการให้บริการตามประกาศ กสทช. กำหนดให้บริษัทเอกชนหักค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต้นทุนค่าใช้โครงข่าย ค่าธรรมเนียมเลขหมาย ส่วนที่เหลือจึงนำส่งเข้ากสทช.เป็นรายได้แผ่นดิน โดยไม่มีการพูดถึงค่าใช้คลื่นความถี่และค่าเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมที่ต้องเรียกเก็บให้หน่วยงานรัฐคือบริษัท กสทโทรคมนาคม แต่อย่างใด

ขณะที่การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่น 900 MHz ตามประกาศ กสทช.ปี 2558 นั้น กทค.กลับกำหนดให้รายได้จากการให้บริการที่เกิดขึ้น ให้บริษัทเอกชนหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต้นทุนค่าใช้โครงข่าย ค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรคมนาคมแล้ว ยังกำหนดให้มีค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีผู้ตรวจสอบบัญชี และยังกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่บริษัทเอกชนต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินนั้น ต้องไม่น้อยกว่าค่าสัมปทานที่บริษัทจ่ายเข้ารัฐก่อนวันสิ้นสุดสัมปทานอีกด้วย

ส่งผลให้ในส่วนของ "เอไอเอส" นอกจากกทค.จะมีคำสั่งเรียกเก็บเงินรายได้จากการให้บริการในช่วงมาตรการเยียวยาจำนวน 7,220 ล้านบาทแล้ว บริษัทยังถูกเรียกเก็บค่าเช่าใช้โครงข่ายโทรคมนาคมจากบริษัททีโอทีอีกกว่า 2,000 ล้านบาทอีกด้วย ทั้งที่ของเดิมในช่วงที่บริษัทจ่ายสัมปทานแก่รัฐ 30% นั้น บริษัทสามารถใช้โครงข่ายโทรคมนาคมได้ฟรีอยู่แล้ว

“กสทช.และกทค.กลับไม่มีการเรียกเก็บค่าเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมจากอีกบริษัทหนึ่ง จนทำให้เกิดปัญหาว่า เงินรายได้จากค่าเช่าเสาโทรคมนาคมนับ 1,000 ล้านบาทที่สูญหายไปนั้น บริษัทกสท.โทรคมนาคมฯจะไปเรียกเก็บจากใคร"

อย่างไรก็ตาม มีเอกสารอ้างอิงในเรื่องนี้ชัดเจนคือ 1.ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ๒๕๕๖

ข้อ ๗ ในช่วงระยะเวลาคุ้มครอง ให้ผู้ให้บริการเป็นผู้รับชําระเงินรายได้จากการให้บริการ แทนรัฐโดยแยกบัญชีการรับเงินไว้เป็นการเฉพาะ แล้วรายงานจํานวนเงินรายได้และดอกผลที่เกิดขึ้นซึ่งได้ หักต้นทุนค่าใช้โครงข่าย ค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรคมนาคม ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นที่จําเป็นในการให้บริการแล้ว ส่วนที่เหลือให้นําส่งสํานักงานเพื่อตรวจสอบ ก่อนนําส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป การตรวจสอบการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้สํานักงานแต่งตั้งคณะทํางานคณะหนึ่งจํานวน ห้าคน ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและบัญชีหนึ่งคนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์หนึ่งคน โดยมีผู้แทนสํานักงานเป็นเลขานุการคณะทํางาน

2 ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ฉบับที่ ๒) ปี 2558

ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๗ ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว ในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ในช่วงระยะเวลาคุ้มครอง ให้ผู้ให้บริการเป็นผู้รับชําระเงินรายได้จากการให้บริการแทนรัฐ โดยแยกบัญชีการรับเงินไว้เป็นการเฉพาะ แล้วรายงานจํานวนเงินรายได้และดอกผลที่เกิดขึ้นซึ่งได้ หักต้นทุนค่าใช้โครงข่าย ค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรคมนาคม ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นที่จําเป็นในการให้บริการ และค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีผู้ตรวจสอบบัญชีในการรับรองความถูกต้อง ของข้อมูลรายงาน รายได้ ค่าใช้จ่าย และดอกผลแล้ว ส่วนที่เหลือให้นําส่งสํานักงานเพื่อตรวจสอบ ก่อนนําส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป โดยผู้ให้บริการจะต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบบัญชีที่ผู้ให้บริการเสนอมา และคณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ในการรับรองความถูกต้องของข้อมูลรายงาน รายได้ ค่าใช้จ่าย และดอกผลด้วย ทั้งนี้ เงินรายได้จากการให้บริการที่ต้องนําส่งเป็นรายได้แผ่นดินจะต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่า อัตราร้อยละของส่วนแบ่งรายได้ที่ผู้ให้บริการเคยนําส่งภายใต้สัญญาสัมปทาน ณ วันสุดท้ายก่อนสิ้นสุด สัญญาสัมปทาน

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/736356
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่