เรื่องนี้เกิดขึ้นในครอบครัวของเราเอง
เรามีแม่อยู่ที่ ตจว. เป็นข้าราชการบำนาญ พ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว มีบ้านอยู่ของตัวเอง ค่าน้ำ ไฟ โทรศัพท์ หักผ่านบัญชีส่วนตัวของเรา
พี่ชายเราเป็นครูสอนใน รร.เอกชนแห่งนึง เกเร ไร้ความรับผิดชอบ มีแต่เรื่องเดือดร้อน ขี้เมา แต่ไม่มีครอบครัวและพักที่โรงเรียน ยามว่างก็แวะมาขอเงินแม่เราใช้ จนในที่สุด เป็นอัมพฤกษ์ในอายุ 40 ต้นๆ ต้องออกมาอยู่บ้านเฉยๆ และขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการ กินเงินประกันสังคมไป และมีแม่เราคอยดูแล ตามใจทุกอย่าง
แม่เราเป็นคนไม่สุงสิงกับใคร และไม่ฟังใคร คิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน
เรียกอีกที คือ ขาดทักษะชีวิต นั่นล่ะ
ช่วงที่พี่ชายป่วย เค้ามีเงิน ชพค.ในสหกรณ์ออมทรัพย์ แจ้งให้ญาติคนหนึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์
ที่ไม่ได้ใส่ชื่อแม่ เพราะเค้าคิดว่า แม่คงจะเสียชีวิตก่อนเค้า (แม่สุขภาพไม่ค่อยดี)
และมีการกู้ยืมเงินมาใช้ โดยให้แม่เป็นผู้ค้ำประกัน
รวมทั้งกู้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ และเอารถไปขายต่อทั้งๆที่ยังผ่อนไม่หมด
ช่วงที่อยู่บ้าน เราทะเลาะกับพี่ชายบ่อยเพราะขนาดป่วยเป็นอัมพฤกษ์ พี่ชายยังกินเหล้า สูบบุหรี่
สกปรก และไม่ฟังใคร
ก่อนหน้านี้ เราเคยช่วยเหลือเรื่องเงินๆทองๆพี่ชายมาตลอด ถึงขั้นเอาเงินก้อนมาเคลียร์กับโรงเรียนที่พี่สอน
เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้โดนไล่ออกจากงาน
ช่วงที่พี่ชายป่วย เข้าๆออกๆ โรงพยาบาล แม่เราจะป็นผู้ดูแลตลอด
เท่าที่ทราบ มีการกู้กองทุนหมู่บ้านกับญาติ และกู้กองทุนผู้พิการ
รายละเอียด แม่เราไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น
ปี 52 พี่ชายเสียชีวิต ญาติที่รับผลประโยชน์เป็นผู้ดูแลงานศพเป็นส่วนใหญ่
ถึงวันไปรับเงิน ชพค.ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ ปรากฎว่า พี่ชายยังมีเงินกู้ที่ค้างชำระอีกแสนกว่าบาท
โดยมีแม่เราเป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนเงินที่ได้จากการเสียชีวิต แปดแสนกว่า ญาติเป็นรับผลประโยชน์ไป
เราทักท้วงกับสหกรณ์ เค้าบอกว่า คนละส่วนกัน ให้เราเคลียร์กับญาติเอง
แต่ญาติไม่ยอมใช้หนี้ อ้างว่า "เป็นแม่ เลี้ยงลูกต้องเอาคืนด้วยเหรอ"
กลายเป็นแม่เราต้องมาใช้หนี้สหกรณ์ให้พี่ชายต่อไป โดยหักจากเงินบำนาญของแม่เอง
และวันนั้นเอง แม่ไปแก้ไขชื่อผู้รับผลประโยชน์ ชพค.ของแม่ โดยเอาชื่อพี่ชายออกเพราะเสียชีวิตแล้ว
แม่ไม่ได้ใส่ชื่อเราเป็นผู้รับผลประโยชน์เลย
อ้างกับเจ้าหน้าที่ว่า เราพอมีใช้แล้ว
แต่เจ้าหน้าที่ทักท้วงว่า ทำไมไม่ใส่ชื่อลูกให้เหมือนกันหมด
วันนั้น เราขับรถกลับบ้าน ระยะทางสองร้อยโล น้ำตามันไหลเองมาตลอดทาง
ไม่ได้เสียใจที่ไม่มีชื่อ แต่..........มันเศร้าใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราให้เงินแม่ใช้ตลอด แม้จะรู้ว่า แม่มีบำนาญใช้
แต่ไม่ทราบยอดเงินว่า ได้รับเท่าไร
เราคิดว่า เราให้ท่าน เท่าที่เราให้ได้
เวลาแม่ได้เงินจากเรา แม่จะรีบเก็บเงินด้วยแววตาดีใจทุกครั้ง
ปัจจุบัน แม่มาพักกับเราได้สามเดือนแล้ว
เราถามแม่ว่า เงินบำนาญตอนนี้ น่าจะเหลือใช้
ให้นำเงินไปให้หลานคนอื่นๆ บ้าง
(เรายังมีน้องสาวรับราชการ มีคำนำหน้าว่า รศ.อยู่อีกหนึ่งคน)
แต่แม่บอกว่า แม่ไม่มีเงิน
ซึ่งพอเราเอาบัตรเอทีเอ็มเงินแม่มาดู
แม่มีเงินเข้าเพียงเดือนละ สามพันบาทเท่านั้นเอง
เราจึงถามแม่ แม่บอกว่า ผ่อนใช้หนี้ให้พี่ชายที่ตายไปแปดปีแล้ว
ยังไม่หมดสักที
แม่ไม่ยอมบอกเราว่า ผ่อนอะไร ไปเท่าไรบ้าง
มีกองทุนหมู่บ้าน และมีค้ำประกันซื้อรถให้กับญาติที่รับผลประโยชน์ของพี่ชายเราอีกสองแสนกว่า
ซึ่งเราไปเจอคำฟ้องของศาลผ่านมาสองปีแล้ว
เราปวดหัวกับแม่เรามาก ถามอะไรก็ไม่พูด ไม่บอกทั้งสิ้น
เล่าให้เพื่อนๆฟังเป็นอุทาหรณ์ชีวิตค่ะ
เมื่อแม่ อายุ 74 ใช้หนี้ให้ลูกที่ตายไป 8 ปีแล้วยังไม่หมด
เรามีแม่อยู่ที่ ตจว. เป็นข้าราชการบำนาญ พ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว มีบ้านอยู่ของตัวเอง ค่าน้ำ ไฟ โทรศัพท์ หักผ่านบัญชีส่วนตัวของเรา
พี่ชายเราเป็นครูสอนใน รร.เอกชนแห่งนึง เกเร ไร้ความรับผิดชอบ มีแต่เรื่องเดือดร้อน ขี้เมา แต่ไม่มีครอบครัวและพักที่โรงเรียน ยามว่างก็แวะมาขอเงินแม่เราใช้ จนในที่สุด เป็นอัมพฤกษ์ในอายุ 40 ต้นๆ ต้องออกมาอยู่บ้านเฉยๆ และขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการ กินเงินประกันสังคมไป และมีแม่เราคอยดูแล ตามใจทุกอย่าง
แม่เราเป็นคนไม่สุงสิงกับใคร และไม่ฟังใคร คิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน
เรียกอีกที คือ ขาดทักษะชีวิต นั่นล่ะ
ช่วงที่พี่ชายป่วย เค้ามีเงิน ชพค.ในสหกรณ์ออมทรัพย์ แจ้งให้ญาติคนหนึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์
ที่ไม่ได้ใส่ชื่อแม่ เพราะเค้าคิดว่า แม่คงจะเสียชีวิตก่อนเค้า (แม่สุขภาพไม่ค่อยดี)
และมีการกู้ยืมเงินมาใช้ โดยให้แม่เป็นผู้ค้ำประกัน
รวมทั้งกู้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ และเอารถไปขายต่อทั้งๆที่ยังผ่อนไม่หมด
ช่วงที่อยู่บ้าน เราทะเลาะกับพี่ชายบ่อยเพราะขนาดป่วยเป็นอัมพฤกษ์ พี่ชายยังกินเหล้า สูบบุหรี่
สกปรก และไม่ฟังใคร
ก่อนหน้านี้ เราเคยช่วยเหลือเรื่องเงินๆทองๆพี่ชายมาตลอด ถึงขั้นเอาเงินก้อนมาเคลียร์กับโรงเรียนที่พี่สอน
เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้โดนไล่ออกจากงาน
ช่วงที่พี่ชายป่วย เข้าๆออกๆ โรงพยาบาล แม่เราจะป็นผู้ดูแลตลอด
เท่าที่ทราบ มีการกู้กองทุนหมู่บ้านกับญาติ และกู้กองทุนผู้พิการ
รายละเอียด แม่เราไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น
ปี 52 พี่ชายเสียชีวิต ญาติที่รับผลประโยชน์เป็นผู้ดูแลงานศพเป็นส่วนใหญ่
ถึงวันไปรับเงิน ชพค.ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ ปรากฎว่า พี่ชายยังมีเงินกู้ที่ค้างชำระอีกแสนกว่าบาท
โดยมีแม่เราเป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนเงินที่ได้จากการเสียชีวิต แปดแสนกว่า ญาติเป็นรับผลประโยชน์ไป
เราทักท้วงกับสหกรณ์ เค้าบอกว่า คนละส่วนกัน ให้เราเคลียร์กับญาติเอง
แต่ญาติไม่ยอมใช้หนี้ อ้างว่า "เป็นแม่ เลี้ยงลูกต้องเอาคืนด้วยเหรอ"
กลายเป็นแม่เราต้องมาใช้หนี้สหกรณ์ให้พี่ชายต่อไป โดยหักจากเงินบำนาญของแม่เอง
และวันนั้นเอง แม่ไปแก้ไขชื่อผู้รับผลประโยชน์ ชพค.ของแม่ โดยเอาชื่อพี่ชายออกเพราะเสียชีวิตแล้ว
แม่ไม่ได้ใส่ชื่อเราเป็นผู้รับผลประโยชน์เลย
อ้างกับเจ้าหน้าที่ว่า เราพอมีใช้แล้ว
แต่เจ้าหน้าที่ทักท้วงว่า ทำไมไม่ใส่ชื่อลูกให้เหมือนกันหมด
วันนั้น เราขับรถกลับบ้าน ระยะทางสองร้อยโล น้ำตามันไหลเองมาตลอดทาง
ไม่ได้เสียใจที่ไม่มีชื่อ แต่..........มันเศร้าใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราให้เงินแม่ใช้ตลอด แม้จะรู้ว่า แม่มีบำนาญใช้
แต่ไม่ทราบยอดเงินว่า ได้รับเท่าไร
เราคิดว่า เราให้ท่าน เท่าที่เราให้ได้
เวลาแม่ได้เงินจากเรา แม่จะรีบเก็บเงินด้วยแววตาดีใจทุกครั้ง
ปัจจุบัน แม่มาพักกับเราได้สามเดือนแล้ว
เราถามแม่ว่า เงินบำนาญตอนนี้ น่าจะเหลือใช้
ให้นำเงินไปให้หลานคนอื่นๆ บ้าง
(เรายังมีน้องสาวรับราชการ มีคำนำหน้าว่า รศ.อยู่อีกหนึ่งคน)
แต่แม่บอกว่า แม่ไม่มีเงิน
ซึ่งพอเราเอาบัตรเอทีเอ็มเงินแม่มาดู
แม่มีเงินเข้าเพียงเดือนละ สามพันบาทเท่านั้นเอง
เราจึงถามแม่ แม่บอกว่า ผ่อนใช้หนี้ให้พี่ชายที่ตายไปแปดปีแล้ว
ยังไม่หมดสักที
แม่ไม่ยอมบอกเราว่า ผ่อนอะไร ไปเท่าไรบ้าง
มีกองทุนหมู่บ้าน และมีค้ำประกันซื้อรถให้กับญาติที่รับผลประโยชน์ของพี่ชายเราอีกสองแสนกว่า
ซึ่งเราไปเจอคำฟ้องของศาลผ่านมาสองปีแล้ว
เราปวดหัวกับแม่เรามาก ถามอะไรก็ไม่พูด ไม่บอกทั้งสิ้น
เล่าให้เพื่อนๆฟังเป็นอุทาหรณ์ชีวิตค่ะ